ประว ต เด กท ม ความบกพร องทางการเห น

เผยแพร่: 13 มิ.ย. 2560 18:06 ปรับปรุง: 13 มิ.ย. 2560 18:14 โดย: MGR Online

ผู้จัดการ ตลท. เผยนายกฯ พร้อม ครม.เศรษฐกิจ ร่วมงาน“Thailand's Big Strategic Move” จัดโดย ตลท. วันที่ 22-23 มิ.ย.นี้

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมทีมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ นำโดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว. คลัง และ ดร. อุตตม สาวนายน รมว. อุตสาหกรรม ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงาน “Thailand's Big Strategic Move” พบผู้ลงทุนทั่วโลกพร้อมกันเป็นครั้งแรก เผยเตรียมให้ข้อมูลแผนยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศอย่างก้าวกระโดด ตามโมเดล Thailand 4.0 เพื่ออนาคตของประเทศใน 20 ปีข้างหน้า พร้อมมุมมองการส่งเสริมการค้าการลงทุน และภาคตลาดทุนแก่ผู้บริหารระดับสูง ผู้ลงทุนสถาบันไทย และต่างประเทศ ในวันที่ 22-23 มิ.ย. นี้

“นับเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำทัพทีมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ นำเสนอความน่าสนใจของประเทศไทย และตลาดทุนไทยแก่กลุ่มผู้ลงทุนสถาบันทั้งไทย และต่างประเทศ ในงาน Thailand's Big Strategic Move” นางเกศรา กล่าว

นางเกศรา กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อให้ผู้ลงทุนเห็นภาพรวมนโยบาย และความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มาตรการต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการส่งเสริมธุรกิจ Startup ในประเทศไทย ภายใต้โมเดล Thailand 4.0 รวมถึงประเด็นที่น่าสนใจในการขยายขอบเขตการลงทุนในเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่ง EEC มีจุดเด่น คือ เป็นทำเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่เชื่อมต่ออาเซียน เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้ ซึ่งตัวเลข GDP จากกลุ่มประเทศดังกล่าว คือ 1 ใน 3 ของ GDP โลก

ดังนั้น การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และลอจิสติกส์ไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอันดับต้นๆ ของโลก จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนของไทยในกลุ่มประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจดทะเบียนที่มาร่วมให้ข้อมูลแสดงถึงศักยภาพของภาคธุรกิจที่สนับสนุนการขับเคลื่อนของประเทศอีกด้วย

“ตัวเลขไตรมาสแรกของ GDP ที่โตขึ้น 3.3% สะท้อนให้เห็นสัญญานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนของภาครัฐในโครงการสำคัญต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมพื้นฐาน การท่องเที่ยว การส่งออกของประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับตัวเลขผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาสแรกที่เติบโตต่อเนื่องหลังจากปีที่ผ่านมา บจ.ไทยได้แสดงผลการดำเนินงานดีเยี่ยม โดยที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจ Thailand 4.0 ของรัฐบาลทั้งในเรื่องการผลักดันให้มีหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรม และคลัสเตอร์เป้าหมายที่เป็นจุดแข็งของประเทศ พร้อมส่งเสริมความรู้ และขยายช่องทางการระดมทุนให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการใหม่ รวมถึง Startup ให้สามารถต่อยอดการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย”

สำหรับไฮไลต์ของงานนี้ คือ จะมีการจัด private session สำหรับผู้จัดการกองทุนต่างชาติระดับโลกกว่า 20 กองทุน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) รวมกว่า 7.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าพบ และรับฟังข้อมูลโดยตรงจากคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการสนทนา และให้ข้อมูลที่จะสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนอย่างมากต่ออนาคต และการเติบโตของไทย

เข้าทาง “คนโกงชาติ”รอเขมือบรอบใหม่!

เผยแพร่: 26 ก.ย. 2552 07:22 โดย: ทีมข่าวการเมือง

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากมีการอ่านคำพิพากษาขององค์คณะตุลาการในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตกล้ายางพารา 90 ล้านต้นของกรมวิชาการเกษตร

นับว่าน่าสนใจยิ่ง เพราะจากตอนแรกทุกอย่างดูเหมือนจะต้องสิ้นสุดนับแต่ศาลพิพากษา “ยกฟ้อง”จำเลยในคดีนี้ทั้ง 44 คนให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิดตามฟ้อง

ซึ่งไม่ว่าผลการวินิจฉัยจะออกมาเช่นใด คดีนี้ก็จะต้องเหมือนกับทุกคดีที่ทุกฝ่ายต้องเคารพคำตัดสินของศาล โดยไม่ควรกระทำตัวเฉกเช่นเดียวกับ นช.(พ.ต.ท.)ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลฎีกาฯในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก

ไม่เคารพคำพิพากษาศาลยังไม่พอ ยังใช้ทุกเวทีทั้งในประเทศไทยและเวทีต่างชาติ เช่นการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศ ทำการโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยโดยให้นิยามว่าเป็น

“กระบวนการยุติความเป็นธรรม”

และกับการกล่าวให้ร้ายศาลหลายต่อหลายครั้งเช่น “สองมาตรฐาน” หรือ”เมียซื้อกลับรอด ผัวเซ็นชื่อติดคุก”ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

มาวันนี้ ก็พบว่า นช.ทักษิณแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาอีกครั้ง และหนักกว่านั้นก็คือการออกมาปูดข่าวให้คนคิดไปไกล

สอดคล้องกับพฤติการณ์ของกลุ่มลูกสมุนของระบอบทักษิณ ทั้ง ส.ส.เพื่อไทยบางคนและกลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่าชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยอันมีทนายเสื้อแดง พิชา วิจิตรศิลป์เป็นแกนนำ

ได้ออกมาเคลื่อนไหวคุกคามองค์คณะผู้พิพากษาในคดีทุจริตกล้ายางพารา ด้วยการไปยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินขององค์คณะตุลาการที่ตัดสินคดีกล้ายางพารา อันประกอบด้วย

1.นายบุญรอด ตันประเสริฐ 2.นายชาลี ทัพภวิมล 3.นายเกษม วีรวงศ์ 4.นายสุรภพ ปัทมะสุคน 5.นายวิชา มั่นสกุล 6.นายพรเพชร วิชิตชลชัย 7.นายประทีป ปิติสันต์ 8.นายรัตน กองแก้ว และ9.นายจรัส พวงมนี

แน่นอนว่า พฤติกรรมและการเคลื่อนไหวดังกล่าว สังคมไม่ให้ราคา เพราะเห็นชัดแล้วว่า คนกลุ่มนี้ไม่เคารพกฎกติกาของบ้านเมือง ล่วงละเมิดอำนาจตุลาการ และพยายามทำให้เรื่องการยกฟ้องคดีกล้ายางพารา

กลายเป็นประเด็นการเมือง

เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของตุลาการ ตามรอยลูกพี่ใหญ่ นช.ทักษิณ ชินวัตร

นอกจากการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้แล้ว ตัวหัวหน้าใหญ่เสื้อแดงและเพื่อไทยอย่าง นช.ทักษิณ ก็ไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนี้ทำให้สังคมกังขาต่อกระบวนการยุติธรรมด้วยการโพสต์ในทวิสเตอร์ของตัวเองเมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ดังมีใจความว่า

"ข้อกล่าวหาที่ได้ผลชะงักคือ ล้มล้างสถาบันฯ ทั้งๆ ที่ท่านรู้ดีว่า ผมเทิดทูนสูง เพราะท่านก็เคยร่วมกับผมทำงานถวายฯ อย่างมีความสุขมาหลายปีหลายงาน และเราก็เคยพูดกันในค.ร.ม. ถ้าท่านทำได้ครบก็จะมี

คนยกหูช่วยท่านให้หลุดพ้น

ขอให้โชคดี และพ้นคดีกัน ถ้าเนียนจริงก็จะได้เป็นนายหน้าค้าอำนาจ”

วัตถุประสงค์ดังกล่าวของทักษิณ ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งไปมากกว่าการพยายามจะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกว่า ศาลและกระบวนการยุติธรรมมีการเลือกปฏิบัติ และสองมาตรฐาน รวมถึงการพยายามจะสื่อเรื่อง

อำนาจแฝงบางอย่างในทางการเมือง ว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องคดีความของศาล

เมื่อวิเคราะห์แล้วก็เป็นการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอยและมุ่งหวังเพียงผลในทางการเมืองของทักษิณอีกครั้ง หลังจากใช้วิธีการกล่าวร้ายทำลายศาลและกระบวนการตุลาการมานักต่อนัก เพื่อให้องค์กรทางด้านยุติธรรมถูกลดความน่าเชื่อถือ

อันเป็นพฤติกรรมที่ทักษิณกระทำมาตลอดในการโจมตีศาล โดยเฉพาะในการปลุกระดมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

แน่นอนว่า เมื่อสังคมภายนอกศาลยุติธรรม พยายามจะก้าวล่วงองค์กรศาลมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องออกมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ล่าสุด ท่านวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายนนี้ ได้เตรียมตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมาเพื่อสอบข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความในเรื่องที่สังคมสงสัยหรือกังขาต่างๆ ในการตัดสินคดีนี้ ว่า

ความลับในคดีรั่วไหลจริงหรือไม่

อันแสดงให้เห็นว่า องค์กรศาลพร้อมจะเป็นองค์กรเปิดให้สังคมภายนอกได้เข้ามาตรวจสอบการทำหน้าที่ของตุลาการตลอดเวลา หาได้เป็นองค์กรสองมาตรฐานหรือเลือกปฏิบัติอย่างที่นักการเมืองปากสวะบางคนพยายามกล่าวหา และให้ร้ายป้ายสีอย่างน่าละอาย

ทีมข่าวการเมือง ขอย้ำให้สังคมวางใจได้ในระบบศาลยุติธรรมของไทย และควรที่ทุกฝ่ายต้องเคารพคำตัดสินของศาล แม้จะมีเรื่องไม่ดีไม่งามบ้างก็เป็นเพียงคนเลวกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่องค์กรศาลยุติธรรมทั้งหมด

อย่าคล้อยตามคนอย่าง นช.ทักษิณและแก๊งของเขา ที่พอคดีใดมีคำพิพากษาออกมาแล้ว ปรากฏว่าผลคำพิพากษาคดีไม่ตรงตามความต้องการ เพราะพยานหลักฐานไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่ามีการกระทำผิดตามฟ้อง ก็มาวิพากษ์วิจารณ์ศาลด้วยความกังขา

แต่พอผลแห่งคดีออกมาเป็นที่ถูกใจก็แสดงความชื่นชมว่าตัดสินได้ตรงไปตรงมา

อันเป็นความคิดที่ใช้หลักความพึงพอใจ และความต้องการส่วนตัวเข้ามาเป็นตัวตัดสินข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นกับคนในสังคม

หลักคิดดังกล่าว เมื่อพิจารณากลับไปในคดีกล้ายาง ก็พบว่า องค์กรที่ทำให้สังคมสงสัยต่อการทำหน้าที่และจิตสำนึกในเรื่องการเคารพคำตัดสินของศาล อีกหนึ่งองค์กรนอกเหนือจากฝ่ายการเมืองก็คือ

“อัยการ”หรือทนายแผ่นดิน

หลังเกิดปรากฏการณ์การตอบโต้กันไปมาอย่างรุนแรงของฝ่ายอดีตกรรมการ คตส.ที่ถูกอัยการทำการดิสเครดิตว่า คตส.ทำสำนวนคดีการสอบสวนอ่อน จึงเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องในคดีกล้ายาง

อันเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยไม่ใช่น้อยที่จู่ๆ ทนายแผ่นดินอย่างอัยการ กลับออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวตำหนิอดีต คตส. เหมือนกับว่าทุกคดีที่อัยการยื่นฟ้องชนะหมดทุกคดีที่มีการฟ้องศาล ซึ่งความจริงแล้ว ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

จึงแสดงให้เห็นชัดว่า ฝ่ายอัยการเองที่มีปัญหาขัดแย้งกับอดีต คตส.มาตลอดก่อนหน้านี้ จึงได้ใช้เรื่องที่ศาลยกฟ้องคดีกล้ายางมาทำลายความน่าเชื่อถือของอดีต คตส

โดยสิ่งที่อธิบายความขัดแย้งดังกล่าวได้ดีที่สุด ก็คือสำนวนที่ คตส.ทำการสอบสวนมีเพียงสองคดีเท่านั้น ที่อัยการยื่นฟ้องหลังจากรับสำนวนมาจาก คตส.

คือ1.คดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นในยุคที่มีอัยการสูงสุดชื่อ “พชร ยุติธรรมดำรง”

หาใช่ “ชัยเกษม นิติศิริ”คนปัจจุบันที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายนนี้

และ2.คดีการฟ้องเพื่อยึดทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติของทักษิณ ชินวัตร จำนวน 7.6หมื่นล้านบาท ซึ่งสั่งฟ้องโดยชัยเกษม อันเป็นคดีที่กระแสสังคมจับตามองอย่างสูงในขณะนี้ และใกล้ที่จะถึงวันพิพากษาแล้ว

ทั้งนี้คดีนี้เป็นเรื่องประชาชนเข้าใจได้ไม่ยากและเห็นชัดว่าน่าจะพอนำคดีเข้าสู่ศาลได้ เพราะในระหว่างที่อยู่ในอำนาจ นช.ทักษิณโกงอย่างมโหฬารแน่ๆจนมีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มขึ้นนับแสนล้าน เพิ่มขึ้นจากก่อนเข้าเล่นการเมืองหลายเท่า

จึงทำให้อัยการหามุมอื่นไม่ได้ ต้องยื่นฟ้องต่อศาลสถานเดียว

แต่นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นคดีหวยบนดิน กล้ายางพารา ก็พบว่า คตส.ต้องใช้บริการของสภาทนายความในการยื่นฟ้องเองทั้งสิ้นหลังอัยการมีความเห็นไม่ฟ้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่ออดีต คตส.ถูกอัยการดิสเครดิตก็ทำให้เกิดการสวนกลับทันควัน ว่าสิ่งที่อัยการออกมาแถลงข่าวตำหนิอดีต คตส.ที่ทำหน้าที่ในการสอบสวนและเอาผิดผู้ทุจริตต่อบ้านเมือง

กำลังถูกอัยการ ซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมกำลังทำให้สังคมสับสนและอาจนำมาซึ่งความเสื่อมได้

แถมยังทิ้งทายให้สังคมหนุนแนวคิดการตั้งองค์กรอิสระภาคประชาชนมาทำหน้าที่ในกรณีที่องค์กรของรัฐไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง จนทำให้คนชั่วลอยนวล

น่าจะหมายถึงการที่อัยการไม่ยอมฟ้องคนที่คิดว่า น่าจะมีหลักฐานเอาผิดได้ในการสอบสวนของ คตส.จนทำให้ คตส.ต้องทำการฟ้องคดีด้วยตัวเอง

แม้วันนี้ สงครามวิวาทะของอัยการ-อดีต คตส.จะสิ้นสุดไปแล้ว โดยทั้งฝ่ายต่างก็เจ็บตัวไปพอๆกัน ทั้งที่ต่างก็มีหน้าที่คล้ายคลึงกันคือการเอาคนผิดเข้าคุก ให้ได้รับการลงโทษ

แต่กลับต้องมาขัดแย้ง-ชนกันเอง เพียงเพราะการไม่ยอมจบในเรื่องที่ควรจบ

ทีมข่าวการเมืองขอเตือนว่า หากองค์กรยุติธรรมมุ่งจะเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้ผู้อื่น ทะเลาะกันไม่เลิกเช่นนี้ คนที่นั่งอยู่บนภู ดูเสือกัดกัน คงได้หัวเราะท้องแข็งอย่างสะใจ คงไม่ใช่แค่ทักษิณ ชินวัตรคนเดียวแน่นอน เพราะยังมี