สินค้าที่ต้องเสียภาษีส่งออก

การส่งออกถือเป็นหนึ่งในเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวหลักของประเทศ การรู้รายละเอียดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งออก เช่นขั้นตอนศุลกากร จะช่วยผู้ประกอบการประเมินต้นทุนการส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการสัมมนาออนไลน์ “เคล็ดลับบริหารส่งออกไทย ให้ไปไกลถึงต่างแดนอย่างมืออาชีพ” SCB SME ได้เชิญคุณศุทธิกานต์ กริชไกรวรรณ วิทยากรผู้ชำนาญด้านการศุลกากร มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร ภาษีส่งออกที่ผู้ประกอบการส่งออกควรรู้ 


ประเด็นศุลกากรสำหรับผู้ส่งออก


จากสถิติการส่งออกประเทศไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559- 2563 สูงสุดอยู่ที่ 8 ล้านล้านบาทในปีพ.ศ. 2561 และในปีพ.ศ.2563 ส่งออกสินค้าเกษตรมากขึ้น โดยมูลค่าส่งออกไปประเทศอาเซียน คิดเป็นสัดส่วน 25-30% คู่ค้าอันดับหนึ่ง ได้แก่ เวียดนาม รองมาคือมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ตามลำดับ ทั้งนี้ขั้นตอนศุลกากรในการนำเข้า/ส่งออกสินค้ายึดตามหลักการสากล ซึ่งสิ่งที่ผู้ประกอบการมักกังวลคือเรื่องอากร ทั้งขาออกจากไทย และขาเข้าประเทศปลายทาง ว่าจะทำให้ราคาสินค้าสามารถแข่งขันได้หรือไม่ และการส่งออกปัจจุบันมีความซับซ้อนกว่าเดิมเพราะไม่ได้มีแค่การซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ยังมีคนกลางเข้ามาด้วย


คุณศุทธิกานต์กล่าวถึงสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องศึกษาก่อนส่งออก ได้แก่


1) สินค้าเป็นของควบคุมการส่งออกของไทย หรือควบคุมการนำเข้าในประเทศผู้ซื้อหรือไม่?


ผู้ประกอบการสามารถศึกษาว่าของที่จะส่งออกมีกฎหมายใดควบคุมการส่งออกอยู่บ้าง ดูจากตัวบทกฎหมาย และเว็บไซต์ของหน่วยงาน เช่น พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 พรบ.มาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ.2503  พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และอื่นๆ ทั้งนี้ มีการแบ่งประเภทเป็นของส่งออกที่ต้องขออนุญาต ของที่ต้องมีหนังสือรับรอง/ขึ้นทะเบียน/ขึ้นบัญชีประกอบการส่งออก  ของที่ต้องขอใบรับรองมาตรฐาน บางกรณีจำกัดช่องทางการส่งออกด้วย เช่น ข้าว ส่งออกได้เฉพาะท่ากรุงเทพ ด่านศุลกากรแหลมฉบัง ด่านศุลกากรสุไหงโกลกและด่านศุลกากรปาดังเบซาร์

 

สินค้าที่ต้องเสียภาษีส่งออก

2) อากรขาออก และ อากรขาเข้าในประเทศผู้นำเข้าเป็นอย่างไร? มีสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศผู้นำเข้าหรือไม่?


รายละเอียดอัตราอากรขาออกของไทย ค้นหาจาก ภาค 3  ของพ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 แต่ปัจจุบันบางรายการได้รับยกเว้นอากร ตามประกาศใช้ในปัจจุบันตามม.12 พ.ร.ก.พิกัดฯ ซึ่งปัจจุบันอากรขาออกในประเทศไทย มีเรียกเก็บทั้งตามสภาพและตามราคา กรณีอัตราตามราคา ใช้ราคาศุลกากร คือ ราคาขายส่งเงินสดที่จะพึงขายของประเภทเดียวกันได้โดยขาดทุน ณ เวลาที่ส่งของออกโดยไม่มีการหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด (เป็นราคา FOB) กรณีมีราคาที่อธิบดีกำหนด ให้ใช้ราคานั้นคำนวณอากรขาออก และอัตราแลกเปลี่ยนให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่อธิบดีกรมศุลกากรประกาศ ถ้าอัตราอากรมีทั้งสองแบบ ให้คำนวณทั้งสองแบบ และแบบใดที่ให้ผลลัพธ์สูงกว่าให้นำแบบนั้นมาแสดงต่อกรมศุลกากรเพื่อขอชำระอากรขาออก  ในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการส่งออก กรมสรรพากรกำหนดว่า เป็นการขายเพื่อส่งออก อัตรา 0 ในการส่งรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ใช้ฐานราคา FOB อัตราแลกเปลี่ยนตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด


ทั้งนี้ ผู้ส่งออกจำเป็นต้องทราบการจัดพิกัดฯ  ของสินค้าส่งออกในระบบ HS code ที่ใช้กับการจัดสินค้าขาเข้าด้วย เพื่อนำชุดรหัสพิกัดนั้นมาใช้เป็นรหัสสถิติสำหรับการส่งออก และถ้าต้องการทราบว่าอัตราอากรสินค้าที่อยู่ในเงื่อนไขข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยมีกับประเทศต่างๆ ทั้งแบบทวิภาคีและพหุพาคี เพื่อศึกษาอัตราอากรขาเข้าในประเทศคู่เจรจา ก็สามารถสืบค้นได้จากประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากร ม. 14 และต้องมีใบรับรองถิ่นกาเนิดสินค้าส่งไปให้ผู้นำเข้า เพื่อให้ใช้สิทธิพิเศษตามความตกลงด้วย


ในส่วนราคาซื้อขายสินค้าส่งออก กรมศุลกากร / กรมสรรพากร ใช้ ราคา FOB คำนวณภาษีอากรในความรับผิดชอบ แต่ไม่ได้ห้ามการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการ โดยจะใช้ราคาที่รวมค่าขนส่ง ค่าประกันภัย หรือ ราคาที่รวมค่าใช้จ่ายใดๆตามความตกลง INCOTERM ที่เป็นข้อตกลงสากล  ผู้ส่งออกต้องมีความรู้เรื่อง INCOTERM ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อผู้ขายทราบหน้าที่ ความรับผิดชอบของตนเองได้ชัดเจน ช่วยให้การซื้อขายง่ายขึ้น เช่น EXW CIF   CIP   DDP เป็นต้น

สินค้าที่ต้องเสียภาษีส่งออก

3) กระบวนการทางศุลกากรสำหรับการส่งออก และกระบวนการนำเข้ากรณีของส่งกลับคืน


อันดับแรก ผู้ประกอบการต้องไปลงทะเบียนเป็นผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออกที่ www.customs.go.th  และปฏิบัติตามพิธีการศุลกากรสาหรับการส่งออก ทำใบขนสินค้าออก ชำระอากรขาออกโดยปัจจุบันสามารถชำระผ่านระบบอีแบงก์กิ้งได้ด้วย  กรณีที่ผู้ส่งออกจะใช้บริการตัวแทนออกของ (Shipping) ก็ต้องระบุชื่อบริษัทชิปปิ้งลงในระบบด้วย และทางบริษัทชิปปิ้งก็ต้องระบุชื่อผู้ส่งออกในระบบเช่นกัน  ที่สำคัญผู้ส่งออกต้องมีใบขนสินค้าขาออก เป็นหลักฐานยื่นสรรพากรลงบัญชีเดบิตเครดิตระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

ในกรณีที่สินค้าที่ผลิตในประเทศและไม่เป็นของต้องห้ามการได้รับสิทธิตามกฎหมาย และส่งออกไปนอกราชอาณาจักรและได้รับเงินค่าสินค้า  ขายสินค้าให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ตามโครงการเงินกู้ /เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ หรือขายสินค้าตามภาค 4 (ภาคยกเว้นอากร) ให้แก่องค์การระหว่างประเทศที่มีสิทธินำสินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร จะได้รับเงินชดเชยอากรส่งออกตามพ.ร.บ.ชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักรในรูปแบบบัตรภาษี โดยต้องยื่นคำขอภายใน 1ปี นับแต่วันส่งออก

สินค้าส่งออก เสียภาษีไหม

2.2 โดยทั่วไปการส่งออกสินค้าจะได้รับยกเว้นอากรศุลกากร และได้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 เพียงแต่มีขั้นตอนที่สำคัญคือ ต้องผ่านพิธีการทางศุลกากรเท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิดังกล่าว

อะไรบ้างที่ต้องเสียภาษีนำเข้า

สินค้าที่ต้องเสียภาษีดูยังไง?.
กระเป๋าแบรนด์เนมเสีย 20% ของราคาตามใบเสร็จ + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%.
รองเท้าเสีย 30% ของราคาตามใบเสร็จ + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%.
นาฬิกาเสีย 5% ของราคาตามใบเสร็จ + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%.
โทรศัพท์ กล้อง และอุปกรณ์ไอทีต่างๆได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า แต่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%..

ของที่ต้องสําแดง มีอะไรบ้าง

"มีของต้องสำแดง" - ของส่วนตัวมูลค่าเกิน 20,000 บาท หรือของที่มีลักษณะเชิงพาณิชย์ และของที่เกินข้อจำกัดด้านปริมาณ ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ รวมไปถึง ของที่ต้องมีใบอนุญาต เช่น ยา อาวุธ สัตว์เลี้ยง เช่นเดียวกับ เครื่องสำอาง หรือ โดรน "มีของต้องห้าม" – ห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด เช่น บุหรี่ไฟฟ้า

การเสียภาษีมีอะไรบ้าง

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax : PIT) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax : CIT) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax : SBT) อากรแสตมป์ (Stamp Duty : SD) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT)