มี งบ 5000 ลงทุน อะไร ดี

9  อาชีพ ลงทุน ไม่เกิน 5,000 บาท

 

9  อาชีพ ลงทุน ไม่เกิน 5,000 บาท   มีเงิน 5,000 บาทจะลงทุนเปิดร้านอะไรได้ คำถามนี้จะกลายเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ เพราะเงิน 5,000 บาทสามารถเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ได้ โดยร่วมลงทุนกับแฟรนไชส์ราคาไม่เกิน 5,000 บาทได้แล้ว

1.แฟรนไชส์ราคาไม่เกิน 5,000 บาท

แฟรนไชส์ราคา 3,000 บาท, ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิดเถิดเทิง 2,990 บาท ซูโม่ลูกชิ้นปลาระเบิด 1,990 บาท เป็นต้น

2.ขายรองเท้ามือสอง

ราคารองเท้ามือสองแบบขายส่งเพียงคู่ละ 30 บาท โดยต้องดูคุณภาพของรองเท้า รอยชำรุดต่าง ๆ แล้วนำกลับมาซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ ซึ่งจากราคาคู่ละ 30 บาท สามารถขายได้ 70 – 100 บาท ได้เลย
ดังนั้น ถ้ารับซื้อมาคู่ละ 30 บาท จำนวนเงิน 2,000 บาท จะได้ประมาณ 66 คู่ ส่วนเงิน 1,000 บาทเก็บเป็นเงินสำรอง  ส่วนอุปกรณ์การขายก็เพียงหาผ้าปูภื้นหรือโต๊ะมาวางรองเท้าก็สามารถขายได้แล้ว

3.ขายลูกชิ้นทอด ไก่ทอด หมูปิ้ง

วิธีการไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่ซื้อลูกชิ้นมาเสียบไม้ ตั้งเตาถ่าน หาน้ำจิ้มรสเด็ด และเตรียมอุปกรณ์อีกนิดหน่อย เช่น ถุงใสใส่น้ำจิ้ม ใส่ลูกชิ้น ป้ายหน้าร้าน ก็สามารถตั้งขายได้แล้ว หรือขายไก่ทอด ก็ควรมีสูตรการหมักไก่ และทอดไก่ให้กรอบอร่อย หรือ หมูปิ้งก็ต้องมีสูตรการหมักเช่นกันทำอย่างไรให้หมูปิ้งนุ่มอร่อย การวางขายก็อาจวางขายตามตลาดนัดหน้าหมู่บ้าน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ค่อย ๆ เริ่มต้นทีละน้อย ๆ พอขายดีค่อยขยับขยายก็ทำได้เช่นกัน

4.ขายข้าวไข่เจียว

เมนูข้าวไข่เจียว เป็นอะไรที่ขายได้ง่าย ขายได้กับทุกเพศทุกวัยเลย โดยเงินลงทุนประมาณ 2,000-3,000 บาท ก็ตั้งร้านขายข้าวไข่เจียวได้แล้ว ส่วนราคาขายข้าวไข่เจียวในราคา 20-25 บาท ขายได้ 100 จาน เป็นเงิน 2,500 บาท หาทำเลดี ๆ เช่น หน้าโรงเรียน ตลาดนัดหน้าหมู่บ้าน บริษัทห้างร้านต่าง ๆ เลือกขายในเวลาเช้า ถึงกลางวันกำลังเหมาะ ทั้งนี้ปริมาณการขายก็ขึ้นกับทำเลและกลยุทธ์การตลาดเป็นสำคัญด้วย

5.ขายสลัด

กระแสคนรักสุขภาพมาแรงอย่างต่อเนื่อง การหาเมนูเพื่อสุขภาพมาขายก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจเลยไม่น้อย และเมนูสลัดก็เป็นที่ต้องการมากโดยเฉพาะในหมู่สาว ๆ หรือ หนุ่ม ๆ ที่กำลังเร่งฟิตหุ่น ยิ่งถ้าเรามีสูตรน้ำสลัดอร่อย ๆ เข้าด้วย รวมถึงเทคนิคการเลือกผักที่สดใหม่มาขาย ปลอดสารพิษ สารเคมี ผักออแกนิกส์ จะยิ่งขายได้ดี ต้นทุนไม่ถึง 5,000 บาทก็ขายสลัดได้ไม่ยากเลย ทำขายกล่องละ 20-30 บาท หรือขายแบบชั่งกิโลก็ขายได้ราคา

6.ขายบาร์บีคิว

บาร์บีคิวหมู ไก่ หรือเนื้อ ที่ทานกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ ด้วยรสชาติที่แสนอร่อยและวัตถุดิบที่กลมกล่อม ทำให้บาร์บีคิวเป็นเมนูอาหารจานโปรดของใครหลายคน ที่ทานกันได้ทุกเพศทุกวัย ต้นทุนในการเริ่มต้นไม่เกิน 5,000 บาท ขายในราคาไม้ละ 5 – 25 บาท แล้วแต่วัตถุดิบและทำเลที่ตั้งร้านด้วย สำคัญคือการทำซอสบาร์บีคิวที่อร่อยกลมกล่อม ก็จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้อย่างดี

7.ขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวน

การขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนต้องคำนวณรายจ่ายก่อน เช่น ซื้อกล่องใส่ 500 บาท ซื้อวัตถุดิบก๋วยเตี๋ยวไม่เกิน 3,000 บาท แต่ขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนค่าใช้จ่ายไม่มาก ดังนั้นถ้าจะขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนในราครกล่องละ 30-35 บาท ขายได้ 100 กล่อง เป็นเงิน 3,500 บาท ขายง่ายกำไรงามก็น่าลงทุนเช่นกัน

8.ขายแซนด์วิช

การขายแซนด์วิช เป็นไอเดียที่น่าสนใจสำหรับการขายในยามเช้า ก่อนที่ผู้คนจะไปทำงาน เรียนหนังสือ ก็มักจะไม่มีเวลาเตรียมอาหารเช้ากันสักเท่าไหร่ การมีแซนด์วิชมารองท้อง ทานในรถได้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูก ก็เป็นการขายที่ขายคล่องมากเลย ตั้งราคาขายที่กล่องละ 20 บาท การลงทุนเพียงแค่ 1,500 -2,000 บาท ถ้าคุณขายได้ 50 ชิ้นต่อวันก็ได้ 1000 บาทแล้ว หรือจะฝากขายตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ เบเกอรี่ ก็จะทำให้มีออเดอร์เพิ่มมากยิ่งขึ้น รายได้ก็เพิ่มตามไปด้วย

9.ขายอาหารคลีน

ปัจจุบันมีผู้คนมากมายที่รักสุขภาพและหันมากินอาหารคลีนกันมากขึ้น ดังน้นการขายอาหารคลีนจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจที่จะทำอาหารคลีนขาย และหากเป็นเมนูแบบพรีเมี่ยมก็อาจมีราคาสูงถึงกล่องละ 100  บาท  แต่หากเราทำเอง ขายเอง ลงทุนน้อยกำไรดี ก็เลือกวัตถุดิบสด สะอาด ราคาถูก เลือกทำเมนูที่ไม่ยุ่งยาก ทานง่ายดีต่อสุขภาพ บวกกำไรจากต้นทุนกล่องละ 15-20 บาท แล้วเลือกขายกลุ่มคนทำงาน ตามบริษัทห้างร้าน ก็จะขายได้ดีกว่า
นี่เป็นเพียงตัวอย่าง 9 อาชีพที่สามารถเริ่มต้นขายได้เลยเพียงมีเงินทุน 5,000 บาท ทั้งนี้ยังมีอีกหลายอาชีพที่น่าสนใจ ก็ลองเลือกตามความถนัดตามความชอบของตัวเองดูแล้วกัน ที่สำคัญเมื่อเลือกอาชีพที่จะขายได้แล้ว ก็ต้องตั้งใจขาย ซื่อสัตย์กับลูกค้าโดยใช้แต่วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพสูง สดสะอาดใหม่อยู่เสมอ ไม่ขายอาหารค้างคืน จริงใจกับลูกค้า พูดจาสุภาพอ่อนโยน เพียงเท่านี้เงิน 5,000 บาทก็จะสามารถสร้างอาชีพให้กับคุณได้แล้ว
ขอบคุณเครดิตภาพ shorturl.asia/ZlPM9, shorturl.asia/rIon5, shorturl.asia/J24Qk, shorturl.asia/nHSOr
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ www.archeep108.com

สำหรับใครที่มีรายได้พอจะมีเงินเก็บแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าควรเก็บเงินไว้ที่ไหนดี หรือควรนำเงินไปลงทุนอะไรให้งอกเงยได้บ้าง บทความนี้จะขอมาแนะนำ 5 ทางเลือก ว่าถ้าหากเรานำเงินของเราไปลงทุนในแต่ละทางเลือก ทางเลือกไหนจะให้ผลตอบแทนประมาณเท่าไหร่ และแต่ละทางเลือกมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

1. ออมเงินในเงินฝากออมทรัพย์

เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีบัญชีออมทรัพย์กันอยู่แล้ว แล้วส่วนใหญ่จะเก็บไว้ที่นี่กัน แต่รู้ไหมว่าผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากออมทรัพย์นั้น ไม่สามารถสู้เงินเฟ้อได้เลย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปนั้นอยู่ที่ 1.25% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 0.125% - 1.00% ซึ่งดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาท ผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับอีกด้วย

ผลตอบแทน : ประมาณ 0.125% - 1.00%

ความเสี่ยง : ต่ำ (แต่ทั้งนี้หากเรานำเงินเฟ้อมาหักลบกับดอกเบี้ยแล้ว ถือว่าเงินต้นเรามีอำนาจในการจับจ่ายลดลง พูดง่าย ๆ ก็คือ เงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้ไม่เท่าเดิมนั่นเอง)

2. ฝากเงินกับเงินฝากประจำ

ขยับขึ้นมาหน่อยจากเงินฝากออมทรัพย์ เป็นการฝากเงินแบบกำหนดระยะเวลาฝากถอนชัดเจน ซึ่งจะมีระยะเวลาให้เลือก เช่น 3, 6, 12, 24 เดือน ดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และพอจะสู้กับเงินเฟ้อได้นิดหน่อย แต่ต้องแลกมากับสภาพคล่อง ส่วนดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เลือก โดยจะอยู่ที่ประมาณ 0.30% – 1.35% ซึ่งหากมีการถอนเงินก่อนครบกำหนดก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารประกาศ และหากดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาท ผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับเช่นเดียวกัน

ผลตอบแทน : ประมาณ 0.30% – 1.35%

ความเสี่ยง : ต่ำ (แต่ข้อจำกัดของการออมเงินประเภทนี้คือ อาจทำให้เราขาดสภาพคล่องได้ เนื่องจากหากเราถอนเงินก่อนครบกำหนด ก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ควรจะได้ในตอนแรก)

มี งบ 5000 ลงทุน อะไร ดี

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ วันที่ 8 เมษายน 2565
ที่มา :https://www.bot.or.th/thai/statistics/_layouts/application/interest_rate/in_rate.aspx

3. ลงทุนในหุ้น

ในปัจจุบันการลงทุนในหุ้นเรียกได้ว่าเป็นที่นิยม และเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น หากเราเลือกหุ้นได้ถูกตัว ก็จะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นก็ไม่ค่อยแน่นอน ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งถือเป็น “ความเสี่ยง” หากเราลงทุนในหุ้นผิดตัว ก็สามารถขาดทุนได้เช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า High Risk... High Return ดังนั้นการจะลงทุนในหุ้นนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลตอบแทน : สามารถกำไร หรือขาดทุนได้มากกว่า 50% ทำให้นักลงทุนมือใหม่หลายคนเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงไปเป็นการซื้อ “กองทุนรวมหุ้น” แทน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกับ SET Index ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8-10% ต่อปีหากลงทุนเป็นระยะยาวอย่าง 10 ปีขึ้นไป

ความเสี่ยง : สูง (หากซื้อหุ้นถูกตัวก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้มาก กลับกันหากซื้อหุ้นผิดตัวก็สามารถขาดทุนได้มากเช่นกัน)

4. ลงทุนในกองทุนรวม

กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพราะเราสามารถลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ไม่ใช่เฉพาะหุ้นอย่างเดียว โดยมีตั้งแต่ เงินฝาก ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นในประเทศ และหุ้นนอกประเทศ ฯลฯ

อีกทั้งยังได้ในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น “กองทุนรวมหุ้น” จากการที่เราจะซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ การซื้อกองทุนรวมหุ้น ก็จะทำให้เงินของเราสามารถกระจายไปในหุ้นหลาย ๆ ตัวได้ โดยใช้เงินเท่าเดิม เป็นต้น อีกทั้งการลงทุนในกองทุนรวมนั้น ยังมี Fund Manager หรือผู้เชี่ยวชาญ คอยเลือกสินทรัพย์ให้เราอีกด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับการลงทุนในหุ้นที่เราต้องศึกษา และเลือกหุ้นลงทุนด้วยตัวเอง

ผลตอบแทน : เนื่องจากกองทุนรวมนั้นมีหลากหลายประเภท และลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ผลตอบแทนจากกองทุนรวมจึงขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละช่วงเวลา ก็จะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน

ความเสี่ยง : ต่ำ - สูง (อยู่ที่เราจะเลือกลงทุนในประเภทไหน เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนทองคำ ผลตอบแทนก็จะสูงขึ้นมาตามแต่ละสินทรัพย์ เห็นไหมว่าแม้เราจะกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในกองทุนแล้ว แต่เราก็ยังกระจายไม่พอ หากเราไม่มีการลงทุนแบบกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ)

มี งบ 5000 ลงทุน อะไร ดี

ภาพแสดงผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละประเภททั่วโลก
ที่มา : https://novelinvestor.com/asset-class-returns/

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะสนใจลงทุนผ่านกองทุนรวม เพราะเราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายประเภทได้ โดยดูจากนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมนั้น ๆ

แต่จะดีกว่าไหม หากเราสามารถจัดพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่เรารับได้ พร้อมกับมีผู้เชียวชาญคอยดูแลคัดสรรกองทุน พร้อมการจัดและปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ที่สำคัญให้เรา ขณะเดียวกันเรายังสามารถกระจายการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นในประเทศ และหุ้นต่างประเทศ มาดูทางเลือกอย่างที่ 5 กันเลย

5. ลงทุนด้วย ttb smart port

ttb smart port คือ เครื่องมือทางการลงทุน ที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนการลงทุนให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ยังไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หรือไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนในกลุ่มไหนดี โดย ttb smart port จะมีมืออาชีพซึ่งเป็นผู้เชียวชาญด้านการลงทุนระดับโลกมาช่วยดูแล คัดสรรกองทุน จัดและปรับสัดส่วนการลงทุนให้อย่างสม่ำเสมอ ตามสภาวะของตลาด อีกทั้งยังมีหลากหลายโมเดลให้เราเลือกตามความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเรา ทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะมีโอกาสไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น

ต่อไปเรามาดูสัดส่วนการลงทุนกระจายความเสี่ยงของ ttb smart port แต่ละแผนกันว่ามีหน้าตาอย่างไรกันบ้าง

มี งบ 5000 ลงทุน อะไร ดี

สัดส่วนการลงทุนในแต่ละแผนของ ttb smart port

1. tsp1-preserver - ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 80% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงเป็นหลัก เน้นรักษาเงินต้น

ความเสี่ยง : ระดับ 4 (ต่ำสุดใน ttb smart port ทั้งหมด)


2. tsp2-nurturer - กองทุนนี้ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 40% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 40% หุ้นในประเทศ 10% และหุ้นต่างประเทศ 10%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการชนะเงินเฟ้อ และไม่ต้องการรับความผันผวน

ความเสี่ยง : ระดับ 5


3. tsp3-balancer - กองทุนนี้ลงทุนแบบสมดุล 50/50 เพราะมีหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50% มีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่อยากกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย ผลตอบแทนกำลังพอดี ไม่เสี่ยงมากไปหรือน้อยไป

ความเสี่ยง : ระดับ 5


4. tsp4-explorer - กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 45% หุ้นในประเทศ 25% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% ตราสารหนี้ในประเทศ 10%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่เน้นเรื่องการเติบโตโดยเฉพาะ และพร้อมจะรับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงขึ้นได้ในระยะเวลา 3-5 ปี

ความเสี่ยง : ระดับ 5


5. tsp5-gogetter - กองทุนนี้ลงทุนในหุ้น 100% แบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 30% และหุ้นต่างประเทศ 70%

ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด จาการลงทุนในหุ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ความเสี่ยง : ระดับ 6 (สูงสุดใน ttb smart port ทั้ง 5 แผน)

จะเห็นได้ว่า จากทางเลือกที่เราเสนอมาทั้งหมด 5 ทางเลือก การลงทุนแบบจัดพอร์ตกับ tsp นั้นดูจะมีความยืดหยุ่นที่สุด เพราะเราสามารถเลือกระดับความเสี่ยงเองได้ และได้ทำการกระจายการลงทุนไปด้วย โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอย คัด จัด ปรับพอร์ต ให้เรา ซึ่งเราสามารถนำเงินเก็บในแต่ละเดือนของเรามาลงทุนใน ttb smart port ได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก

สุดท้ายขอจากกันด้วยรูปตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลัง ด้วยการลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ระหว่าง ttb smart port กับการลงทุนในดัชนี SET Index เพียงอย่างเดียว ว่าผลตอบแทน และความเสี่ยงที่ได้จะเป็นอย่างไร โดยในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเป็น tsp3-balancer สำหรับคนชอบทางสายกลางกันนะครับ

มี งบ 5000 ลงทุน อะไร ดี

https://www.investing.com/indices/thailand-set-historical-data

จากตารางจะเห็นได้ว่าหากเราลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โอกาสจะเป็นเจ้าของเงินล้าน ก็อยู่ไม่ไกลเกินฝัน เพียงเราเลือกลงทุนให้ถูกที่ และมีวินัยสม่ำเสมอ จากเงิน 5,000 บาท ก็มีโอกาสกลายเป็นเงินล้านได้ ไม่ยากเกินฝันเช่นกัน

หากใครต้องการเครื่องมือช่วยลงทุนดี ๆ แบบนี้ สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ง่าย ๆ ด้วย ttb smart port ซึ่งมีโปรโมชันพิเศษ 3 ต่อ !!