ถ.สร นทร ศร เกษตร ต.ชะแงง อ.ศร ภ ม

เสือปฏิวัติ

เผยแพร่: 2 ม.ค. 2553 01:55 โดย: MGR Online

เด็ดดอกไม้รายทาง โดย...อัญชะลี ไพรีรัก

หลังจากไปล้างพิษด้วยสูตร “ควายสะอื้น”ของหมอเขียว เกร็ดดิน แห่ง สันติอโศก ที่ศูนย์กสิกรรมไร้สารพิษ บ้านน้ำซับ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เมื่อธันวาคมปีกลาย ก็รู้สึกว่าดี กระชุ่มกระชวย สดชื่น จึงเป็นเหตุให้นำผลนั้นมาสานต่อให้เกิดประโยชน์โภชผลกับร่างกายที่กำลังเข้าสู่วัยเปลี่ยนแปลงต่อไป

ปีนี้ทั้งปีรับประทานเนื้อสัตว์น้อยมาก จะหนักไปทางผักสด-ผลไม้และธัญพืช โดยศึกษาหลักการบริโภคให้ครบหมวดหมู่จากพี่ขวัญดินและพี่ดินนา สันติอโศก เช่นกัน

ตั้งเป้าไว้ว่าปี 2553 หรือปีที่นักพยากรณ์โจษขานกันว่าเป็นปีเสือดุ จะต้องหันเหพฤติกรรมการบริโภค โดย ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ใหญ่และสัตว์ปีก แต่หันมารับประทานแมคโครไบโอติคส์แทน คือ กินผัก กับ ปลา ซึ่งต่างจากมังสวิรัติ กับ เจ สองประเภทนี้ค่อนข้างปฏิบัติยากสักหน่อยสำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคย แต่มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า เดี๋ยวก็จะสามารถพัฒนาไปได้เอง

ตลอดทั้งปีนี้จึงแวะเวียนไปมาหาสู่กับพี่ๆกองทัพธรรม ที่สันติอโศก ถ.นวมินทร์อยู่บ่อยๆ เจอใครก็มักจะเข้ามาซักถามด้วยความสนใจว่าทำไมจึงหันมารับประทานแมคโครไบโอติดส์ ก็ตอบไปว่า “สดชื่นดี”

ซึ่งก็จริง...เพราะก่อนหน้าเมื่อสัก10กว่าปีที่ผ่านมา ได้รู้จักกับพระนักเทศน์ชื่อดังของสันติอโศกคือ ท่านจันทน์ จันทเศรษโฐ จากมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ผ่านทางรายการวิทยุ

คุยกันเรื่องบ้านเมืองและสังคมไปมาอยู่หลายหน ทั้งทางหน้าไมค์ และ หลังไมค์ จนชักนำไปสู่การเยี่ยมเยียนสันติอโศกอย่างจริงจัง และได้ร่วมอ่านหนังสือมากกว่า 7 เล่ม และ ช่วยกิจกรรมมากกว่า 7 ครั้ง จนผูกพันต่อเนื่องยาวนาน แม้จะยังบริโภคเนื้อสัตว์ หากแต่ประกอบผักผลไม้มากขึ้น และเริ่มใช้ชีวิตในวิถีแห่งคนทำดี...วิถีของเพื่อนช่วยเพื่อน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ซึ่งกรณีนี้ลุงจำลองบอกกับใครๆว่า “เคร่งครัดกับตัวตน แต่ผ่อนปรนกับอัญชะลี”....กราบขอบพระคุณคะคุณลุง

ใครจะเชื่อว่า ความผูกพันแน่นแฟ้นนี้จะดำเนินเรื่อยมา จนนำไปสู่ การต่อสู้ของการเมืองภาคประชาชนทั้งก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน และ ในช่วง 193 วัน ที่จำไม่ลืมว่าวันคืนผ่านพ้นไป ประชาชนได้ “กองทัพธรรม” เป็นแรงหนุนสำคัญ ไม่มีพวกเขา ...ไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้าจะฝ่าฟันมาได้อย่างไร

อย่างที่รู้กันว่าตลอดการชุมนุมกองทัพธรรมของสันติอโศก โดยการนำของพ่อท่านโพธิรักษ์และลุงจำลอง ศรีเมือง ได้จัดกองกำลังสำคัญให้กับพวกเราหลายประการ หลักๆคือ ผู้ชุมนุมที่ปักหลักพักค้าง ยานพาหะนะ และ โรงครัวกองทัพธรรม

โรงครัวของคนใจบุญนี้เองที่ผลิตอาหารมังสวิรัติเลี้ยงผู้ชุมนุม และ ผู้สัญจรผ่านไป-มาวันละ 3 มื้อ ครั้งละมากมาย เอร็ดอร่อยกันถ้วนหน้า แถมได้สุขภาพดี และ ความรู้เรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมติดไม้ติดมือกลับบ้านไป

ที่นี่เองที่ได้มีโอกาสคุยกับพี่ขวัญดิน พี่ดินนา และ หมอเกร็ดดินมากขึ้น คุยกันจนได้ความรู้เพลิดเพลิน และที่สุดหลังยุติการชุมนุมก็หอบผ้าตามพี่ๆเขาไปพักที่บ้านดิน กลางไร่ผัก ของศูนย์กสิกรรมไร้สารพิษ อ.วังน้ำเขียว ซึ่งมีพี่อำนาจ หมายยอดกลาง เป็นประธานดำเนินการ

ด้วยเวลา 2 คืน 3 วัน หมอเกร็ดดินให้ดื่มน้ำคั้นจากหญ้า 5 ชนิด จำนวน 6 ลิตร ที่ผสมสารธรรมชาติ 2- 3 อย่าง ดื่มไปถ่ายไป จากถ่ายดำจนเป็นถ่ายเหลือง จากกลิ่นเหม็นเน่าตลบกลายเป็นกลิ่นน้ำหญ้า ถึงขั้นนี้หมอเกร็ดดินจึงให้ดื่มน้ำสะระแหน่ร้อนๆ 5 ถ้วย และ ตามด้วยน้ำขิงร้อนๆเจือน้ำผึ้งป่าอีก 5 ถ้วย ดื่มเสร็จถ่ายอีกเป็นการปิดท้ายเหมือนฉากสุดท้ายก่อนปิดกล้องหนัง-ละคร

กลับมาถึงASTV ได้เขียนเรื่องนี้เผยแพร่และไปถ่ายทำรายการข่าวยามเช้ารับปีใหม่กับน้องเก๋ กมลพรด้วย ปรากฏว่าผู้คนให้ความสนใจไปล้างพิษสูตรควายสะอื้นกันอุ่นหนาฝาคั่ง

ผ่านมา 1 ปี ชวนพี่เล็ก-ปริศนา เจ้าเดิมไปล้างพิษที่ศูนย์กสิกรรมไร้สารพิษ วังน้ำเขียวกันอีก คราวนี้เวลาดีมีน้อยเลยค้างได้ 1 คืน 1 วัน เท่านั้น

พี่ปุ๊ก – น้องสาวพี่อำนาจมาแทนหมอเกร็ดดิน เห็นว่ามาได้แป๊บเดียว เลยจัดให้รับประทานแต่อาหารสุขภาพ และ บรรยายเรื่องตำราอาหารเป็นยา สูตรที่เพิ่งไปฝึกงานมาหมาดๆจาก กรุงโรม อิตาลี

ครัวของพี่ปุ๊กที่ศูนย์กสิกรรมไร้สารพิษจัดว่ามีชื่อเสียงในด้านความสด สะอาด และ รสชาติอร่อยจากเมนูหลากหลาย แม้คนที่ไม่เคยคุ้นลิ้นอาหารธรรมชาติก็ยังต้องยกนิ้วให้

อาหารของที่นี่ใช้ผักสดที่เก็บมาจากไร่ผักไร้สารพิษที่ปลูกเขียวขจีไปทั้งหุบเขา ผักสวยกลิ่นหอมสดชื่นรสชาติหวานล้ำ นำไปประกอบอาหารอะไรก็อร่อย แม้รับประทานสดๆกับข้าวกล้องสวยก็หอมอร่อยชื่นใจ

ครัวแห่งนี้ปรุงอาหารด้วยดอกเกลือ น้ำผึ้งป่า และ ซีอิ๊วที่ทำขึ้นเอง ล่าสุดที่นี่กำลังจะมีโรงหมัก “มิโซ๊ะ” เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นซึ่งเป็นอาหารชั้นดีที่วงการอาหารสุขภาพยอมรับ

รสชาติอาหารจากครัวพี่ปุ๊กจะเหมือนกับสันติอโศกทุกแห่ง คือ ปานกลางไม่โดดไปทางใดทางหนึ่ง เป็นรสชาติที่อิงธรรมชาติมากที่สุด แต่ก็ไม่จืดจนน่าเบื่อ

ส่วนหน้าตา-สีสันของอาหารไม่ต้องพูดถึง จัดจ้านจี๊ดจ๊าดตามสีสันของผักสด-ผลไม้และธัญพืชที่นำมาประกอบอาหารกันเลยทีเดียว กินอาหารมังสวิรัติของพี่ปุ๊กแล้วอร่อย สนุกสนาน กินได้กินดีไม่รู้จักอิ่มกันสักที

วันจะกลับบ้านพี่อำนาจและภรรยา พาไปเยี่ยมเยียนพี่น้องกลุ่มเกษตรกรรมไร้สารพิษ ในหมู่บ้านวังน้ำเขียว สมาชิกที่นี่เป็นชาวบ้านที่มาจากทุกสารทิศ เข้ามาฝึกอบรมเรื่องการทำกสิกรรมโดยไม่ใช้สารเคมี พวกเขาเรียนรู้กรรมวิธีการดูแลดิน และ รักษ์น้ำด้วยวิถีธรรมชาติ จากนั้นก็เข้าร่วมปลูกผักไร้สารกับโครงการ ฯ

วันเวลาผ่านไปด้วยความมานะบากบั่น จนถึงวันนี้ครอบครัวกสิกรไร้สารพิษมากกว่า 600 คน ที่บำเพ็ญตนเยี่ยงชาวอโศก ได้นำผลิตผลของตนเองส่งขายออกสู่ตลอดภายนอกบ้านน้ำซับ อ.วังน้ำเขียว ไปยังชุมชนต่าง และ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

จนกระทั่งกำลังการผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด...นี่คือ ชัยชนะของบ้านน้ำซับ...ชัยชนะของวิถีธรรมชาติ

พี่อำนาจเล่าว่า ที่หมู่บ้านน้ำซับซึ่งตั้งกลางหุบเขา วังน้ำเขียวเป็นพื้นที่ดินดาล โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนและ อุดมสมบูรณ์ด้วยดินดำ น้ำชุ่ม ที่นี่จึงมีโอโซนสูงมาก

ก่อนปี 2540 ความแห้งแล้งที่เกิดจากการทำไร่เลื่อนลอยของชาวบ้าน และการตัดไม้ทำลายป่าของนายทุน ทำให้บ้านน้ำซับมีสภาพน่าสลดหดหู่

จนกลุ่มของพี่อำนาจ และชาวอโศกเข้ามาพร้อมแนวคิดวิถีกสิกรรมธรรมชาติ เพียงไม่กี่ปีให้หลังก็สามารถพลิกฟื้นผืนดินให้กลับคืนสู่ความชอุ่มพุ่มไสวดังเดิม และมีชาวบ้านเข้ามาร่วมอุดมการณ์มากมายจนกระทั่งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพระราชดำริ และ จัดการฝึกอบรมให้ข้าราชการ และ หน่วยงานที่สนใจหลายรุ่น

กระนั้นแล้วศูนย์กสิกรรมไร้สารพิษ วังน้ำเขียวก็ยังเป็นลูกนอกไส้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ดี ด้วยเหตุผลสั้นๆคือ “เราปฏิเสธการใช้ปุ๋ยที่มาจากสารเคมี” พี่อำนาจเดาว่าอย่างนั้น

ก่อนออกจากศูนย์กสิกรรมไร้สารพิษ วังน้ำเขียว พี่อำนาจและภรรยาตัดผักสดๆหลายชนิด ทั้งผักสลัด กวางตุ้ง คะน้า กะหล่ำปลี ฟักทอง น้ำเต้า มะเขือเปาะ พริกไทยอ่อน ฝากมายังASTV ด้วย แถมยังฝากข้าวกล้อง-ข้าวซ้อมมือ หอมมะลิชั้นดีที่ปลูกและเก็บเกี่ยวมาจากบ้านราชธานีอโศก อุบลราชธานี แถมมาด้วยกระบุงใหญ่

ปีนี้เลยมีนัดกับลุงจำลอง ศรีเมืองอีกว่าจะไปร่วมล้างพิษ กับ หมอเขียว ที่โรงเรียนผู้นำในต้นเดือนมกราคม ตามด้วยทัวร์บุญกับท่านจันทน์ที่อินเดีย

ปี 2553 จะไม่ใช่ปีเสือดุดังใครเขาว่า ถ้าเราหันมาดูแลสุขภาพองค์รวมด้วยตัวเอง ช่วยกันสร้างสรรค์สังคมดี กำจัดความชั่วร้ายและคนชั่วช้าสามานย์ออกไปจากแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองของเรา ผนวกกับการมองเห็นและยึดมั่นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมพัฒนาประเทศโดยไม่ลืมว่าเรามาจากไหนและมีต้นทุนอะไร

เท่านี้ “ไทยก็เข้มแข็ง” ส่วนเสือใครที่ว่าดุ จะพ่ายแพ้กับเสือของเราที่อ้วนท้วนสมบูรณ์สุขภาพดีมีจริยธรรม