จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี Show
การท่องเที่ยว เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญในประเทศไทย มีส่วนทำให้ค่าจีดีพีของไทยอยู่ที่ประมาณ 17.7% ใน พ.ศ. 2559[1] ใน พ.ศ. 2550 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 14 ล้านคน โดยระยะเวลาพำนักเฉลี่ย 9.19 วัน ทำให้มีรายได้เข้าประเทศมากถึง 547,782 ล้านบาท[2] เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับที่ 18 ของโลก[3] สาเหตุที่การท่องเที่ยวไทยได้รับการสนับสนุนมากขึ้นใน พ.ศ. 2503 นั้น เพราะมีความมั่นคงทางการเมือง และมีการพัฒนากรุงเทพมหานครในเรื่องของการคมนาคมทางอากาศ ทำให้ธุรกิจโรงแรมและการค้าปลีกขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะมีความต้องการจากนักท่องเที่ยว และยังได้รับการส่งเสริมจากทหารอเมริกันที่เข้ามาพักผ่อนในช่วงสงครามเวียดนามอีกด้วย[4] การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่า[5] 55% ของนักท่องเที่ยวใน พ.ศ. 2550 มาจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นส่วนใหญ่ ส่วนนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกส่วนใหญ่มาจากสหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา และสแกนดิเนเวีย ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและรัสเซียก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน[6] ประมาณ 55% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นผู้ที่กลับมาเพื่อเยี่ยมบ้านเกิด ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต์ถึงปีใหม่ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกหนีสภาพหนาวเย็น โดยในปี พ.ศ. 2558 นักท่องเที่ยวจากประเทศจีน มีจำนวนมากที่สุด[7][8] คิดเป็น 27 % ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด[9] การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ มีมากขึ้นตั้งแต่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เปิดให้มีการท่องเที่ยวระหว่างประเทศขึ้นในช่วง พ.ศ. 2523 และ พ.ศ. 2533 สถานที่ท่องเที่ยวอย่างนครวัด เมืองหลวงพระบาง และอ่าวหะล็อง สามารถแข่งขันกับประเทศไทยซึ่งเคยผูกขาดด้านการท่องเที่ยวในแถบอินโดจีน ทำให้ประเทศไทยต้องมีการกำหนดเป้าหมายต่าง ๆ มากขึ้น เช่น การตีกอล์ฟในวันหยุด นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีแผนที่จะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในภูมิภาคอีกด้วย[10] จากข้อมูลของโลนลี่แพลเน็ต ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ใน "จุดหมายคุ้มค่าสุดสำหรับ พ.ศ. 2553" รองจากไอซ์แลนด์ ซึ่งได้รับกระทบอย่างหนักจากวิกฤตซับไพรม์[11] นอกจากนี้ กรุงเทพยังได้รับการจัดอันดับ เป็นที่ 2 ของโลก เมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด จากการจัดอันดับของ Master card สองปีซ้อนคือ ปี พ.ศ. 2557-2558 [12][13] สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาไทย[แก้]ข้อมูลโดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย[14][15] สถิติโดยภาพรวมประจำปี[แก้]
อันดับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย[แก้]
คำขวัญรณรงค์เที่ยวไทย[แก้]คำขวัญรณรงค์ท่องเที่ยวประเทศไทย ประโยคแรกคือ เยี่ยมเยือนประเทศไทย (อังกฤษ: Visit Thailand) ราวปี พ.ศ. 2530 จากนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน มีคำขวัญใหม่ว่า มหัศจรรย์ประเทศไทย (อังกฤษ: Amazing Thailand) พร้อมทั้งสัญลักษณ์ลายไทย ลักษณะโดยรวมเป็นรูปดวงตาและคิ้ว ต่อมาช่วงที่การท่องเที่ยวไทยเกิดวิกฤต เมื่อปี พ.ศ. 2552 ททท.จึงจัดโครงการสืบเนื่องในชื่อ มหัศจรรย์ประเทศไทย มหัศจรรย์คุณค่า (อังกฤษ: Amazing Thailand, Amazing Value) [18] นอกจากนี้ยังมีคำขวัญรองเช่น เที่ยวไทยให้ครบ พบไทยให้ทั่ว, เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้, กอดเมืองไทย ให้หายเหนื่อย, เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน เป็นต้น สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย[แก้]หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ อีกตำแหน่งหนึ่ง โดยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้แก่ อิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในสมัยนั้น ปัจจุบันผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและเป็นกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้แก่ ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ (ตังแต่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ถึง ปัจจุบัน) [19] ท่องเที่ยวไทย[แก้]ท่องเที่ยวไทย (อังกฤษ: Unseen In Thailand) เป็นหน่วยงานที่ดูแลด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ โดยได้รับเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยคนไทย เสน่ห์[แก้]ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายที่สุดประเทศหนึ่ง โดยมีทั้งจุดดำน้ำ, หาดทราย, เกาะนับร้อย, สถานบันเทิงที่หลากหลาย, โบราณสถาน, พิพิธภัณฑ์, หมู่บ้านชาวเขา, สวนดอกไม้และจุดชมนกที่ยอดเยี่ยม, พระราชวัง, วัดขนาดใหญ่ และมรดกโลกจำนวนมาก มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ตามหลักสูตรระหว่างอยู่ในประเทศไทย สิ่งที่นิยมได้แก่ชั้นเรียนการทำอาหารไทย, พระพุทธศาสนา และการนวดแผนไทย เทศกาลของไทยมีตั้งแต่เทศกาลที่สนุกกับการสาดน้ำอย่างสงกรานต์ ไปจนถึงประเพณีในตำนานอย่างลอยกระทง ท้องถิ่นจำนวนมากในประเทศไทยมีเทศกาลของพวกเขาเองเช่นกัน ที่มีชื่อเสียงได้แก่ "การจัดงานแสดงช้าง" ในจังหวัดสุรินทร์, "ประเพณีบุญบั้งไฟ" ใน จังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉพาะ งานประเพณีบุญบั้งไฟลายศรีภูมิ (เทคนิคการเอ้ประดับบั้งไฟ ด้วยลายกรรไกรตัดแห่งเดียวในประเทศไทย) ที่อำเภอสุวรรณภูมิ และ การจุดบั้งไฟขึ้นสูง มากที่สุดในประเทศไทย ที่อำเภอพนมไพร และนอกจากนี้ ในทุกสัปดาห์ที่สอง ของเดือนพฤษภาคม งานบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร เป็นต้น หรืองานที่รวมประเพณีบุญบั้งไฟ รวมกันกับ บุญผะเหวด เป็นงานบุญหลวง นับเป็นเทศกาลน่าสนใจอย่าง "ผีตาโขน" ในอำเภอด่านซ้าย อาหารไทยบางอย่างมีชื่อเสียงทั่วโลกด้วยการใช้สมุนไพรและเครื่องเทศสด จากส้มตำอร่อยไม่แพงที่ร้านริมถนนเรียบง่ายในชนบทถึงอาหารไทยในร้านอาหารชวนชิมของกรุงเทพฯ กรุงเทพมหานครมีชื่อเสียงจากห้างสรรพสินค้าหลักในบริเวณใจกลางเมือง ให้ความหลากหลายของสินค้ายี่ห้อท้องถิ่นและนานาชาติ ไปทางเหนือของเมืองมี"ตลาดนัดจตุจักร" ซึ่งสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้าและใต้ดิน เป็นไปได้ว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่อุปกรณ์ใช้งานในบ้าน[20] ไปจนถึงสัตว์ชนิดต่างๆ ตลาด "ประตูน้ำ" ใจกลางเมือง เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านผ้าและเสื้อผ้า นักท่องเที่ยวเน้นตลาดกลางคืนในถนนสีลมและบนถนนข้าวสารเป็นหลัก ซึ่งขายสินค้าเช่น เสื้อยืด, หัตถกรรม, นาฬิกาข้อมือและแว่นกันแดด ในบริเวณใกล้เคียงกรุงเทพมหานครสามารถหาตลาดน้ำยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงเช่นในดำเนินสะดวก "ตลาดถนนคนเดินวันอาทิตย์เย็น" จัดบนถนนราชดำเนินในเมืองเก่าเป็นไฮไลต์ของการช็อปปิ้งเมื่อไปเยือนจังหวัดเชียงใหม่ในภาคเหนือของประเทศไทย มันดึงดูดคนท้องถิ่นมากมายรวมทั้งชาวต่างประเทศ "ไนท์บาซาร์" ในเชียงใหม่เป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวเน้นเช่นกัน ซึ่งขยายไปหลายช่วงของเมือง แค่ผ่านกำแพงเมืองเก่าไปตามแม่น้ำ ดูเพิ่ม[แก้]ทั่วไป[แก้]
ศิลปะและวัฒนธรรม[แก้]
ธรรมชาติและกีฬา[แก้]
ภาษา[แก้]
การท่องเที่ยว[แก้]
อ้างอิง[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|