ไฟที่บ้านตกทุกวันเลย กลัวเครื่องใช้ไฟฟ้าพัง อยากสอบถามว่าควรใช้เครื่องดึงไฟหรือเครื่องปรับไฟแบบไหนที่เหมาะกับมิเตอร์ 15 แอมป์ แนะนำหน่อยค่ะ กังวลมากเพราะที่บ้านมีแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่ๆ เช่นตู้แชร์ แอร์ ค่ะ Show  "UPS VS Stabilizer"
#ความแตกต่าง 1. UPS มีค่าความละเอียดในการปรับแรงดันที่น้อยกว่า Stabilizer กล่าวคือ UPS มีค่าการปรับแรงดันที่ 220+-10% แต่ Stabilizer มีค่าการปรับแรงดันที่ 220+-5% (แล้วแต่รุ่น) : Stabilizer Win 2. UPS สำรองไฟได้กรณีที่ไฟดับหรือแรงดันตกหรือเกินมากกว่าค่าที่กำหนด เพราะมีแบตเตอรี่สำรองไฟ แต่ Stabilizer ไม่มีตรงนี้ : UPS Win 3. ใน UPS ราคาถูก การปรับโหมดจะใช้รูปแบบของ Ralay (เสียงแต๊ก ๆ ที่เราได้ยินจาก UPS) แต่ใน Stabilizer บางยี่ห้อนั้นจะใช้การปรับโหมดแบบ Static ซึ่งปรับโหมดไวกว่า : Stabilizer Win 4. ในอุปกรณ์ที่กินไฟสูง ๆ เช่น แอร์ หรือเครื่องทำน้ำอุ่น UPS ที่ให้กำลังไฟสูง ๆ เพื่อรองรับอุปกรณ์พวกนี้นั้นราคาสูงมาก และอุปกรณ์พวกนี้ไม่จำเป็นต้องสำรองไฟ ดังนั้น Stabilizer จะตอบโจทย์ตรงนี้มากกว่า : Stabilizer Win 5. ระบบกันไฟกระชากนั้น Stabilizer ทำหน้าที่ได้ดีกว่า เพราะหม้อแปลงที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งบางยี่ห้อนั้น มีหม้อแปลง Auto 1 ลูก เพื่อทำหน้าที่ Absorb ไฟกระชาก แต่กันไฟกระชากใน UPS นั้นจะมีตัวเล็ก ๆ ซึ่งจะเรียกว่าไม่มีก็ได้ : Stabilizer Win 6. การทำงานหนัก การทำงานต่อเรื่อง Stabilizer จะตอบโจทย์กว่า UPS ครับ : Stabilizer Win 7. ค่า Input Range นั้น Stabilizer จะมี Range กว้างกว่า UPS : Stabilizer Win8. Stabilizer จ่ายไฟแบบ Pure Sine Wave แต่ UPS ในกรณีที่ไฟดับจะจ่ายไฟแบบ Simulated Sine Wave : Stabilizer Win9. ถ้าต้องการกำลัง WATT เยอะ ซื้อ Stabilizer จะคุ้มกว่า UPS เพราะจะได้ WATT มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าเยอะเลย : Stabilizer Win 10. UPS ต้องเปลี่ยนแบตเมื่อแบตเสื่อม แต่ Stabilizer ไม่ต้องเพราะไม่มีแบต : เสมอกัน --- เอาจริง ๆ สิ่งที่ Stabilizer แพ้ UPS อาจจะมีแค่เพียง "มันสำรองไฟไม่ได้" มันต่างกันตรงนี้ --- #การใช้งาน ใช้กับคอมพิวเตอร์ : UPS ใช้กับทีวีทั่ว ๆ ไปก๊อก ๆ แก๊ก ๆ เสียบกล่องดาวเทียม นิดหน่อย : Stabilizer หรือ UPS ก็ได้ ใช้กับทีวีที่ต่อชุดโฮมเธียร์เตอร์ที่ซีเรียสเรื่องภาพและเสียงสุด ๆ : Stabilizer ใช้กับเครื่องเสียง : Stabilizer ต้องการป้องกัน แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เครื่องจักรต่าง ๆ : Stabilizer อุปกรณ์มอเตอร์ : Stabilizer เท่านั้น หม้อดึงไฟ หม้อเพิ่มไฟ หรือ Stabilizer ทำงานอย่างไร | ในปัจจุบัน… สาเหตุปัญหาความเสียหายของอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ มักจะหนีไม่พ้นเรื่องของความไม่เสถียรของแรงดันไฟฟ้า ยกตัวอย่าง เช่น ไฟกระชาก ไฟตก ไฟเกิน เป็นต้น ดังนั้นอุปกรณ์นี้จึงมีบทบาทสำคัญที่จะเข้ามาแก้ไข และป้องกันโอกาสที่จะเกิดปัญหาเหล่านี้ ก่อนที่มันจะสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ระบบเสียงของคุณ ดังนั้นบทความนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยกันครับ ว่า หม้อดึงไฟ หม้อเพิ่มไฟ หรือ Stabilizer มีหลักการทำงานอย่างไร แรงดันไฟฟ้า คือ กระแสไฟฟ้าเกิดจากการที่มีอิเล็กตรอนไหลในสายไฟ ซึ่งการที่อิเล็กตรอนไหล หรือเคลื่อนที่ได้นั้น จะต้องมีแรงมากระทำต่ออิเล็กตรอนทำให้เกิดกระแสไหล แรงดังกล่าวนี้เรียกว่า แรงดันไฟฟ้า (Voltage) ศักย์ไฟฟ้า เป็นอีกคำหนึ่งที่คล้ายกับแรงดันไฟฟ้า จะหมายถึง ระดับไฟฟ้า เช่น ลูกกลมที่ 1 มีประจุไฟฟ้าบวกจะมีศักย์ไฟฟ้าสูง ส่วนลูกกลมที่ 2 มีประจุไฟฟ้าลบจะมีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ดังนั้น ลูกกลมที่ 1 และ 2 จึงมีความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้า เรียกว่า ความต่างศักย์ไฟฟ้า แรงขับเคลื่อนทางไฟฟ้า หมายถึง แรงที่สร้างให้เกิดแรงดันไฟฟ้า ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระตลอดเวลา กระแสไฟฟ้าจึงไหลตลอดเวลา แรงเคลื่อนไฟฟ้านี้อาจเกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า , แบตเตอรี่ , ถ่านไฟฉาย และเซลล์เชื้อเพลิง เป็นต้น หน่วยของแรงดันไฟฟ้า , ความต่างศักย์ไฟฟ้า หรือแรงขับเคลื่อนทางไฟฟ้า มีหน่วยเดียวกัน นั่นก็คือ โวลต์ (Voltage ซึ่งแทนด้วย V) อ้างอิงจาก
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
หลักการทำงานของหม้อดึงไฟ ไฟฟ้า คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดในระบบเสียง เพราะเป็นแหล่งพลังที่จำเป็นต้องจ่ายให้กับอุปกรณ์ระบบเสียงต่าง ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เพาเวอร์แอมป์ มิกเซอร์ หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ระบบไฟบนเวทีก็ตาม หลายท่านก็ยังคงประสบกับปัญหาความไม่เสถียรของแรงดันไฟฟ้า ดังตัวอย่างที่ได้กล่าวในข้างต้น ซึ่งโดยปกติแล้ว ระดับแรงดันไฟฟ้าที่เราใช้กันจะอยู่ที่ 220-230V แต่บางงานเราอาจจะเจอกับปัญหาแรงดันไฟฟ้าตก เหลือ 200V หรือ 180V ดังนั้นจึงมีอุปกรณ์ตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้แรงดันไฟฟ้ากลับมาอยู่ในระดับปกติ นั่นก็คือ หม้อดึงไฟ หรือบางคนก็เรียกว่า หม้อเพิ่มไฟ ทีนี้.. เรามาทำความเข้าใจไปพร้อมกันครับ ว่า หม้อดึงไฟ หรือ หม้อเพิ่มไฟ มีหลักการทำงานอย่างไร
ยกตัวอย่างในกรณีที่ไฟตกจาก 220V เหลือ 200V การคำนวณของหม้อดึงไฟก็คือ V1 = 200V (แรงดันไฟขาเข้า) V2 = 220V (แรงดันไฟขาออกที่เสถียรแล้ว) สมมติว่าหม้อดึงไฟของเรา มีการหมุนของขดลวดหม้อแปลงฝั่งปฐมภูมิอยู่ที่ 100 รอบ ดังนั้น N1 = 100 (จำนวนรอบการของขดลวดหม้อแปลงฝั่งขาเข้า) หม้อดึงไฟ จะคำนวณว่า N2 หรือจำนวนรอบการหมุนของขดลวดหม้อแปลงฝั่งทุติยะภูมิ จะต้องหมุนกี่รอบ เพื่อที่ได้แรงดันไฟขาออกที่ 220V ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้ครับ จากสูตรการคำนวณ จึงสรุปได้ว่า N2 หรือจำนวนรอบการหมุนของขดลวดหม้อแปลงฝั่งทุติยะภูมิ จะต้องหมุน 110 รอบ เพื่อที่จะได้แรงดันไฟให้อยู่ที่ 220V ครับ แต่… ในอีกหนึ่งกรณี เมื่อใช้หม้อดึงไฟ หรือ หม้อเพิ่มไฟ เพื่อแก้ปัญหาแรงดันไฟตก แต่จู่ ๆ แรงดันไฟจากที่ตกอยู่ที่ 200V กลับเพิ่มขึ้นมาเป็น 220V จากในกรณีนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราลองมาคำนวณกันดูครับ จะเห็นได้ว่า จากที่เราปรับค่าหม้อดึงไฟ หรือ หม้อเพิ่มไฟ ให้มีการหมุนของขดลวดหม้อแปลงฝั่งทุติยะภูมิอยู่ที่ 110 รอบ จะทำให้แรงดันไฟขาออกเพิ่มขึ้นกลายเป็น 242V ซึ่งเป็นค่าแรงดันไฟที่มากเกินไป ในกรณีนี้ก็อาจจะส่งผลให้อุปกรณ์ของท่านเกิดความเสียหายขึ้นมาได้ครับ เนื่องจาก หม้อดึงไฟ หรือ หม้อเพิ่มไฟ ที่เป็นระบบ Manual เราจึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่า แรงดันไฟจะตก หรือจะเพิ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Stabilizer ซึ่งหลักการทำงานของมันนั้น เหมือนกับหม้อดึงไฟทุกประการ แต่จะต่างกันเพียงแค่ Stabilizer จะทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถที่จะควบคุมแรงดันไฟขาออกให้อยู่ที่ 220V ได้ โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ของท่านครับ สามารถดูคลิปวิดีโออธิบายประกอบไดที่นี่ : สรุป หม้อดึงไฟ หรือ หม้อเพิ่มไฟ คือ หม้อแปลงที่ทำหน้าที่จัดการกับแรงดันไฟฟ้า ระบบ Manual หรือใช้มือปรับเอง เพื่อแก้ปัญหาป้องกันไฟกระชาก ไฟตก ไฟเกิน ให้แรงดันไฟฟ้าอยู่ในระดับคงที่ และสม่ำเสมอ ช่วยให้การจ่ายกระแสไฟเป็นไปด้วยความราบรื่น อุปกรณ์ต่อพ่วงจึงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสที่เกิดความเสียต่ออุปกรณ์ อันมีสาเหตุมาจากกระแสไฟฟ้าอีกด้วย เหมาะสำหรับใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการทำงานตลอดเวลา เช่น เครื่องเซิฟเวอร์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ในวงการเครื่องเสียง ก็ถูกนำมาใช้ เพื่อความปลอดภัยของอุปกรณ์ระบบเสียงอีกด้วย ในส่วนของ Stabilizer หรือ Automatic Voltage Stabilizer (AVS) หรือเรียกอีกอย่างว่า Automatic Voltage Regulator (AVR) ซึ่งสองคำนี้มีความหมายเดียวกันครับ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เหมือนกับหม้อดึงไฟ หรือ หม้อเพิ่มไฟ แต่จะต่างกันตรงที่ Stabilizer จะทำงานด้วยระบบอัตโนมัตินั่นเอง Automatic Voltage Regulator คืออะไรคำว่า AVR ย่อมาจาก Automatic Voltage Regulator คือ การปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ ข้อมูลดพิ่มเติม : AVR เป็นคุณลักษณะของโครงสร้างเชิงเส้นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ด้วยเทคโนโลยี AVR แทนที่จะใช้แบตเตอรี่ และในช่วงระหว่างแรงดันไฟฟ้าขาเข้าสูงหรือต่ำ Stabilizer ทำงานยังไงStabilizer มีหน้าที่รักษาระดับแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพคงที่ก่อนจ่ายไฟออกไปใช้งานกับเครื่องมือ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งยังป้องกันและกรองสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าที่เกิดจากมอเตอร์ เครื่องเชื่อมโลหะ การเปิด – ปิดสวิตช์ไฟฟ้า ความถี่ของวิทยุ หรือฟ้าผ่า รวมถึงมีหน้าที่ป้องกันการลัดวงจร และ ... Stabilizer และ UPS แตกต่างกันอย่างไรUPS คือ เครื่องสำรองไฟฟ้า และปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ ส่วน Stabilizer คือ เครื่องควบคุมแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติซึ่งทั้งสองตัวมีหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นเกิดความเสียหาย และช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เนื่องด้วยจากสาเหตุต่างๆ เช่น ไฟกระชาก ไฟดับ ไฟเกิน เป็นต้น แม้ว่า UPS ... Stabilizer ยี่ห้อไหนดีรีวิว Stabilizer ยี่ห้อไหนดี ตอบโจทย์ ใช้คุ้ม. DJI รุ่น OM4 SE. ... . DJI Osmo Mobile SE. ... . ZHIYUN Smooth Q3. ... . MOZA Mini MX.. |
Automatic voltage stabilizer ม ย ห อไหนบ าง
ลิขสิทธิ์ © 2024 ihoctot Inc.
