The last samurai โดย เบ กโรงซ น ม า

รูปปั้นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่กำลังจูงสุนัขผู้ซื่อสัตย์ ผู้ที่คอยเฝ้ามองอุเอโนะ สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของญี่ปุ่น

บริเวณใกล้ๆ กับทางเข้าของสวนสาธารณะอุเอโนะมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์อันสง่างามของชายผู้หนึ่งยืนเคียงคู่กับสุนัข ชื่อของบุคคลท่านนี้ยังคงเป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลัง รูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของไซโก ทาคาโมริ ซามูไรในตำนานผู้เคยเป็นหนึ่งในนักรบที่ทรงอิทธิพลที่สุดของญี่ปุ่น และยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซามูไรที่แท้จริงคนสุดท้าย” รูปปั้นไซโก ทาคาโมรินับเป็นแลนด์มาร์ก เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอุเอโนะไปแล้ว

ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง “The Last Samurai” ที่ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย สร้างขึ้นมาโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากไซโก ทาคาโมริ ท่านเป็นบุคคลที่มีความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งการเป็นผู้นำในสงครามเซอินันในปี 1877 และการเขียนกวีนิพนธ์จีนในนาม “ไซโก นันชู” อีกด้วย

เมื่อทูตอเมริกันเหยียบโตเกียวนั้น ท่านไดเมียวแห่งแคว้นซัทซึมะเจ้านายของไซโก้ได้สังเกตว่า ทหารอเมริกันทุกคนมีปืนไรเฟิลครบมือมีความพร้อมเพรียง มิได้แยกชั้นวรรณะแบบซามูไรซึ่งจะไปรบก็ต้องมีคนตามไปแบกเกราะ ถือปิ่นโต ป้อนข้าวป้อนน้ำรุงรังนัก จึงเลื่อมใสและได้ขอยืมปืนตัวอย่างจากพวกทูตมากระบอกหนึ่ง ความที่ท่านเป็นนักประดิษฐ์ตัวเอ้ ก็จับถอดออกก๊อบปี้กันทั้งคืนรุ่งขึ้นก็คืนเจ้าของไปแล้วตั้งใจเอาว่าญี่ปุ่นจะต้องปฏิวัติระบบอุตสาหกรรมแบบฝรั่ง เอาไว้ทำไมก็เอาไว้ผลิตปืนเป็นแสน ๆกระบอกเพื่อสู้ฝรั่งไงครับ กระแสการเมืองยุคที่ถูกบังคับให้เปิดประเทศคือ "ไล่พวกคนตะวันตกป่าเถื่อนไปจากญี่ปุ่นให้ได้ "

ในปีถัดมาท่านก็สั่งไซโก้และเพื่อนๆให้หัดทหารแคว้นซัทซึมะแบบฝรั่ง และลองตั้งโรงหล่อปืนใหญ่บ้าง เช่นเดียวกับแคว้นโชซู ซึ่งก้มหน้าสะสมปืนผาหน้าไม้ไว้เมื่อได้ฤกษ์งามยามดี ในปี ค.ศ. 1863 ก็สั่งปิดช่องแคบซิโมโนเซกิ ขนปืนใหญ่ที่เก็บตังซื้อมาได้ ตั้งยิงเรือฝรั่งเอาดื้อ ๆ ให้หายแค้น ผลก็คือสู้ไม่ได้โดนเรือปืนฝรั่งรุมยำเละไปทั้งเมือง ส่วนก๊กซัทซึมะของไซโก้นั้นโดนอังกฤษยึดไว้ครึ่งเมืองฐานที่ส่งซามูไรไปไล่ฟันทูตอังกฤษถึงบ้าน ทหารอังกฤษจับคนร้ายตัดหัวเสียบประจาน แถมต้องเสียเงินทองทำขวัญอีกพะเรอเกวียน

The last samurai โดย เบ กโรงซ น ม า
ซามูไรแคว้นซัทซึมะบุกบ้านกงศุลอังกฤษกลางดึก (ปี 1861)

ผลการรบนี้น่าคิด เพราะญี่ปุ่นเป็นชาติที่แพ้แล้วจำเก็บไปทำการบ้าน มิได้อาละวาดฟาดหัวฟาดหางกับเมียที่บ้าน พวกหนุ่ม ๆ หัวใหม่ยอมรับว่าเรายังไม่เก่งพอและเหมือนฟุตบอลทีมชาติที่ไปแพ้เขามาก็ต้องรักษาอาการบอบช้ำ คิดปรับแผนปรับตัวผู้เล่น และถ้าอาการหนักอย่างญี่ปุ่นก็พาลคิดเปลี่ยนโค้ช (โชกุน) มันซะเลย

แคว้นโชซูเริ่มระดมพลก่อนเพื่อนโดยใช้ทหารชาวเมืองที่หัดรูปกระบวนทัพแบบฝรั่ง เป็น "หน่วยจู่โจม " หรือโชไท (Shotai) ประกอบไปด้วยอดีตซามูไรและชาวบ้านร่วมรบกันโดยไม่ถือชั้นวรรณะ จากนั้นจึงดื่มน้ำสาบานกันทั้ง คณะเพื่อไปโค่นอำนาจโชกุน

หนังเรื่อง เดอะล๊าส ซามูไร เริ่มกันจริง ๆก็ตรงจุดนี้ คือท่านโชกุนตกใจมากวิ่งโล่ไปจ้างทหารฝรั่งเพื่อฝึกทหารของตนไว้สู้พวกแข็งข้อ ครูฝึกตัวจริงกลับเป็นนายทหารฝรั่งเศส หาใช่ผู้กองเนทาน หรือ ทอม ครู๊ส ในปี ค.ศ. 1868 แคว้นซัทซึมะของท่านไซโก้จึงผนวกกำลังร่วมขบวนการอย่างเต็มตัวจนการแข็งข้อลุกลามออกเป็นสงครามกลางเมืองภายในปีเดียวกันนั้น ไซโก้ก็ยกทัพเข้าเมืองเกียวโตถวายบังคมองค์พระจักรพรรดิเมอิจิแล้วเชิญให้เสด็จกลับมาปกครองประเทศ

ส่วนท่านโชกุนนั้นฮึดสู้แบบไว้ลายตระกูลโตกุกาว่าที่ตำบลโทบะ (Toba) และ ฟูชิมิ (Fushimi) จะพบว่าความจริงนั้นกลับกันหมด ฝ่ายที่แกว่งดาบกลับเป็นทหารซามูไรกองหน้าของโชกุน เข้ารบกับทหารกบฏที่มีปืนแก๊ปเอ็นฟิลด์ แต่งฝรั่งรบแบบฝรั่งเปี๊ยบ ไม่ใช่ฝ่ายกบฏอย่าง ทอม ครู๊สและวาทานาเบจะใส่เกราะ ควบม้าฝ่าดงกระสุนอย่างในหนัง บทของ ทอม ครู๊สนั้นเข้าใจว่าได้เค้าเรื่องจากนายทหารฝรั่งเศสซึ่งโชกุนจ้างมาชื่อจริงคือ ผู้พันจูลส์ บรูเน่ย์ (Jules Brunet) ผู้ซึ่งมิได้ถูกกบฏจับได้อย่างในหนังแต่ดันไปรบแพ้พวกท่านไซโก้ เลยแปรสภาพจากฝ่ายรัฐบาล (อดีต) หนีไปกับซามูไรแตกทัพไปตั้งรัฐอิสระที่ฮอคไกโดไม่ขึ้นกับรัฐบาลใหม่อย่างเปิดเผย ท้ายสุดแพ้ทัพจักรพรรด์เละ เลยต้องแอบกลับบ้านไปอยู่กับเมียแหม่มที่ฝรั่งเศส

เมื่อทีมชาติญี่ปุ่นได้จักรพรรดิ์เมอิจิมาเป็นโค้ชใหม่แล้ว ซามูไรนักปฏิวัติก็เริ่มวางตัวผู้เล่นในตำแหน่งต่าง ๆ โดยฟอร์มรัฐบาลซึ่งประกอบด้วยผู้รู้วิทยาการของตะวันตกที่มาจากก๊กทั้งสองไซโก้ตอนนี้ได้เป็นทั้งเทียบเท่า ผบ. ทบ. และได้เป็นอาจารย์ใกล้ชิดองค์พระจักรพรรดิจริงดังที่ในหนังอ้างไว้ และให้ไซโก้คุมกำลัง ทหารหลวง (Imperial Guard) ถึง50,000 คน เพื่อค้ำจุนรัฐบาลและสนับสนุนการปฏิรูปสังคมตามแผน สโลแกนของรัฐบาลนี้ก็คือญี่ปุ่นต้องรวยและแกร่ง "Rich Country, Strong Army"

ท่านผู้อ่านที่คิดว่าการปฏิรูปแบบเมอิจิคงจะผ่อนสั้นผ่อนยาวถนอมน้ำใจ ขอเล่าว่าท่านคิดผด ญี่ปุ่นนั้นเป็นคนดุดันเอาเป้าหมายเป็นที่ตั้ง ยิ่งถูกโตกูกาว่าเก็บกดมานานก็เหมือนคนเบรกแตกซึ่งอดเอานิสัยซามูไรเดิมๆมาใช้ไม่ได้คือใครขวางก็ฟันดะ ตรงนี้ขอให้สังเกตหนังญี่ปุ่นรุ่นเก่ามักจะจบแบบไม่สวย คือ ไม่ฟันกันตายเกลื่อนก็ต้องเลือดตกยางออก น้ำตาท่วมจอ ไอ้จะมา Happy Ending แบบนั้นไม่มีแน่นอนครับ

เมื่อการพัฒนาประเทศมาถึงขั้นที่ต้องปรับกองทหารให้แกร่งก็พบปัญหาคือการที่หาคนมาเป็นทหารได้ไม่เพียงพอ จะเอาอดีตซามูไรมาเป็นทหารก็แก่เกินฝึกวิชาใหม่ๆดังนั้นจึงใช้พรบ. เกณฑ์ทหาร ออกใช้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1871 ก่อนเมืองไทยถึง 20 ปี แต่การกระทำเช่นนั้นกลายเป็นเหตุให้ทางเดินของคณะปฏิวัติและไซโก้ต้องแยกกันอย่างน่าเสียดาย

คณะเมอิจิปรารถนาจะเห็น"กองทัพแห่งชาติ" ญี่ปุ่นที่มีกำลังพลประจำการนับแสนไม่มีชั้นวรรณะ และมีอาวุธทันสมัย ไซโก้ก็เห็นเช่นเดียวกันแตกต่างกันที่ ไซโก้เห็นว่าชนชั้นซามูไรยังมีบทบาทผู้นำทหารอยู่เช่นเดิม และควรเป็นนายทหารหรือส่วนกำลังรบหลัก พวกลูกชาวบ้านให้เป็นมือรองๆอยู่แต่ในครัวก็ได้

The last samurai โดย เบ กโรงซ น ม า

ส่วนผลการพัฒนาก็กระทบความเป็นอยู่ของซามูไรอย่างมาก กลายเป็นคนตกงานท่านไซโก้ ก็เป็นซามูไรคนหนึ่ง จึงสะเทือนใจการรักษาเกียรติภูมิซามูไรเอาไว้คู่กับประเทศญี่ปุ่น และต้องการให้มีกองทัพซามูไรล้วนออกไปทำการรบจริงให้ประชาชนเห็นอีกสักครั้ง

ความขัดแย้งระหว่างไซโก้กับรัฐบาลมาแตกหักกันที่เรื่องเกาหลี ลูกแกะซึ่งเพิ่งหลุดจากเงื้อมมือจีน และไซโก้ ประสงค์จะผนวกเข้ามาเป็นประเทศเดียวกันก่อนที่ฝรั่งจะมาแย่งไปกินเสียเอง เขาได้เสนอตนต่อ ครม. ว่าจะไป เป็นทูตเยือนเกาหลีระหว่างนั้นก็ให้คนมาลอบฆ่าเขาเสีย เพื่อเป็นเหตุให้ญี่ปุ่นประกาศสงครามได้ กลอุบายสละ ชีพพลีแบบนี้ขอให้คนไทยเข้าใจว่าเมื่อ100ปีก่อนเขายังทำกันมิใช่เรื่องอ่านเล่นในสามก๊ก ญี่ปุ่นเคยทำมา แล้วเพื่อหาเรื่องยึดแมนจูเรีย ระหว่างนั้นรัฐบาลฉุกคิดได้ว่าญี่ปุ่นยังไม่มีความแข็งแกร่งทางอุตสาหกรรมพอที่จะไปชักศึกเข้าบ้าน การยึดเกาหลีอาจเป็นชนวนให้รัสเซียเข้ามาขัดขวางและญี่ปุ่นยังไม่พร้อมจะรบกับฝรั่งซึ่งเป็นการประเมินตนเองได้ถูกต้อง

ฉากนี้ไปตรงกับในหนังเมื่อหัวหน้าซามูไรอย่างคัทซึโมโต้ ผิดใจกันถึงกับลาออกกลางที่ประชุม ไซโก้ก็ทำเช่น เดียวกัน และออกไปตั้งโรงเรียนสอนวิชากึ่งวัฒนธรรมกึ่งการเมืองเงียบ ๆ ที่บ้านเกิด พวกซามูไรที่ต่อต้านการพัฒนาประเทศก็มาห้อมล้อม และก่อเหตุไม่สงบกันทุกวันโดยที่แม้ไซโก้จะอยากอยู่เงียบ ๆก็ยังถูกลากเข้ามาสู่ความวุ่นวายจนได้ด้วยเห็นว่าเคยเป็นผู้มีปากมีเสียงดังในคณะรัฐบาล ตรงนี้ทำให้เห็นว่าการที่ไซโก้พะวงกับความหลังยุคซามูไรรุ่งเรือง ทำให้เขาเสียอนาคต ผิดกับฝ่ายรัฐบาลที่เด็ดเดี่ยวกว่าไม่มีการลังเลสงสัยในนโยบายที่วางเอาไว้แต่ต้น ตามเรื่องจริงมีรัฐมนตรีบางคนได้แอบส่งซามูไร 50คน ไปลอบสังหารเขา แต่ไม่สำเร็จซึ่งในหนังได้ผูกเรื่องให้เป็นนินจาแอบมาเก็บคัทซึโมโต้ขณะมีงานรื่นเริงประจำปี เมื่อคิดฆ่ากันแบบนี้ไซโก้จึงตัดสินใจว่ารัฐบาลเมอิจิเห็นเขาเป็นศัตรูจึงเข้าทำการกบฏเสียเลย โดยรวบรวมพรรคพวกถืออาวุธครบ เดินทางเข้าสู่กรุงโตเกียว โดยอ้างว่ามาโดยสันติและกดดันให้ชะลอการพัฒนาประเทศ

The last samurai โดย เบ กโรงซ น ม า

เกิดปะทะกับทหารหลวงที่หน้าปราสาทคุนาโมโต้ (Kunamoto Castle) ณ จุดนี้ทหารเกณฑ์ลูกชาวนาที่พวก ซามูไรเคยดูหมิ่นไว้สู้ไม่ถอย และกบฏ 18,000 คนถูกสกัดพอมีเวลาให้ ทหารหลวง 43,000 คนมาช่วยได้ทันทหารรุ่นใหม่มีปืนชไนเดอร์ (Snider) ยิงเร็ว และ ยิงปืนแม่น ไม่วิ่งหนีคมดาบเหมือนก่อนอีกแล้วการรบยืดเยื้อต่อไปถึง 6เดือนล้มตายลงนับหมื่น ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าทหารล้มตายลงมากจนต้องขออาสาซามูไรเก่า ๆ มาเป็นตำรวจกองปราบและเข้าร่วมรบ โดยเป็นการดวลดาบกันเป็นครั้งสุดท้ายในแผ่นดินญี่ปุ่น แล้วที่สุดในเดือนกันยายน ค.ศ. 1877 ไซโก้ซึ่งได้รับบาดเจ็บก็กระทำการคว้านท้องโดยขอให้สมุนทำการตัดศีรษะ แทนการถูกจับกุม กล่าวกันว่าคนญี่ปุ่นยังคงรักนับถือน้ำใจซามูไรร่างยักษ์คนนี้เสมอ รัฐบาลใหม่แสดงการคารวะแก่อดีตเพื่อนและศัตรูร่วมตายโดยประกาศมิให้เรียกว่าเป็นกบฏและตั้งให้เป็นรัฐบุรุษ ปรากฏอนุสาวรีย์อยู่ในสวนสาธารณะอุเอโนะซึ่งอุเอโนะไซโก้เคยนำทัพถล่มทัพโชกุนจนกระเจิงมาแล้วในสงครามโบชิน

ท่านไซโก้มิได้ตายฟรีบรรดาหัวกะทิที่เหลือในรัฐบาลต่างก็เป็นซามูไรกันมาทั้งนั้น และมิได้ทอดทิ้งวัฒนธรรม ตลอดจนความคิดของนักรบบูชิโดเสียเลย กองทัพญี่ปุ่นได้นำวิถีนักรบจากลัทธิบูชิโดมาเขียนเป็น "กฎทหาร" (Soldiers' Code) เพื่อเสี้ยมสอนให้ทหารรุ่นใหม่หลอมวิญญาณของตนให้กล้าหาญ และยอมสละชีพเพื่อจักรพรรดิเช่นซามูไรรุ่นเก่า คำขวัญที่ชนชั้นซามูไรต้องเคยใส่ใจว่า" หน้าที่นั้นหนักกว่าขุนเขา ความตายนั้นเบากว่าขนนก"ได้กลายมาเป็นคำขวัญของทหารเชื้อชาติซามูไร และเอกลักษณ์อันน่าเกรงขามต่อศัตรูต่างชาติในเวลาต่อมา

84

0

หากโดน 143 เรื้อน จะถูกแบน

Titan , T.LAW , taMoN , คนที่คุณไม่รู้ว่าใคร? , In My Place , Barcelonistu , Paradise77 , briger , ZemaL , เรียกกูว่าสิงห์ใหญ่ , Rafia , Peter Poker , ถั่วแดง , สมเจียม , Puet_TaeYeon , fathergods , news22 , Reiyuu , อันธพาน , dreamliner , kalakasong , TouchPig , ไก่ริมน้ำปิง , รั่วจริงจริง , People's Club , Remix , bankcodelove , Max!Miz3 , TaeArs , ๐mC๐ , Thousandmaster , CaptainMudryk , GoT_KOt133 , UBAHA , John.Buckethead , Luxiaofeng323 , กวนอูออกศึก , sodedtaa , ทิงนองนอย , Nutkata , *ROCK STAR* , Miyazawa , bankronaldo , Hesitate , gatunyou , aeki , sitea , akimvivi , DarthKaiser , Archawin5 , Jules et Jim , andreas10 , DoOOgKyoOOtE , มอมแมม , Chproject , seahot , Backstreet Boy , LorDBriGhT , ่่ผมไม่รู้ , ToNwinning , dfbeck , kittisakka , ปืนเปลือย , path2544 , ziddig , WakeAlone , WazZa27 , techmode69 , ake007xxx , BigNut , marcoelmo , lolopopo_13 , David Gill , Civilz , Jimmycool , Shades , cartoonology , Reaw_Master , Hlar , Bazenji , Ake the Blue , TheSam , 4-3-3 , warittuta