เรื่องภพ-ภูมิ

พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ใดรักษาศีล 5 ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ย่อมรับประกันได้ว่าจะได้อัตภาพเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าศีล 5 ก็คือพื้นฐานความเป็นมนุษย์นั่นเอง

 

เรื่องภพ-ภูมิ

ทางสายที่ 3 คือทางไปสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ที่มีอำนาจของมหากุศลจิต และหิริ โอตตัปปะ เป็นผู้นำทาง

มหากุศลจิตที่ว่านี้คือสภาวะจิตที่เป็นกุศล เมื่อจะทำบุญทานการกุศลที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครมาชักนำ และยังมีปัญญาประกอบด้วย

 

เรื่องภพ-ภูมิ

ทางสายที่ 4 คือทางไปพรหมโลก ที่มีอำนาจของฌานเป็นผู้นำทาง

ซึ่งได้มาจากการฝึกจิตให้นิ่งด้วยสมถกรรมฐาน จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิระดับอัปปนาสมาธิ ถ้าฌานไม่เสื่อมไปขณะที่จิตกำลังจะดับ อำนาจของฌานย่อมนำจิตไปเกิดในพรหมโลกชั้นต่างๆ ตามกำลังของฌาณที่ได้

 

เรื่องภพ-ภูมิ

ทางสายที่ 5 คือทางไปนิพพาน

ซึ่งเป็นภพภูมิที่ไม่ได้จัดรวมอยู่ในภพภูมิทั้ง 31 เนื่องจากพระนิพพานเป็นภพภูมิที่ไม่ได้อยู่ในสังสารวัฏ เพราะผู้ที่เข้าสู่พระนิพพานแล้วย่อมไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่ว่าจะในภพภูมิใดก็ตาม และมีเพียงพระนิพพานเท่านั้นที่ไม่ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์

เชื่อไหมว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก เมื่อมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์แล้วกลับทำความชั่วมากกว่าทำความดี ก็ยิ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย และน่าเสียดายมากขึ้นไปอีกหากเกิดเป็นมนุษย์ได้พบกับพระพุทธศาสนามีโอกาสทำความดีเพื่อยกตัวเองให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้น สูงขึ้น แต่กลับไม่ได้ทำอะไร ปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามกระแสของกิเลส การที่จะไปเกิดในภพภูมิใดนั้น มีเหตุมาจากกิเลสตัณหานั่นเอง เพราะกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วจึงเกิดผลและรับวิบากกรรมที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมไม่ดีก็ตาม

เรื่องของภพภูมิต่างๆ นั้น ในพระไตรปิฎกแบ่งออกเป็น ๓ โลก เริ่มจากโลกเบื้องกลาง ประกอบด้วยมนุสสภูมิ ๑ ภพภูมิ กับเทวภูมิ ๖ ภพภูมิ หรือสวรรค์ ๖ ชั้น สูงจากเราไปเรียกว่าโลกเบื้องสูง มี ๒๐ ภพภูมิ เป็นภูมิของพรหม หรือเรียกว่าพรหมโลก ถ้าต่ำกว่าโลกมนุษย์ลงไปเรียกว่าโลกเบื้องต่ำมี ๔ ภพภูมิ เป็นภูมิของนรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน เรียกว่าอบายภูมิ รวมแล้วเท่ากับ ๓๑ ภพภูมิ

ณ วันนี้เราเป็นมนุษย์ อยู่ในภพภูมิที่ได้เปรียบ เพราะมนุษย์สามารถเลือกภพภูมิเกิดใยภพชาติต่อไปได้ และคนที่จอง “คอนโดมิเนียม” ในภพชาติต่อไปก็ไม่ใช่ใคร นอกจากตัวของเราเอง

ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องฝึกให้มากก็คือ การหมั่นเจริญสติ ซึ่งเป็นงานหลักในการดำรงชีวิตของชาวพุทธนั่นเอง หากเรามีสติมั่นคง ไม่หวั่นไหว ในช่วงเวลาแห่งความตายมาถึง เป็นที่เชื่อมั่นได้เลยว่าเราย่อมไปสู่ภพภูมิที่ดี คือโลกเบื้องสูงอย่างแน่นอน

เรื่องของความตายไม่มีใครรู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ตายที่ไหน หรือตายแล้วจะไปไหน ขอให้ดูที่จิตของเรา ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ จิตของเราไปจับจองที่อยู่อาศัยหรือคอนโดมิเนียมในภพภูมิต่างๆ ไว้ตรงไหนบ้าง จิตของเราปรุงแต่งอารมณ์ไปตามสิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดกุศลหรืออกุศล เรียกว่าในแต่ละวัน มนุษย์สามารถเปลี่ยนเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นเดรัจฉาน เป็นได้ทุกภพภูมิทั้งที่กายก็ยังเป็นมนุษย์อยู่นี่แหละ แต่จิตของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว

วันหนึ่งๆ จิตเกิด – ดับไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง เราสะสมอารมณ์ใดไว้ จิตของเราจะบันทึกไว้หมด เมื่อยามที่ร่างกายจะแตกดับ ก็อยู่ที่เราจะสามารถประคองสติให้จิตโน้มนำปูสิ่งที่ดีที่เคยทำไว้ หรือถูกแรงกรรมที่ทำชั่วดึงลงไปรับกรรมที่ทำไว้ก็ได้เช่นกัน

ช่วงนี้เข้าพรรษา เป็นจังหวะเหมาะที่ชาวพุทธตามบัตรประชาชนส่วนใหญ่เปลี่ยน packaging ทำตัวเป็นคนดี ถือศีลเว้นอบายมุข ก่อนหน้านี้ผมเห็นสื่อทีวียิงสปอตโฆษณาเชิญชวนให้งดเหล้าเข้าพรรษากันถี่มาก ผมว่าถ้าทำกลับกันนะ ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน “กระดกเหล้าเข้าพรรษา” เอากันให้เต็มที่เลย แล้ว 9 เดือนที่เหลือมางดเหล้ากัน มองในแง่ fact แบบนี้น่าจะได้ผลในสัดส่วนที่มากกว่านะ

เอาเป็นว่าทำเรื่องง่ายๆ พื้นๆ แบบนี้ให้ผ่านก่อนแล้วค่อยมาว่ากันเรื่องประกาศให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินะ

หัวข้อที่ชาวพุทธหลายสนใจมักหนีไม่พ้นเรื่องนรกสวรรค์ พระหลายรูปก็ชอบเทศน์เรื่องนี้เพราะฟังง่าย สร้างศรัทธาให้คล้อยตามได้ง่าย ตามแผงหนังสือก็มีหลายสำนักพิมพ์ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำกับหัวข้อเรื่องระลึกชาติ ตัดกรรม ทัวร์นรกสวรรค์หรืออะไรเทือกนี้

วันนี้นึกครึ้มๆ เลยขอหยิบเอาเรื่องภพภูมิต่างๆ ในพุทธศาสนามาเขียนให้อ่านกันดีกว่า ว่ามีกี่ภพภูมิ นอกจากนรกและสวรรค์แล้วมีภพภูมิอะไรอีกบ้าง รู้ไว้ใช้ว่านะครับ ไม่ต้องไปซีเรียสมากว่าตายแล้วจะไปเกิดในภพภูมิไหน เอาเป็นว่าทำวันนี้ให้ดี ไม่มีชั่วต่อผู้อื่นและต่อมโนธรรมของตัวเอง ทำจิตให้เบิกบานบริสุทธิ์

ทำเหตุให้ดี เดี๋ยวผลก็ดูแลตัวมันเองแหละ

          ภพภูมิต่างๆ ในพุทธศาสนานั้นประกอบด้วยอรูปพรหม 4 รูปพรหม 16 (20 ภูมินี้เป็นโลกเบื้องสูง) เทวดา 6 โลกมนุษย์ 1 (7 ภูมินี้เป็นโลกเบื้องกลาง) สัตว์เดรัจฉาน 1 เปรต 1 อสุรกาย 1 และนรก 1 (4 ภูมินี้เป็นโลกเบื้องต่ำหรืออบายภูมิ) รวมทั้งหมดมี 31 ภพภูมิ

เรื่องภพ-ภูมิ

          กว่าผมจะเขียนครบทั้ง 31 ภพภูมิ คนอ่านคงง่วงซะก่อน ส่วนผมคงพิมพ์จนมืองิก เอาเป็นว่าเอ็นทรีนี้ ผมจะเริ่มจากภูมิมนุษย์ก่อนแล้วกัน เอ็นทรีต่อไปค่อยมาว่ากันในส่วนที่เหลือนะครับ

            โลกมนุษย์ เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูงในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม แบ่งเป็น 4 จำพวกคือ

  1. พวกมืดมาแล้วมืดไป คือบุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำต้อยและยากจน ฝืดเคืองอย่างมากในการหาเลี้ยงชีพ มีปัจจัย 4 อย่างหยาบ เช่นมีอาหารและน้ำน้อย มีเครื่องนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอหม่นหมองหรือมีร่างกายไม่สมประกอบ บ้าใบ้ บอด หนวก หาที่นอนที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคไม่ค่อยได้ และเขากลับประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
  2. พวกมืดมาแล้วสว่างไป บุคคลที่เกิดมาในตระกูลต่ำ ผิวพรรณหยาบ แต่เป็นคนมีศรัทธา ไม่มีความตระหนี่ เป็นคนมีความคิดประเสริฐไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณชีพราหมณ์หรือวณิพกอื่นๆ ย่อมสำเนียกในกริยามารยาทเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
  3. พวกสว่างมาแล้วมืดไป เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลสูง เป็นผู้มั่งคั่งมีโภคทรัพย์มาก เป็นผู้มีปัจจัย 4 อันประณีต ทั้งเป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วนงดงาม ผิวพรรณดูน่าชม แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ไม่มีความเอื้อเฟื้อกรุณาอาทร มีใจหยาบช้า มักขึ้งโกรธด่า บริภาษบุคคลต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ สมณชีพราหมณ์ ห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
  4. พวกสว่างมาแล้วสว่างไป บุคคลที่เกิดในตระกูลสูง มีผิวพรรณงามและเขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์

กรรมของมนุษย์ที่ทำในอดีตหรือบุพกรรม ส่งผลให้คนเรามีปฏิปทาต่างกันเช่น บางคนเป็นคนดี บางคนบ้า บางคนรวย บางคนมีปัญญา บางคนโง่เขลา ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิ

ปฏิปทาให้มีอายุสั้น เพราะเป็นคนโหเหี้ยมดุร้าย มักคร่าชีวิตสัตว์

ปฏิปทาให้มีอายุยืน เพราะเป็นผู้เว้นขาดจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกร่วงไป มีความละอาย เอ็นดูอนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลสรรพสัตว์และภูตอยู่เป็นนิตย์

ปฏิปทามีโรคมาก เพราะปกติเป็นผู้เบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ ท่อนไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน หรือศาสตราวุธต่างๆ

ปฏิปทาให้มีผิวพรรณทราม เพราะเป็นคนมักโกรธ มากด้วยความเคืองแค้น ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจโกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย

ปฏิปทาให้เป็นคนมีศักดาน้อย ปกติเป็นคนมีใจริษยามุ่งร้าย ผูกใจในการอิจฉาริษยาในลาภสักการะ ความเคารพความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น

ปฏิปทาให้มีโภคะน้อย เป็นผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ที่นอนที่อาศัยแก่สมณะหรือชีพราหมณ์เป็นต้น

ปฏิปทาให้เกิดในตระกูลสูง เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน วจีไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ รู้จักเคารพผู้เฒ่าผู้ใหญ่หรือคนที่ควรแก่การเคารพ สักการะแก่คนที่ควรสักการะ บูชาคนที่ควรบูชาเป็นต้น

ปฏิปทาทำให้มีปัญญาทราม คือเป็นผู้ไม่เคยเข้าหาบัณฑิต สมณะหรือชีพราหมณ์แล้วถามว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ เป็นต้น 

ในสมัยพระพุทธเจ้านั้น มนุษย์เรามีอายุเฉลี่ยที่ 100 ปี ส่วนในปัจจุบันมนุษย์มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ปี โลกมนุษย์ถือเป็นภพภูมิกลาง เป็นภพภูมิเดียวเท่านั้นที่มีลิฟท์พิเศษที่ภพภูมิอื่นๆ ไม่มี ลิฟท์พิเศษที่ว่านี้คือ “นิพพาน” หรือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดวัฏสงสารนั่นเอง ดังนั้นการที่เราท่านได้ถือกำเนิดมาในภูมิมนุษย์นั้นถือเป็นโชคดีที่สุดแล้ว ในขณะที่ภพภูมิเบื้องสูงกว่ามีแต่สุข ส่วนภพภูมิที่ต่ำกว่าเรามีแต่ทุกข์ ภพภูมิมนุษย์นี้กลับมีเปรี้ยว หวาน มัน เข้ม ครบทั้งทุกข์และสุขให้ผู้ที่เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ได้ใช้เป็นบทพิจารณาตนเองเพื่อเข้าสู่กระแสแห่งนิพพาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละคนว่าจะถึงเส้นชัยในชาตินี้หรือไม่นะครับ