คัดมาเน้น ๆ 10 รถประหยัดน้ำมัน 2022 ที่มีค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ ทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และเบนซิน เพราะปัจจัยในการเลือกรถยนต์ของคนเรามีความแตกต่างกัน บางคนมีสมาชิกในบ้านเยอะ ก็อาจมองหา รถครอบครัว ส่วนบางคนอาจอยากได้รถที่ขับแล้วเสริมบารมีทำให้ดูดีสมฐานะก็อาจโฟกัสไปที่ รถหรู ส่วนวันนี้ใครที่กำลังอยากได้ รถประหยัดน้ำมัน หรือรถที่มีอัตราบริโภคน้ำมันที่น้อย เหมาะกับยุคเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง เราได้รวบรวมมาฝากเพื่อน ๆ กันแล้ว ข้อความรู้ก่อนซื้อรถคันใหม่ สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถใหม่ จะมีวิธีการเลือกหรือตัดสินใจอย่างไร เพื่อให้ได้รถที่เหมาะกับตัวเองและการใช้งานมากที่สุด มาดูกันเลย !
รถประหยัดน้ำมันปี 2022 รุ่นไหนน่าใช้ เปิดประเดิมรถยนต์ประหยัดน้ำมันในปี 2022 กันด้วยยนตกรรมน้องใหม่จากประเทศจีน Haval Jolion Hybrid รถอเนกประสงค์ขนาดเล็กพิกัด B-SUV ที่พ่วงด้วยขุมพลังไฮบริด 1.5 ลิตร สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม GWM LEMON ที่เป็นแบบเดียวกับตัว Haval H6 ในด้านขุมพลังเป็นแบบไฮบริด ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ DHT ไปยังคู่ล้อหน้า โดยมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 23.8 กิโลเมตร/ลิตร และมีระบบขับขี่ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ Standard, Sport, ECO และ Rain ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : gwm.co.th คันต่อมาเป็นเอสยูวีขุมพลังแบบปลั๊กอินไฮบริดระดับเรือธงจาก MG อย่างในรุ่น MG HS PHEV ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่ทาง MG เคลมไว้ว่ามีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ 65 กิโลเมตร/ลิตร จากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุดถึง 162 แรงม้า ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 120 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตัเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะให้กำลังรวมสูงสุด 284 แรงม้า 480 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 16.6 kWh เมื่อวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจะให้ระยะทางไกลสุด 67 กม. ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : mgcars.com Honda HR-V e:HEV รถครอสโอเวอร์ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่หมดรอบคันจากรุ่นที่ผ่านมา เป็นแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง มีค่าเฉลี่ยความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทาง Honda เคลมไว้ที่ 25.6 กิโลเมตร/ลิตร จากเครื่องยนต์ฟูลไฮบริด e:HEV 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว จะให้กำลังขับเคลื่อน 131 แรงม้า มาพร้อมกับแรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นห้องโดยสารด้านหลัง ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ E-CVT ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : honda.co.th 4. Mitsubishi Outlander PHEVส่วนคันที่ 4 จะเป็นยนตกรรมเอสยูวีขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด Mitsubishi Outlander PHEV ที่มากับห้องโดยสารขนาดใหญ่สไตล์พรีเมียม เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร พร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และมอเตอร์เพลาล้อหน้า-หลัง มอบกำลังรวมสูงสุด 305 แรงม้า กับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 13.8 kW ที่วิ่งด้วย โหมด EV ทาง Mitsubishi ประเทศไทยเคลมว่าสามารถทำระยะทางได้ 55 กม. และสามารถใช้ความเร็วได้สูงสุด 135 กม./ชม. ที่สำคัญทาง Mitsubishi ยังเผยว่ารถรุ่นนี้จะประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 52 กิโลเมตร/ลิตร ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : mitsubishi-motors.co.th ขยับมาทางรถเอสยูวีหรูจากยุโรป ที่ขึ้นชื่อในเรื่องพละกำลังและมาพร้อมความประหยัด อย่าง Volvo XC60 T8 รถยนต์ขนาดกลาง ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด รุ่นไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Geartronic แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 10.4 kWh รวมพละกำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร มีสมรรถนะที่สูง แต่ให้อัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำเพียง 43.5 กิโลเมตร/ลิตร และสามารถขับขี่ด้วย Pure Mode ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางไกลถึง 40 กม. ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : volvocars.com ยังคงอยู่กับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด แต่ขยับมาทางด้านรถคอมแพกต์ซีดานจากค่าย BMW อย่าง BMW 330e M Sport ที่มากับเส้นสายคมชัด เสริมด้วยชุดแต่ง M Aerodynamics ทั้งในส่วนด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังของตัวรถ ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร Twin Power Turbo ที่ให้กำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มอบกำลังเพิ่มเติมสูงสุดอีก 113 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 265 นิวตันเมตร โดยจะให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร มากับฟังก์ชั่น Electric Boost ”XtraBoost ” ช่วยเค้นกำลังสูงสุดเป็น 292 แรงม้า ให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 41 กิโลเมตร/ลิตร ในด้านแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนความจุ 12 kW และวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลถึง 60 กม. ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : bmw.co.th 7. Toyota Corolla Cross HybridToyota Corolla Cross Hybrid ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม TNGA-C ร่วมกับ Corolla Altis โฉมปัจจุบัน รวมถึง C-HR ภายนอกได้รับการออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยว แข็งแกร่ง มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ไฮบริด ขนาด 1.8 ลิตร โดยเป็นระบบไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดเจเนอเรชั่นที่ 4 ที่พัฒนาในส่วนแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทนทาน โดยในขุมพลังนี้จะมีความประหยัดน้ำมัน ให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตร/ลิตร ด้วยเครื่องยนต์เบนซินผสานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่นิกเกิลเมทัลไฮดราย ให้กำลังรวมสูงสุด 122 แรงม้า ซึ่งเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฮบริดที่หลายคนสนใจ ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : toyota.co.th 8. Mazda2 Hatchback 1.3 XDL Sportsมาถึงรถในรูปแบบ Eco Car ที่มากับขุมพลังดีเซลหนึ่งเดียวของแบรนด์ Mazda นั่นก็คือ Mazda2 Hatchback 1.3 XDL Sports ยังคงได้รับการออกแบบด้วยดีไซน์ภายนอกที่เรียบง่ายแต่สวยงาม มาพร้อมสีใหม่ล่าสุด โดดเด่นในด้านสมรรถนะการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ 4 สูบ 16 วาล์ว 1.5 ลิตร เสริมเทอร์โบ 77 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร โดยให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ 26.3 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งให้การประหยัดที่เหนือกว่ารถ Eco Car เครื่องยนต์เบนซิน แถมมีให้เลือกทั้งตัวถังซีดาน และแฮต์แบ็ก ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : mazda.co.th สำหรับคันที่ 9 ยังคงเป็นในรูปแบบ Eco Car แต่มาในแบบฉบับซีดาน นั่นก็คือ Mitsubishi Attrage ที่มากับดีไซน์สวยสไตล์สปอร์ต ห้องโดยสารกว้าง ขุมพลังเบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร มาพร้อมเทคโนโลยีชิ้นส่วนภายในที่ช่วยสนับสนุนในการทำงานของเครื่องยนต์ได้เต็มประสิทธิภาพ ก่อมลพิษต่ำ อัตราน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 23.8 กิโลเมตร/ลิตร ด้านสมรรถนะนั้นให้แรงม้าสูงสุดถึง 78 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : mitsubishi-motors.co.th ปิดท้ายกันด้วย Suzuki Celerio รถซิตี้คาร์ขนาดเล็กที่สุดในตลาเมืองไทย ที่ให้ความคล่องตัวทุกการเดินทาง ดีไซน์ตัวรถออกแบบอย่างเรียบง่าย ด้านหน้าตกแต่งด้วยกระจังหน้าแบบโครเมียม ไฟหน้า-ไฟท้ายแบบฮาโลเจน พร้อมไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถ กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า ล้ออัลลอยขนาด 14 นิ้ว ภายในห้องโดยสารกว้างพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านขุมพลังใช้เครื่องยนต์เบนซิน K10B 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 68 แรงม้า ระบบส่งกำลังจะมีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ มีอัตราการสิ้นเเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 20 กิโลเมตร/ลิตร ราคาจำหน่าย
ภาพจาก : suzuki.co.th รถแต่ละคันเรียกได้ว่ามีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่น่าสนใจไม่น้อย ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับการขับขี่และการใช้งานของแต่ละคนด้วย อย่างไรก็ตาม อย่าลืมขับขี่ด้วยความไม่ประมาทนะครับ |