กลอน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

เมื่อวันพุธที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา มีงานมอบรางวัล “อุชเชนี” ซึ่งเป็นรางวัลงานเขียนทั้งบทกวีและข้อเขียนบทร้อยแก้ว ระดับนักเรียนและประชาชน งานนี้จัดมา 5 ครั้งหรือห้าปีแล้ว มีผู้ส่งผลงานคับคั่งน่าพอใจ

และน่าชื่นชมในความสามารถของผู้ส่งผลงานทุกคน

อุชเชนีเป็นนามปากกาของอาจารย์ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ มีผลงานโดดเด่นทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง

โดยเฉพาะบทกวีเล่มที่ชื่อ “ขอบฟ้าขลิบทอง” ซึ่งเป็นชื่อของบทกวีอันถือเป็นบท “ชั้นครู” ที่ผู้สนใจงานกวีนิพนธ์ “ต้องอ่าน”

ส่วนตัวนั้นเห็นว่า “ขอบฟ้าขลิบทอง” เป็นดั่ง “กวีของกวี”

ซึ่งจะขอยกเป็นแบบฉบับมา ณ ที่นี้

 

กวีขอบฟ้าขลิบทองมีหกบทรวม 24 วรรคพิเศษคือทุกวรรคมี “คำกวี” หรือ “โวหารกวี” ประจำอยู่ทำให้ทุกวรรคโดดเด่น เฉิดฉาย ประชันกันอยู่พราวพราย

บทกวีทั้งหกบทจึงเสมือน “สร้อยสรวง” เจิดจรัสด้วยเพชรพลอยของถ้อยคำ ที่เจียระไนมาจากผลึกของความคิดโดยแท้

สร้อยสรวงเส้นนี้อุชเชนีบรรจงร้อยฝากไว้แล้วแด่แผ่นดินกวีให้เราได้อ่านได้ศึกษาและได้รักได้เข้าถึงวิญญาณกวีแท้จริง

เริ่มวรรคแรกด้วยคำ “มิ่งมิตร” สองคำนี้คือคำกวีที่มักไม่นำมาใช้ได้ในที่ทั่วไป วรรคต่อไปตามลำดับดังนี้

 

มิ่งมิตร

เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น

ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน

ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม

ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว

ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม

ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม

ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน

ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงส์ร่อน

ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน

ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจคน

ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ

ที่จะเกลาทางกู้สู่คนยาก

ที่จะจากผมนิ่มปิ้มเส้นไหม

ที่จะหาญผสานท้านัยน์ตาใคร

ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง

ที่จะอยู่เพื่อคนที่เธอรัก

ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง

ที่จะมุ่งจุดหมายปรายทะนง

ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา

เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น

เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา

เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา

เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ ฯ

 

ทุกคำที่ขีดเส้นใต้นั้นคือ “คำกวี”

หายากนะที่จะมีใครเขียนกลอนมี “คำกวี” ได้ในทุกวรรค

นิยาม “คำกวี” สั้นๆ คือคำ “สัมผัสใจ”

ส่วน “คำกลอน” คือคำ “สัมผัสคำ”

กลอนมุ่งเน้นสัมผัสคำเป็นหลักและทำให้ร้อยกรองต่างกับร้อยแก้วก็ตรงรูปแบบฉันทลักษณ์ที่กำหนดไว้เป็นแบบบทต่างลักษณะนานานี่เอง โดยเฉพาะภาษาไทยมีทั้งเสียงคำ และการจัดจังหวะสัมผัสสระนี่แหละที่กำหนดความไพเราะให้ได้รสของอักษรอันเป็นเอกลักษณ์ของกาพย์กลอนไทย ดังเรียกว่า “สัมผัสคำ”

คำสัมผัสใจ เป็นการใช้โวหารเปรียบเทียบที่ประมวลไว้ซึ่ง “ความรู้สึกนึกคิด” มากกว่าจะเน้นความไพเราะตามรูปแบบสัมผัสคำเพียงเท่านั้น

ตัวอย่างสองวรรคจากของฟ้าขลิบทองคือ

“ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว”

“เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา”

ทั้งสองวรรคนี้สมบูรณ์ทั้งสัมผัสคำและสัมผัสใจ

“ร่ำเพลง” และ “โลมเรียวข้าว” นี้เป็นสัมผัสใจเพราะแทนที่จะใช้ “ร้องเพลง” และ “กล่อมทุ่งข้าว” แต่คำ “ร่ำ” และคำ “โลม” ให้ความรู้สึกนึกคิดมากกว่านัก

มีคำ “เกี่ยว” คำเดียวแท้ๆ เป็น “สัมผัสคำ “ที่เชื่อมร้อยทำให้คำกวีสองคำนี้มาสัมผัสกันทำให้สมบูรณ์ทั้งสัมผัสคำและสัมผัสใจจริงๆ

“ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว”

คำง่ายๆ ไม่มีศัพท์แสงอะไรเลย แต่นำมาเรียงร้อยกันทำให้ถ้อยคำทั้งวรรคบรรเจิดเฉิดฉายกลายเป็นวรรคกวีที่สมบูรณ์สุด

“เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา” นี่ก็เช่นกันมีสัมผัสคำเชื่อมร้อยเต็มตลาดทั้งวรรคคือ “ข้าว-พราว” “แพร้ว-แนว” แต่คำ “เรืองข้าว” เป็น “คำกวี” ที่ฉายวาวเด่นขึ้นมาทันทีทำให้เห็นภาพรวงข้าวสีทองอร่ามเต็มท้องทุ่งนา ถ้าจะแต่ง “เพื่อรวงข้าวพราวแพร้วทั่วแนวมา” ก็ได้ แต่จืดชืดสิ้นดี

นี่คือคำกวีและวรรคกวีที่ให้ทั้งความไพเราะของถ้อยคำและให้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเต็มที่

 

ขอบฟ้าขลิบทองนอกจากสมบูรณ์ทั้งสัมผัสคำและสัมผัสใจแล้ว เนื้อหาทั้งหมดยังเปี่ยมสมบูรณ์ทั้งการสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของภาคเกษตรกรรมคือสังคมไร่นาที่เป็นปัญหาต่อเนื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันวันนี้แล้ว ยังยืนสัจธรรมนี้ด้วยคือ

กลอนหนึ่งบทสี่บรรทัดนั้นใช้เวลาอ่านประมาณสิบห้าวินาที เพราะฉะนั้นเวลาหนึ่งนาทีก็จะอ่านกลอนได้สี่บทโดยประมาณ

บทกลอนจึงเป็นเครื่องกำหนดเวลาได้ด้วยประการฉะนี้ นอกจากประโยชน์อื่นอันจะได้จากบทกลอนแล้วก็คือ การที่บทกลอนเป็นเครื่องกำหนดเวลาได้ด้วยนี่เอง

เคยไปหาหมอฟันต้องอ้าปากค้างให้หมอจัดการกับปัญหาฟันอยู่นั้น เลยท่องกลอนบทขุนแผนฟันม่านซึ่งมีอยู่สิบหกบท ท่องรอบหนึ่งตกราวสี่นาที กว่าหมอจะจัดการเสร็จจำได้ว่าท่องอยู่ราวห้า-หกรอบ เว้นช่วงต้องบ้วนปากด้วย รวมแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง

ตีเสียว่ารอบละห้านาทีแล้วกัน ด้วยว่าไม่อาจท่องติดต่อแบบบทละสิบห้าวินาทีได้ ต้องหยุดเว้นต้องสะดุดสะดุ้งบ้าง เหมารวมเฉลี่ยราวรอบละห้านาที หกรอบก็สามสิบนาที

รวมบ้วนน้ำด้วยก็กว่าครึ่งชั่วโมงนั่น

 

นอกจากจะเพื่อกำหนดเวลาได้โดยไม่ต้องดูนาฬิกาแล้ว ที่ดียิ่งคือไม่กังวลระแวงกับความกลัวว่าจะเจ็บปวดอะไรเลย ซึ่งที่จริงก็ไม่เจ็บปวดอะไรอยู่แล้ว หากมัวพะวงจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดในปากเรามันก็คงเป็นเรื่องไม่ปกตินัก

แต่นี่สบายมาก คือนอกจากเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว จิตกลับไปจดจ่อกับเรื่องม่านสามชั้นของวันทองอยู่นั่น ราวจะเห็นรายละเอียดในม่านแต่ละชั้นนั่นเลย…เห็นไหม

ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ

จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาพี่

เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี

สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว

ตรง “จำได้” นี่แทบจะได้ยินเสียงเอื้อนทำนองเสภาเลยทีเดียว ด้วยในทางเชิงกลอนนั้นการมารับสัมผัสระหว่างวรรคตรงคำแรกนี้ มักไม่กระทำกันด้วยถือว่า “เสียจังหวะ” จะให้ถูกจังหวะควรจะว่า เช่น

พี่ยังจำไม่ผิดนัยน์ตาพี่

ประมาณนี้ คือต้องรับ “สระอำ” ตรงคำที่สามหรือที่สอง นี่รับคำที่หนึ่งได้ไง

ก็ตรงนี้แหละที่นักขับเสภาเขาจะเน้นคำเหมือนจะย้ำคำว่า “จำ” ทอดจังหวะเว้นช่วงแล้วจึงจะต่อคำว่า “ได้” รับไปอีกทอดหนึ่ง

นี้คือ “เสน่ห์เสภา” ที่ต้องฟังจึงจะได้รสของอารมณ์ความรู้สึกอย่างมีชีวิตชีวา

 

เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ

ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว

รุกขชาติดาษใบระบัดเรียว

พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง

ปักเป็นมยุราลงรำร่อน

ฝ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง

แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง

ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชม้อยตา

นี่คือป่าหิมพานต์ในคติฮินดูที่มีเขาพระสุเมรุเป็นหลักของจักรวาลอันนับเป็นแดนสวรรค์

…มยุราลงรำร่อน

ฝ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง

คำ “ฝ่ายฟ้อน” นี่ ท่านกวีอังคาร กัลยาณพงศ์ คุยให้ฟังว่าที่จริงต้องเป็น “ฟ่ายฟ้อน” ฟ.ฟันไม่ใช่ ฝ.ฝาด้วยคำ ฟ้อน นั้นคู่กับ ฟ่าย ไม่ใช่คู่กับ ฝ่าย คือท่านอังคารมองเห็นภาพอิริยาบถของคำ “ฟ่ายฟ้อน” มากกว่าจะเห็นจากคำ “ฝ่ายฟ้อน”

ฟังดูก็เข้าทีดี แต่โดยรสของเสียงคำแล้ว “ฝ่ายฟ้อน” ไพเราะกว่า “ฟ่ายฟ้อน” นะท่านอังคาร

 

ต่อไปเป็นลำดับของภูเขาหิมพานต์ห้าลูก

ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม

อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา

วินันตก หกสะกัน เป็นหลั่นมา

การะวิก อิสินธร ยุคุนธร

อากาศคงคาชลาสินธุ์

มุจลินท์ห้าแถวแนวสลอน

ไกลาสสะอาดเอี่ยมอรชร

ฝูงกินนรคนธรรพ์วิทยา

นอกจากสัตว์หิมพานต์นานาแล้ว ยังมีฝูงกินนรคือเหล่านางกินนรหรือกินนรี ลักษณะครึ่งคนครึ่งนกดัง “โนรา” ปักษ์ใต้บ้านเรา ยืนโรงอยู่จนได้ยอมรับให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกวันนี้ ที่จริงยังมีรำ “กิงกะหล่า” ที่แม่ฮ่องสอนอีกด้วย กิงกะหล่าหรือกิงกะหร่าก็คือ กินนร หรือกินนรา ตัวเดียวกันกับโนรานั้นเอง

คนธรรพ์นั้นคู่กับวิทยาธร คือผู้ทรงความรู้ด้านศิลปะ ดนตรี ดังคำไหว้ครูดนตรีไทยจะถือเอง “พระประคนธรรพ” เป็นครูใหญ่องค์สำคัญ ประคนธรรพก็คือ “คนธรรพ์” ดังกลอนเสภาว่า “คนธรรพ์วิทยา” คือเหล่าคนธรรพ์ และวิทยาธรผู้รู้แห่งป่าหิมพานต์นั้น

ลงเล่นน้ำดำดิ้นอโนดาต

ใสสะอาดเยือกเย็นเห็นขอบผา

หมู่มังกรล่อแก้วแพรวพรายตา

ทัศนารำลึกถึงวันทอง

ห้ำหั่นฟันม่านผลาญสับ

ระยำยับย่างเข้าไปชั้นสอง

น่ารักปักเอี่ยมลออออง

น้องเอ๋ย ช่างฉลาดล้ำมนุษย์ ฯ

 

ม่านชั้นแรกชั้นเดียวนะเจ็ดบทกลอนเข้าไปแล้ว กำหนดนับเวลาก็ได้ราวสองนาทีโดยประมาณ คือประมาณว่าสี่บทเป็นหนึ่งนาที นี่เจ็ดบทก็เกือบสองนาที ให้เวลาหายใจสบายๆ ก็ราวสองนาทีพอดี