รูปแบบของธุรกิจการประกอบธุรกิจในปัจจุบันมีอยู่หลายลักษณะทั้งธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสาขาทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ จึงมีการกำหนดรูปแบบธุรกิจออกเป็น 5 รูปแบบ ดังนี้ 1. กิจการของคนเดียว (Sole or Single Proprietorship) กิจการเจ้าของคนเดียว เป็นการประกอบธุรกิจที่บุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของกิจการ และบริหารจัดการธุรกิจทุกเรื่องด้วยตนเอง การประกอบธุรกิจในรูปแบบนี้จะใช้ต้นทุนต่ำ มีวิธีการดำเนินงานที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก การบริหารจัดการต่างๆ มีความคล่องตัวสูง และเป็นธุรกิจที่สามารถพบเห็นในชีวิตประจำวันมากที่สุด เช่น หาบเร่ แผงลอย ร้านขายของชำ ร้านเสริมสวย ร้านขายเสื้อผ้า เป็นต้น เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของกิจการเจ้าของคนเดียว ข้อดีของกิจการของเจ้าของคนเดียว ข้อเสียของกิจการเจ้าของคนเดียว 1. เจ้าของกิจการมีอิสระ และความคล่องตัวในการบริหารหรือดำเนินการต่างๆได้เต็มที่ 1. อัตราความล้มเหลวมีสูง เนื่องจากเป็นกิจการที่การบริหารขึ้นอยู่กับเจ้าของกิจการเพียงผู้เดียว หากเจ้าของกิจการขาดความรู้ ความสามารถในการบริหาร ก็จะทำให้ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ 2. การจัดตั้ง และการเลิกกิจการสามารถทำได้ง่ายและสะดวก 2. การจัดหาเงินทุนในการขยายกิจการค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีอัตราความล้มเหลวสูง ขาดความน่าเชื่อถือ และไม่สามารถขายหุ้นได้ 3. ได้รับรายได้หรือกำไรในการประกอบการเพียงคนเดียว 3. ต้องรับผิดชอบหนี้สินไม่จำกัด เนื่องจากกฎหมายถือว่าเจ้าของกิจการและธุรกิจเป็นบุคคลคนเดียว หากทรัพย์สินของกิจการไม่พอชำระหนี้ต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาชำระหนี้ทั้งหมด ข้อดีของกิจการของเจ้าของคนเดียว ข้อเสียของกิจการเจ้าของคนเดียว 4. การเสียภาษี กฎหมายถือว่าเจ้าของกิจการและธุรกิจเป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงเสียภาษีแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (เสียภาษีโดยถือเอารายได้เป็นเครื่องวัดตามความสามารถของบุคคล) 4. อายุการดำเนินกิจการจะขึ้นอยู่กับเจ้าของกิจการ ถ้าเจ้าของกิจการตาย หรือไม่มีความสามารถธุรกิจจะสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็ว 5. สามารถรักษาความลับของกิจการได้ดี เพราะไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลแก่บุคคลอื่น 2. ห้างหุ้นส่วน (Partnership) ห้างหุ้นส่วน เป็นรูปแบบของการประกอบธุรกิจที่มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และสามารถทำนิติกรรมตามกฎหมายได้ โดยการทำสัญญาด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรที่จะเข้าเป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งผู้เป็น หุ้นส่วนจะต้องลงทุนร่วมกันด้วยเงินหรือแรงกาย เพื่อวัตถุประสงค์ในการแบ่งกำไรที่จะได้รับจากการดำเนินกิจการร่วมกัน ห้างหุ้นส่วนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 2.1 ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership ) เป็นรูปแบบที่ผู้เป็นหุ้นส่วนจะต้องรับผิดชอบในการ ชำระหนี้สินร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวน ห้างหุ้นส่วนสามัญจะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์จะแบ่งกำไรและขาดทุนที่เกิดจากการประกอบธุรกิจนั้น ในสัดส่วนเท่ากันตามจำนวนหุ้น ห้างหุ้นส่วนสามัญแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ 1) ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน) เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน ถูกต้องตามกฎหมาย หากมีการฟ้องร้องต้องฟ้องห้างหุ้นส่วน เมื่อทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนไม่พอชำระหนี้จึงจะฟ้องร้องจากหุ้นส่วนต่อไป 2) ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (ไม่จดทะเบียน) เป็นห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียนให้ ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ที่เป็นหุ้นส่วนกับห้างหุ้นส่วนจะไม่แยกจากกัน เจ้าหนี้สามารถฟ้องร้องบุคคลใดก็ได้ 2.2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด (จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล) (Limited Partnership) เป็นรูปแบบห้างหุ้นส่วน ที่จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงมีผลทำให้กิจการนั้นเสมือนเป็นบุคคล และมีสิทธิดำเนินการต่างๆตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดชอบ ผู้เป็นหุ้นส่วนจะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ซึ่งรับผิดชอบเพียงจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่ตนรับว่าจะลงทุนในห้างหุ้นส่วนเท่านั้น 2) หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ ผู้เป็นหุ้นส่วนจะมีคนเดียวหรือหลายคน ก็ได้ ซึ่งรับผิดชอบในบรรดาหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของห้างหุ้นส่วน ข้อดีของห้างหุ้นส่วน ข้อเสียของห้างหุ้นส่วน 1. ถ้าหุ้นส่วนแต่ละคนมีความสามารถ ความชำนาญ และมีประสบการณ์ในแต่ละด้านจะทำให้การบริหารธุรกิจสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี 1. ถ้าผู้ถือหุ้นส่วนบางคนที่ไม่สุจริต หรือทำการโดยประมาทเลินเล่อจะทำให้ผู้ถือหุ้นส่วนอื่นเสียหายไปด้วย 2. การจัดหาเงินทุนทำได้ง่ายกว่ากิจการเจ้าของ คนเดียว เพราะมีหุ้นส่วนหลายคน ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินจึงให้กู้ง่ายกว่า 2. มีความล่าช้าในการตัดสินใจและอาจเกิดความขัดแย้งกันได้ง่าย เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นหลายคน 3. จัดตั้งได้ง่ายกว่าการจัดตั้งบริษัทจำกัด เพราะ าข้อจำกัดทางกฎหมายมีไม่มาก 3. มีหนี้สินไม่จำกัด หากไม่สามารถชำระหนี้ของกิจการได้หมด เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องทรัพย์สินส่วนตัวของหุ้นส่วนแต่ละคนได้ 4. ถอนทุนคืนได้ยาก เพราะมีข้อจำกัดตามข้อตกลงในสัญญาและกฎหมาย 3. บริษัทจำกัด (Corporation) บริษัทจำกัด เป็นการประกอบการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จัดตั้งเพื่อวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรจากกิจการ ซึ่งจะแบ่งทุนออกเป็นหุ้นที่มีมูลค่าหุ้นละเท่าๆกัน และมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 100 คน โดยผู้ถือหุ้นแต่ละคนจะมีความรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งไม่ครบมูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ ในปัจจุบันประเทศไทยแบ่งบริษัทจำกัดออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. บริษัทเอกชนจำกัด เป็นบริษัทประเภทหนึ่งซึ่งจัดตั้งด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่าๆกัน โดยมีผู้ถือหุ้นไม่เกิน 100 คน 2. บริษัทมหาชนจำกัด เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน ซึ่งถือหุ้นตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป โดยผู้ถือหุ้นมีความรับผิดชอบจำกัดไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ต้องชำระ และบริษัทดังกล่าวได้ระบุความประสงค์เช่นนั้นไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 ได้กำหนดลักษณะโครงสร้างของบริษัทมหาชนจำกัดไว้พอสรุปได้ดังนี้ 1) จำนวนผู้ถือหุ้น มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 15 คน ขึ้นไป 2) ทุนจดทะเบียน ไม่มีการกำหนดจำนวนทุนจดทะเบียนขั้นต่ำไว้ 3) มูลค่าหุ้นและการชำระเงินค่าหุ้น หุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดแต่ละหุ้นจะต้องมีมูลค่าเท่ากันและต้องชำระค่าหุ้นครั้งเดียวเต็มมูลค่าหุ้น 4) จำนวนกรรมการ ต้องมีจำนวนกรรมการของบริษัทไม่น้อยกว่า 5 คน และกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งต้องมีที่อยู่ในประเทศไทย เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของบริษัทจำกัด ข้อดีของบริษัทจำกัด ข้อเสียของบริษัทจำกัด 1. การจัดการมีประสิทธิภาพ เนื่องจากบริษัทมักจะใช้ผู้บริหารมืออาชีพและมีระบบการทำงานที่ดีกว่าธุรกิจรูปแบบอื่นๆ 1. การจัดตั้งยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดทางกฎหมายและหน่วยงานของรัฐดูแลอย่างเข้มงวด 2. ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบจำกัดเฉพาะค่าหุ้นที่ตนยังค้างจ่ายแก่บริษัทเท่านั้น ถ้าบริษัทมีหนี้สินใดๆผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบ 2. ไม่สามารถปกปิดความลับของกิจการได้ทั้งหมด เพราะต้องเปิดเผยข้อมูลแก่รัฐตามที่กฎหมายกำหนด 3. โอน หรือขาย หรือขยายกิจการได้ง่าย เนื่องจากบริษัทจำกัดดูน่าเชื่อถือในกลุ่มของบุคคลและสถาบันทางการเงิน 3. ถ้าผ่ายบริหารไม่ใช้ผู้ถือหุ้นอาจบริหารงานไม่รอบคอบทำให้ธุรกิจล้มเหลวได้ 4. มีความมั่นคงถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง เจ้าของบริษัท เช่น ผู้ถือหุ้นเสียชีวิต ล้มละลาย หรือศาลให้เป็นผู้ไร้ความสามารถกิจการไม่ต้องล้มเลิกไป 4. ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน คือ ทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 4. สหกรณ์ (Cooperative) สหกรณ์ เป็นรูปแบบธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีคณะบุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ที่มีอาชีพความต้องการ ความสนใจที่คล้ายคลึงร่วมกันจัดตั้งขึ้น และจดทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติ สหกรณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอาชีพ การครองชีพของสมาชิกและครอบครัวให้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อสมาชิกของสหกรณ์และต่อส่วนรวม ในปัจจุบันสหกรณ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท (ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2511 มาตรา 7) ได้แก่ 1) สหกรณ์จำกัด เป็นสหกรณ์ที่สมาชิกมีความรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนค่าหุ้นที่ยังใช้ไม่ครบมูลค่าหุ้นที่ตนถือ 2) สหกรณ์ไม่จำกัด เป็นสหกรณ์ที่สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อหนี้ทั้งปวงของสหกรณ์ไม่จำกัด เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของสหกรณ์ ข้อดีของสหกรณ์ ข้อเสียของสหกรณ์ 1. กฎหมายให้การสนับสนุนช่วยเหลือ เช่นได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับผู้บริโภค 1. สมาชิกที่เป็นผู้ผลิตไม่สามารถตั้งราคาขายผลผลิตของตนเองได้ตามใจชอบ เพราะสหกรณ์จะเป็นผู้กำหนด 2. เป็นการรวมสมาชิกเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 2. หากสมาชิกไม่เข้าใจหลักและวิธีการของสหกรณ์ดีพอ สหกรณ์อาจไม่เจริญเท่าที่ควร 3. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสหกรณ์ถูกกว่าธุรกิจประเภทอื่น 3. สหกรณ์ขาดเครื่องจูงใจ คือ กำไร ที่น้อยกว่าธุรกิจประเภทอื่นๆ 4. ได้รับผลประโยชน์ทั่วถึงในหมู่สมาชิก เพราะถ้าใครทำธุรกิจกับสหกรณ์ได้มากก็จะได้รับประโยชน์สูงตามไปด้วย 4. มีทุนจำกัด จึงมีผลต่อการบริหารจัดการ 5. รัฐวิสาหกิจ (State Enterprise) รัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐบาลเป็นเจ้าของ รวมทั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมีหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 มีระบบการบริหารงานอยู่ระหว่างราชการและเอกชน โดยคำนึงถึงหลักสำคัญทางการบริหารให้เป็นไปตามขั้นตอน เพื่อป้องกันการทุจริต ตลอดจนความสงบสุขของประชาชนในประเทศเป็นหลักสำคัญ วัตถุประสงค์ที่สำคัญในการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจมีดังนี้ 1) เพื่อความมั่นคงของประเทศ เพราะกิจการบางอย่างมีความจำเป็นที่ต้องใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 2) เพื่อประโยชน์ของสังคมในการให้บริการประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ 3) เพื่อหารายได้เข้ารัฐ เนื่องจากธุรกิจบางประเภทมีผลกำไรเป็นจำนวนมาก เช่น สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 4) เพื่อควบคุมสินค้าบางชนิดที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคม เช่น โรงงานสุรา โรงงานยาสูบ 5) เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศให้เป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศพร้อมกับเชิญชวนมาให้ท่องเที่ยวในประเทศไทย เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. รัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคล เป็นองค์กรและหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีการดำเนินงานที่แยกออกจากผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของกิจการโดยเฉพาะ เช่น การสื่อสารแห่งประเทศไทย การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การสวนสัตว์ธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทขนส่ง เป็นต้น 2. รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นนิติบุคคล เป็นกิจการบางอย่างของรัฐที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ทุนดำเนินการของรัฐทั้งหมด สังกัดหน่วยงานราชการที่เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น แต่ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล เช่นโรงงานยาสูบและสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งสังกัดกระทรวงการคลัง เป็นต้น |