จงอธิบายหลักการทำงานของ search engine

เรารู้จักเครื่องมือสำหรับใช้ในการค้นหาสิ่งที่ต้องการ หรือสิ่งที่สงสัยอย่าง Google Yahoo Bing ซึ่งทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับการค้นหาหรือที่เรียกกันว่า Search engine

ซึ่งสำหรับนักการตลาด คนทำเว็บไซต์หรือคนทำธุรกิจ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ทรงพลัง จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจว่า Search engine คืออะไร ทำงานยังไง และจะทำการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณยังไง เพื่อการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ 

และในบทความนี้ผมได้รวบรวมคำตอบของทุกคำถามเกี่ยวกับเรื่อง Search engine คืออะไร หมายถึงอะไร  มาให้คุณแล้วครับ 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

Search Engine คืออะไร

Search engine คือ เครื่องมือที่เราใช้ในการค้นหาพร้อมทั้งทำการจัดอันดับเนื้อหาที่มีคุณภาพ และจะแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นทั้งเว็บไซต์ รูปภาพ วิดีโอ หรือแผนที่ตรงกับ Keyword (คำค้นหา) ของผู้ใช้ โดย Search engine (เสิร์ชเอนจิน) นั้นมีอยู่หลายตัวด้วยกัน แต่ที่เรารู้จักกันดีและใช้งานบ่อยที่สุดเลยก็คือ Google 

จงอธิบายหลักการทำงานของ search engine

สำหรับส่วนประกอบของ Search Engine นั้นจะมีอยู่ 2 องค์ประกอบหลักด้วยกัน ได้แก่

  1. Search Index หรือการจัดทำดัชนี ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ เลยก็คือการจัดเรียงข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลให้เป็นหมวดหมู่
  2. Search algorithm(s) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำการจัดผลลัพธ์ที่ตรงกันจากการจัดทำดัชนีค้นหา

ทำไม Search Engine จึงสำคัญสำหรับธุรกิจ

การทำการตลาดบน Search Engine หรือที่เรียกกันว่า การทำ SEM (Search Engine Marketing) นั้นมีบทบาทต่อธุรกิจในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น…

  1. การสร้าง Awareness 

ถ้าหากคุณอยากให้คนรู้ว่า คุณขายอะไร และสินค้าของคุณนั้นจะช่วยแก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร ก็แค่ทำ Paid Search หรือ SEO เพื่อให้เป็นที่รู้จักได้ หรือสำหรับใครที่ทำธุรกิจในท้องถิ่น มีหน้าร้าน อยากโปรโมตให้ร้านเป็นที่รู้จักในละแวกที่ตั้ง ก็สามารถทำ Local SEO บน Search Engine เพื่อให้คนหาเจอบนแผนที่ได้เช่นเดียวกัน

  1. การกระตุ้นการตัดสินใจ

หากคุณเข้าใจหลักการทำ Keyword Research และรู้ว่า คำค้นหาไหนที่ช่วยทำให้คนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น และเข้าหาพวกเขาได้อย่างตรงจุด ก็จะช่วยทำให้เกิดการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าหรือใช้บริการของคุณได้ง่ายขึ้นด้วย

  1. สร้างรายได้ให้กับธุรกิจ

ไม่ว่าจะเป็นการทำ Paid Search (การทำโฆษณาโดยการจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Search Engine) หรือ Organic Search (การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับจากการทำเว็บไซต์คุณภาพ จนติดอันดับ) ก็ล้วนแล้วแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้จากกลุ่ม Keyword ที่บ่งบอกถึงความสนใจซื้อโดยมีคำค้นหาประเภท Buyer Keyword รวมอยู่ด้วย เช่น ซื้อ เช่า ขาย เป็นต้น

ประเภทของ Search Engine

ในปัจจุบันมีจะมี Search Engine ที่คนนิยมใช้กันอยู่ 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  1. Crawler Based เป็นประเภทของ Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ Google Yahoo Bing Baidu โดยผู้ให้บริการจะส่ง Bot ไปเก็บข้อมูลมาเพื่อจัดทำดัชนี ค้นหาและจัดอันดับต่อไป
  2. Web Directory คือ สารบบเว็บที่เก็บรวบรวมลิงก์ของเว็บไซต์ต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่ คล้ายๆ กับสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองในอดีต ซึ่งโดยปกติแล้วจะสร้าง Web Directory ก็เพื่อบริการลูกค้าที่ใช้งานเว็บไซต์ให้มีความสะดวกในการค้นหาเว็บไซต์ที่ต้องการ ดังนั้น นี่จึงเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ต้องรองรับเอาไว้ก่อน ยกตัวอย่าง Web Directory ในไทย เช่น http://dir.sanook.com/, http://www.pantip.com/ เป็นต้น

Search Engine ไม่ได้มีเพียง Google

จงอธิบายหลักการทำงานของ search engine

Search Engine ยอดนิยม

แน่นอนครับว่า Search Engine นั้นไม่ได้มีเพียง Google แต่ Google เป็นเครื่องมือค้นหาที่ค้นใช้มากที่สุดนั่นคือ 92.04% ของตลาดทั้งหมด ส่วนเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ที่มีคนใช้งานอยู่บ้าง ก็อย่างเช่น 

  • Bing เป็น Search Engine จาก Microsoft จุดเด่นคือ ไม่ยัดเยียดเว็บที่จ่ายโฆษณาให้แสดงผลเป็นอันดับต้นๆ เพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน
  • Yahoo เป็น Search Engine ที่มีมานานในช่วงยุคปลาย 90s แต่ในปัจจุบันก็ยังมีการอัปเดตข้อมูลอยู่เรื่อยๆ
  • Baidu เป็น Search Engine อันดับหนึ่งของประเทศจีน และเป็นเว็บไซต์ที่คนใช้มากที่สุดอันดับ 4 ของโลก
  • DuckDuckGo เป็น Search engine ที่มีจุดเด่นในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน และไม่มีการเก็บข้อมูลเพื่อการโฆษณา
  • Yandex  เป็น Search engine จากสัญชาติรัสเซียที่คนรัสเซียนิยมใช้กัน

Search Engine ในยุคใหม่

  • TIKTOK ถือว่าเป็น Search Engine อีกตัวหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าถามว่า TIKTOK ถือว่าเป็น Search Engine 100% ไหม คำตอบคือยังไม่ใช่ครับ แต่อนาคต ตัวนี้ถือว่าเป็นคู่แข่งนี่น่ากลัวอีกตัวหนึ่งสำหรับเครื่องมือการค้นหาแบบอื่น ๆ
  • Youtube เป็น Search Engine ที่ Google พึ่งซื้อมาใหม่ และถือว่าเป็นเครื่องมือค้นหาอีกตัวนึง ที่มีจำนวนคนใช้งานลำดับต้น ๆ ของโลก 

Search Engine มีขั้นตอนการทำงานยังไง

หลักการทำงานของ Search Engine ที่คุณจะต้องทำความเข้าใจนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ขั้นตอน คือ

  1. การเก็บข้อมูลเว็บ (Crawling)

การเก็บข้อมูล (Crawling) ของ Search engine จะทำการส่ง Bot ที่เรียกกันว่า Spider หรือ Crawler เข้าสำรวจเว็บไซต์ต่างๆ แล้วดึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็น URLs รูปภาพ Tiltel Description เนื้อหาต่างๆ ตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้ายของเว็บไซต์มาอัปเดตใส่ในรายการฐานข้อมูลไว้ โดยส่วนมาก Spider มักจะเข้าไปอัปเดตข้อมูลเป็นรายเดือน

  1. การประมวลผล (Processing)

เป็นการประมวลผลของ Search Engine เพื่อทำความเข้าใจแล้วทำการแยกลิงก์และจัดเก็บเนื้อหาเพื่อให้พร้อมสำหรับการจัดทำดัชนี 

  1. การจัดทำดัชนี (Indexing)

เป็นการเรียบเรียงข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่จากข้อมูลอันมากมายมหาศาล โดยจะคำนวณจากความเข้าใจในเนื้อหา เลย์เอาท์ เพื่อนำไปจับคู่กับหมวดหมู่ และคีย์เวิร์ดที่ตรงกันกับสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหา สังเกตได้จากเวลาเราพิมพ์อะไรในช่อง Search มักจะมีคำค้นหาที่ Suggest ขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติ

จงอธิบายหลักการทำงานของ search engine

  1. การจัดลำดับ (Ranking)

หลังจากที่ Search Engine ทำการจัดทำดัชนีตัวคอนเทนต์หรือเว็บไซต์เรียบร้อยแล้วว่า อยู่ในหมวดหมู่ไหน ก็ถึงเวลาของการจัดอันดับ (Ranking) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานเจอผลลัพธ์ที่ตรงมากที่สุดในอันดับต้นๆ โดยวัดจากหลายๆ องค์ประกอบ ซึ่งผมจะขอเล่ารายละเอียดในหัวข้อต่อไปครับ

Search Engine จัดอันดับยังไง

สำหรับในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงวิธีการจัดอันดับของ Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google เป็นหลักนะครับ (เนื่องจาก Search Engine มีระบบการจัดอันดับที่แตกต่างกัน) ซึ่งโดยปกติแล้ว Google มีปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาจัดอันดับมากกว่า 200 รายการ ฟังดูอาจจะเยอะมาก แต่วันนี้ผมคัดเอาปัจจัยที่ ‘ต้องทำ’ และสำคัญมากๆ มาฝากกัน ดังนี้ครับ

จงอธิบายหลักการทำงานของ search engine

การทำอันดับบน Search Engine ไม่ใช่แค่ต้องได้ Backlink มาในปริมาณมาก แต่จะต้องได้ Backlink ที่มีคุณภาพกลับมา จึงจะทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณควรจะถูกจัดอันดับอยู่ใน Ranking ที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งที่ Google ใช้วัดว่า Backlink นั้นมีคุณภาพต่อเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ จะมีทั้งหมด 6 เรื่อง ได้แก่

  • Authority 
  • Relevance
  • Anchor Text
  • Follow VS Nofollow
  • Placement
  • Destination

แต่จะมี 2 เรื่องที่สำคัญมากๆ ที่ Google จะให้คะแนนสูง นั่นก็คือ

  • Link Authority : Backlink ที่ได้กลับมา ควรที่จะมาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ โดยคุณสามารถดูได้จากค่า Domain Rating (DR) หรือ URL Rating (UR) ซึ่งถ้าหากเว็บไหนมีค่าคะแนนนี้สูง ก็มั่นใจได้เลยว่า เว็บไซต์นั้นเป็นเว็บที่น่าเชื่อถือสูงมาก (ค่าเหล่านี้มีบอกอยู่ในเครื่องมือของ SEO Tools หลายๆ ตัวเลยครับ)

  • Link Relevance :  Backlink ที่ได้นั้นควรที่จะเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ เช่น เป็นเว็บไซต์คุณภาพที่นำเสนอเนื้อหาประเภทเดียวกันกับเว็บไซต์ของคุณ

ความเกี่ยวข้อง (Relevance)

คำว่าเกี่ยวข้องในที่นี้ ถ้าเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดเลยก็คือ การทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้นๆ Keyword นั้นๆ 

ควรปรากฏอยู่ในการทำ SEO On-Page ทั้ง Title Descriotion และเนื้อหาใน Density ที่เหมาะสม ในเรื่องของเวลาที่ใช้ในการเข้าชมเว็บไซต์ก็สำคัญ เพราะถ้าหากผู้ใช้งานอยู่ในหน้าเว็บนั้นนานๆ ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนได้ว่า เว็บไซต์นั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาค้นหาจริงๆ

ว่าแต่ Google จะรู้ได้อย่างไรว่า เรากำลังค้นหาอะไรอยู่ ในเมื่อคำค้นหา (Keyword) บางอย่างนั้นเขียนเหมือนกัน เช่น เมื่อพิมพ์คำว่า Jagour นั้นหมายถึงสายพันธุ์เสือจากัวร์ หรือยี่ห้อรถยนต์

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า Latent Semantic Indexing หรือ LSI Keyword ที่ Google จะมองว่า คอนเทนต์หรือเว็บไซต์ของเรานั้นสื่อสารในสิ่งที่ตรงกับบริบทของผู้ใช้งานหรือไม่ เช่น คำว่า Jagour มีการเติม LSI Keyword เช่น ราคา ซื้อ ซ่อม เป็นต้น ก็เป็นการบ่งบอกว่า Jagour ที่กำลังพูดถึงนี้หมายถึงรถยนต์นั่นเอง

ซึ่งถ้าคุณทำ Keyword ให้เกี่ยวข้องกับเจตนาของผู้ใช้ (Search Intent) และมีบริบทที่ชี้ชัดว่ากำลังพูดถึงสิ่งไหนอยู่ ก็จะช่วยให้ Google เข้าใจคอนเทนต์มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะถูกจัดอันดับได้ดีมากขึ้นด้วย

อัปเดตข้อมูลให้สดใหม่เสมอ (Freshness)

การอัปเดตข้อมูลของเว็บไซต์ให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google Search Engine ให้ความสำคัญเช่นกันครับ

เช่น ถ้าคนค้นหาเรื่อง เทรนด์การทำ SEO แน่นอนว่า ผลลัพธ์ที่เขาคาดหวังก็ควรที่จะเป็นข้อมูลอัปเดตในปีล่าสุด คงไม่มีใครอยากอ่าน เทรนด์การทำ SEO ตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งคอนเทนต์ประเภทนี้เราจะเรียกกันว่า Tropical Content 

แต่ถ้าคุณต้องการที่จะทำคอนเทนต์ครั้งเดียวแล้วจบ เนื้อหาอยู่ยงคงกระพันไม่ว่ากี่ปีผ่านไป เรื่องที่คุณเขียนก็ยังคงเป็นเรื่องที่สดใหม่อยู่เสมอ ก็มีประเภทคอนเทนต์แบบหนึ่งที่ตอบโจทย์ นั่นคือ Evergreen Content ซึ่งวิธีการทำคอนเทนต์ประเภทนี้ผมเคยเขียนอธิบายไว้แล้ว ตามไปอ่านกันได้ที่ Evergreen Content คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำยังไงถึงจะดีต่อ SEO

มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ (Topical authority)

Search Engine ของ Google  มองหาเว็บไซต์ที่ให้คำตอบที่ดีที่เกี่ยวกับคำค้นหานั้นๆ เสมอ และแน่นอนว่า ถ้าหากเว็บไซต์คุณมีคำตอบในสิ่งที่ผู้คนใช้ค้นหาทั้งหมด Google ก็ย่อมมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ และเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องๆ นั้น 

ดังนั้น การทำ Keyword Research และการค้นหา Search Intent ที่ผู้คนสนใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำควบคู่กัน เพื่อให้คุณกลายเป็น Specialist ที่น่าเชื่อถือในเรื่องนั้นๆ มากพอที่หลายๆ เว็บไซต์จะส่ง Backlink กลับมาให้ หรืออาจจะนำไปแชร์ลงบน Social ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้ Google เห็นว่าคุณมีอิทธิพลในหัวข้อนั้นๆ สำหรับผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

การให้ความสำคัญกับ Page speed 

คงไม่มีใครที่อยากจะใช้งานเว็บไซต์ที่อัปโหลดหรือดาวน์โหลดอะไรช้าๆ ซึ่งเรื่องนี้มักก่อให้เกิด Bounce Rate ที่สูง ทำให้ Search Engine อย่าง Google มองว่า เว็บไซต์ของเราไม่มีคุณภาพ และไม่ดึงดูดใจผู้คนมากพอ

ดังนั้น การจัดอันดับจึงมีปัจจัยในด้านของ Page Speed เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยคุณสามารถใช้ Google Search Console ในการดูรายงานภาพรวมทั้งหมดในเว็บไซต์ว่าหน้าไหนมีปัญหาอะไรบ้าง โดยให้คุณเข้าไปที่ https://search.google.com/search-console/about 

จงอธิบายหลักการทำงานของ search engine

หรือถ้าอยากเช็กความเร็วเว็บไซต์แบบละเอียด แนะนำให้เข้าไปใช้งาน PageSpeed Insights ได้เลยครับ

จงอธิบายหลักการทำงานของ search engine

การทำ Mobile-friendly

การทำ Mobile-Friendly นั้นเป็นปัจจัยที่ Google ให้ความสำคัญ และตอนนี้ Google ก็จะทำการ Index เว็บไซต์ที่แสดงผลบนมือถือขึ้นมาก่อน

ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบผลลัพธ์ของเว็บไซต์ว่า ตอนนี้ Google มองว่า เว็บไซต์ของคุณทำ Mobile-Friendly แล้วหรือยังได้ที่ https://search.google.com/test/mobile-friendly โดยนำ URLs ของเว็บไซต์กรอกลงไปในช่องค้นหา เพื่อทำการตรวจสอบได้เลยครับ

นอกจากเรื่องของการทำ Mobile-First แล้ว ก็ควรที่จะใส่ใจในเรื่องของการออกแบบ Page Experience ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกันครับ ซึ่งก็ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่อง UX และ UI หรือแค่เรื่องของความเร็วในการดาวน์โหลดอย่างที่กล่าวไปในข้อที่แล้วเท่านั้น  แต่จะครอบคลุมถึงประสบการณ์ในเรื่องอื่นๆ ด้วย ดังนี้

  • Safe Browsing (ความปลอดภัยในการใช้งาน) 
  • Loading (ความเร็วในการดาวน์โหลด) 
  • Interactive (การตอบสนองของเว็บไซต์) 
  • Visual Stability (ความคงที่ของภาพหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์) 
  • Mobile-Friendly (การใช้งานง่ายบนมือถือ) 
  • HTTPS (การใช้ HTTP ในเวอร์ชันที่มีความปลอดภัย) 
  • Intrusive Interstitial (โฆษณาที่บดบังเนื้อหาหลัก)

การทำความเข้าใจ Search Engine ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะช่วยทำให้การทำ SEO SEM หรือ Page Search ของคุณอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น และช่วยสร้างจำนวน Taffic ที่มีคุณภาพกลับเข้ามายังเว็บไซต์ได้มากยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ

ก็หวังว่าบทความนี้คงจะคลายความสงสัยเกี่ยวกับ หัวข้อ Search Engine คืออะไร Search Engine หมายถึงอะไรได้ในระดับนึงนะครับ