ไทยส่งออกข้าวไปประเทศใดมากที่สุด

ชาวนาเฮ ครึ่งปี "ส่งออกข้าว" ทะลุ 3.5 ล้านตัน เติบโตกว่า 50% นำเงินเข้าประเทศ 6 หมื่นล้านบาท อลงกรณ์ คาดทั้งปีส่งออกเกิน 7ล้านตัน มีลุ้นแซงเวียดนามขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของโลก ชี้ เป็นผลสำเร็จจากนโยบายตลาดนำการผลิตและการพัฒนาพันธ์ุข้าว

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้(6 ส.ค.)แสดงความพอใจต่อรายงานการ "ส่งออกข้าว" ของไทย6เดือนแรกของปีนี้ว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน2565 ประเทศไทยสามารถ "ส่งออกข้าว" ทุกชนิดได้แก่ข้าวขาว ข้าวนึ่งและข้าวหอมมะลิมีปริมาณ 3,507,020 ตัน คิดเป็นมูลค่า 60,932.3 ล้านบาท (1,837.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยปริมาณเพิ่มขึ้น 56.6% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 42.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่ส่งออกปริมาณ 2,239,432 ตัน มูลค่า 42,641.8 ล้านบาท (1,407.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

   

ไทยส่งออกข้าวไปประเทศใดมากที่สุด

โดยเฉพาะเดือนมิถุนายน 2565 มีปริมาณ"การส่งออก"สูงถึง 764,131 ตัน คิดเป็นมูลค่า 13,129.5 ล้านบาท โดยปริมาณและมูลค่าส่งออก เพิ่มขึ้น 69.4% และ57.1% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 65 ที่มีปริมาณ 450,973 ตัน มูลค่า 8,357 ล้านบาท เนื่องจากในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีการส่งออกข้าวขาวปริมาณ 405,963 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 208% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

    

ไทยส่งออกข้าวไปประเทศใดมากที่สุด

 

สำหรับข้าวนึ่งมีการส่งออกปริมาณ 140,225 ตัน เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนการส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) มีปริมาณ 103,865 ตัน เพิ่มขึ้น 15.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน

     

ไทยส่งออกข้าวไปประเทศใดมากที่สุด

 

ถือเป็นข่าวดีสำหรับชาวนาไทยทุกคนที่ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าซึ่งจะมีผลทำให้ราคาในประเทศปรับตัวสูงขึ้น

ทางด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ  กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยมีโอกาสสูงมากที่จะส่งออกข้าวได้มากเป็นอันดับ2ของโลกโดยจะแซงเวียดนามได้สำเร็จในปีนี้หากส่งออกได้เกิน 7ล้านตัน

 

เมื่อพิจารณาข้อมูล "การส่งออกข้าวของไทย" ในช่วงครึ่งปีแรกและรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ในรอบการผลิตปี 2564 – 2565 ปริมาณผลผลิตข้าวของโลกอาจอยู่ที่ประมาณ 505.4 ล้านตัน สูงขึ้นจากรอบปีก่อนหน้า 1.9 ล้านตัน

 

ขณะที่ในปี 2565 ปริมาณการค้าข้าวของโลกอาจสูงถึง 46.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 100,000 ตัน โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นได้แก่ ออสเตรเลีย เมียนมา กัมพูชา สหภาพยุโรป ปารากวัย ไทย และอุรุกวัย สำหรับประเทศที่คาดว่าจะส่งออกข้าวลดลง ได้แก่ โคลอมเบีย เอกวาดอร์ อินเดีย อิรัก มาดากัสการ์ ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา สหรัฐฯ และเวียดนาม

 

ทั้งนี้ คาดว่า เวียดนามจะเป็นผู้ส่งออกข้าวสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ปริมาณรวม 6.3 ล้านตัน รองจากอินเดียและไทย ตามลำดับซึ่งเวียดนามครองอันดับที่ 2 ของผู้ส่งออกข้าวติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ปริมาณการส่งออกข้าวที่จะลดลงในปี 65 และทำให้เวียดนามกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวสูงเป็นอันดับที่ 3 

 

คาดว่าเราจะส่งออกข้าวทั้งปีได้ไม่น้อยกว่า 7-7.5ล้านตันสูงกว่าปี2564และมีลุ้นที่จะแซงเวียดนามขึ้นแท่นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ2ของโลกได้ในปีนี้ โดยดูจากสถิติส่งออกข้าวของเวียดนาม 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.)ส่งออกข้าวปริมาณ2.77ล้านตันเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี2564 ที่มีปริมาณการส่งออกข้าว 2.59 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.95 โดยมีมูลค่าส่งออก 1.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ที่มีมูลค่าส่งออก 1.41 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ 4.26 เฉลี่ยเวียดนามส่งออกเดือนละ5แสนตัน ขณะที่ไทยส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 6แสนตันขยายตัวทั้งปริมาณและมูลค่า

 

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า จากรายงานของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและกรมศุลกากร การส่งออกไตรมาส 2 ยังทำได้ดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่1โดยตัวเลข "การส่งออกข้าวไทย" ช่วง 3 เดือนแรกปี65(มกราคม-มีนาคม) ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้น 48.5%โดยส่งออกได้1,743,280 ตันคิดเป็นมูลค่า 29,468.2 ล้านบาท (903.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 

 

อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์การส่งออกช่วงครึ่งปีหลังหากรักษาระดับการส่งออกเกิน 6แสนตันต่อเดือนก็จะทำให้การส่งออกทั้งปีเกิน7ล้านตันทั้งนี้ขึ้นกับค่าเงินบาทและผลผลิตของประเทศผู้ส่งออกหลักและราคาส่งออกของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ

 

นับเป็นความก้าวหน้าทางนโยบายข้าวที่มุ่งเน้นการพัฒนาพันธุ์ข้าวตามยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตระหว่างกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ การใช้เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีเกษตรใหม่ ๆ เพื่อลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตตลอดจนการยกระดับข้าวแปลงใหญ่ ในขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตข้าวจากปัญหาราคาปุ๋ยและพลังงานเพิ่มขึ้นรวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลกตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด19

ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผย ว่า  การส่งออกข้าวในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2565) มีปริมาณ 3,507,020 ตัน เพิ่มขึ้น 56.6% มูลค่า 1,837.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 42.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่ส่งออกปริมาณ 2,239,432 ตัน มูลค่า 1,407.9 ล้านดอลลาร์

ส่วนการส่งออกข้าวในเดือนมิ.ย. 2565 มีปริมาณ 764,131 ตันเพิ่มขึ้น 69.4%  มูลค่า 13,129.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.1%  เนื่องจากในเดือนมิ.ย.ถุนายน การส่งออกข้าวทุกชนิดมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนเนื่องจากราคาข้าวไทยปรับลดลงตามทิศทางของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ประกอบกับผู้ส่งออกยังมีสัญญาค้างส่งมอบปริมาณมาก จึงทำให้เดือนที่ผ่านมามีการเร่งส่งมอบข้าวมากขึ้น ส่งผลให้ในเดือนมิ.ย. 2565 มีการส่งออกข้าวขาวปริมาณ 405,963 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 208%      เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศอิรัก ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น โมซัมบิก แองโกล่า เป็นต้น

ขณะที่ข้าวนึ่งมีการส่งออกปริมาณ 140,225 ตัน เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนใหญ่ยังคงส่งไปยังตลาดหลักในแถบแอฟริกาและตะวันออกกลาง เช่น แอฟริกาใต้ เบนิน เลบานอน เป็นต้น ส่วนการส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) มีปริมาณ 103,865 ตัน เพิ่มขึ้น 15.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยส่งไปยังตลาดประจำ เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร แคนาดา เป็นต้น

สมาคมฯคาดว่าในเดือนก.ค. 2565 การส่งออกข้าวจะอยู่ที่ระดับประมาณ 600,000-700,000 ตัน เนื่องจากผู้ส่งออกยังคงมีสัญญาที่ค้างส่งมอบจากเดือนก่อน ขณะที่ตลาดสำคัญในตะวันออกกลาง เช่น อิรัก เยเมน ตลาดเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ตลาดแอฟริกา เช่น แอฟริกาใต้ เบนิน โมซัมบิก แองโกล่า แคเมอรูน รวมทั้งตลาดอเมริกา เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ยังคงนำเข้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ประกอบกับค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาข้าวไทยปรับลดลงอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้น

โดยราคาข้าวขาว 5% ของไทย ณ วันที่ 27 ก.ค. 2565 อยู่ที่ 411  ดออลาร์ต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน อยู่ที่ 413-417, 343-347 และ 368-372 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ ด้านราคาข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ 432 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งของอินเดีย และปากีสถานอยู่ที่ 358-362 และ 408-412 ต่อตัน