Ws Bozz 0% found this document useful (1 vote) 21K views 14 pages © Attribution Non-Commercial (BY-NC) DOCX, PDF, TXT or read online from Scribd Did you find this document useful?Is this content inappropriate?Report this Document 0% found this document useful (1 vote) 21K views14 pages วิชาบัญชีเบื้องต้น 2Uploaded byWs Bozz Full description 1. ความหมายของสินค้า สินค้า (Goods or Merchandise) หมายถึงสินทรัพย์หมุนเวียน ที่มีตัวตนหรือสิ่งของที่กิจการมีไว้เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ซื้อ หรือลูกค้าเพื่อหวังผลกำไรจากการจำหน่ายสินค้า ดังนั้นกิจการมีรายได้หลักจากการขายสินค้าตามลักษณะของการประกอบธุรกิจ เช่น ร้านมะขามทอง การไฟฟ้า มีสินค้าดังนี้ เครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และห้างสรรพสินค้ามะขามป้อม มีสินค้าประเภทอาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า เครื่องดื่ม ผลไม้ เครื่องสำอาง ไว้จำหน่ายในกิจการ เป็นต้น 2. ประเภทของธุรกิจเกี่ยวกับสินค้า ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าที่มีกิจกรรมในการประกอบธุรกิจการค้า แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 ธุรกิจพาณิชยกรรม(Merchandise Business) หรือธุรกิจซื้อมาขายไป หมายถึงธุรกิจที่ซื้อสินค้าสำเร็จรูปมาขายขายอีกทอดหนึ่งเพื่อหวังผลกำไร ดังนั้นรายได้หลักของกิจการ จึงเป็นรายได้จากการขายสินค้า และมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับต้นทุนสินค้าที่ขาย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเช่น ธุรกิจขายรถยนต์ สินค้าของกิจการคือ รถยนต์ อุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์ หรือธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าสินค้าของกิจการคือ ตู้เย็น พัดลม เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น 2. 2 ธุรกิจอุตสาหกรรม (Manufacturing Business) หมายถึง ธุรกิจที่ซื้อวัตถุดิบมาเพื่อทำการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป แล้วนำไปจำหน่าย ดังนั้นรายได้หลักของกิจการเป็นรายได้จากการขายสินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตเสร็จ เช่น โรงงานผลิตน้ำอัดลม โรงงานผลิตเก้าอี้หวาย โรงงานผลิตรองเท้า โรงงานผลิตเสื้อผ้าสตรี โรงงานทอผ้า เป็นต้น 3. การซื้อขายสินค้าและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3.1 ความหมายการซื้อขายสินค้า หมายถึง การดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสินค้า มีรายการค้าที่เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าได้แก่ - การซื้อสินค้าเป็นเงินสด - การซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ - การส่งคืนสินค้าที่ซื้อด้วยเงินสด - การส่งคืนสินค้าให้กับเจ้าหนี้ - การขายสินค้าเป็นเงินสด - การขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ - การรับคืนสินค้าที่ขายด้วยเงินสด - การรับคืนสินค้าจากลูกหนี้ 3.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้า การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าจำเป็นต้องมีเอกสารใช้เป็นหลักฐานในการบันทึกบัญชี ซึ่งกิจการอาจเป็นผู้จัดทำเอกสารขึ้นใช้เอง หรือเป็นเอกสารที่กิจการได้รับจากบุคคลภายนอก เช่น ใบขอซื้อสินค้า ใบสั่งซื้อสินค้า ใบกำกับสินค้า ใบรับสินค้า ใบส่งคืนสินค้า ใบเสร็จรับเงิน มีดังนี้ 3.2.1 ใบขอซื้อ
(Purchase Requisition) คือ เอกสารที่แผนกคลังสินค้าจัดทำขึ้นเพื่อแจ้งว่าสินค้าชนิดใด ประเภทใดของกิจการใกล้จะหมด และต้องการสั่งซื้อเพิ่มปริมาณเท่าไร โดยจัดทำใบขอซื้อสินค้า ส่งไปให้แผนกจัดซื้อดำเนินการต่อ 4. เงื่อนไขเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า เงื่อนไขเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า คือข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าเพื่อให้ การซื้อขายสินค้าดำเนินไปด้วยดี มีความเข้าใจตรงกันจนพึงพอใจและเกิดประโยชน์สูงสุดทั้ง 2 ฝ่าย เงื่อนไขเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า ประกอบด้วย เงื่อนไขเกี่ยวกับส่วนลด และ เงื่อนไขเกี่ยวกับค่าขนส่งสินค้า เช่น 4.1 เงื่อนไขเกี่ยวกับส่วนลด (Discount) เป็นเงื่อนไขที่ผู้ขายให้ส่วนลดกับผู้ซื้อ เพื่อ เป็นการจูงใจให้ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก หรือจูงใจให้ผู้ซื้อชำระหนี้โดยเร็ว เงื่อนไข เกี่ยวกับส่วนลด แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 4.1.1 ส่วนลดการค้า (Trade Discount) เป็นส่วนลดที่ผู้ขายกระตุ้น หรือจูงใจให้ ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก ๆ โดยผู้ขายตั้งเกณฑ์ไว้ เพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจ เช่นซื้อสินค้า 5 ชิ้น ขึ้นไป แถม 1 ชิ้น หรือซื้อสินค้า 500 บาท ลดให้ 5% แต่ถ้าซื้อสินค้าตั้งแต่ 501 – 1,000 บาท ลดให้ 10% หรือกำหนดอัตราส่วนลดเป็นร้อยละจากราคาที่กำหนดไว้ในใบแสดงรายการสินค้า ส่วนลดการค้า ผู้ขายจะลดให้ผู้ซื้อในขณะที่ซื้อขายสินค้า ผู้ขายเรียกส่วนลดนี้ว่า “ส่วนลดการค้า” ส่วนลดการค้านี้จะไม่นำมาบันทึกบัญชี แต่จะนำไปหักออกจากราคาซื้อขายสินค้า เพื่อหาราคาสุทธิ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะบันทึกบัญชีในราคาสุทธิ 2.การบันทึกรายการเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าสำหรับกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 7 จะต้องนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากรายได้และค่าใช้จ่ายมาคำนวณหาจำนวนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระเพิ่มเติม หรือการใช้สิทธิในการขอคืนภาษีที่กิจการได้จ่ายไปเป็นรายเดือนตามปีปฏิทินเดือนละ 1 ครั้ง ทุก ๆ สิ้นเดือนผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องจัดทำรายงานภาษีและรายงานภาษีขายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน และจะต้องยื่นแบบแสดงรายการ (แบบภ.พ. 30) ส่งกรมสรรพากรเป็นรายเดือนไม่ว่าการขายสินค้าหรือบริการจะเกิดขึ้นในเดือนภาษีหรือไม่ เพื่อนำภาษีส่งหรือขอคืน โดยยื่นกรมสรรพากรภายในวันที 15 ของเดือนถัดไป การขอคืนภาษีจะขอคืนเป็นเงินสดหรือเครดิตยกจำนวนไปหักออกจากภาษีที่ต้องชำระในเดือนถัดไปก็ได้ ในวันสิ้นเดือนผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม0 จะบันทึกรายการปิดบัญชีภาษีซื้อและภาษีขายแบ่งเป็น 2 กรณีดังนี้ 3.6.1 กรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ในเดือนที่ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากร ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เดือนมีนาคม 25X6 กิจการค้าขายสินค้าไปทั้งสิ้น 120,000 บาท และซื้อสินค้ามาเพื่อขายจำนวน 80,000 บาท การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นดังนี้
ดังนั้นเดือน มี.ค. กิจการจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากร =8,400 - 5,600 = 2,800 บาท และภายในวันที่ 15 เม.ย. 25X6 จะต้องนำเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2,800 บาท ไปยื่นชำระที่กรมสรรพากร การบันทึกรายการปิดบัญชีภาษีซื้อและภาษีขาย 1. โอนปิดบัญชีภาษีซื้อ ภาษีขายไปบัญชีเจ้าหนี้-กรมสรรพากร เดบิต ภาษีขาย..............................................8,400 เครดิต ภาษีซื้อ.....................................................5,600 เจ้าหนี้-กรมสรรพากร................................2,800 2. ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป จะต้องนำเงินภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระให้กรมสรรพากร เดบิต เจ้าหนี้-กรมสรรพากร...........................2,800 เครดิต เงินสด.....................................................2,800 3.6.2 กรณีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ในเดือนที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เดือนพฤษภาคม 25X6 กิจการค้าขายสินค้าไปทั้งสิ้น 120,000 บาท และซื้อสินค้ามาเพื่อขายจำนวน 180,000 บาท การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นดังนี้
ดังนั้นเดือนพ.ค. กิจการมีสิทธิ์ที่จะยื่นขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร = 8,400 - 12,600 = 4,200 บาท และภายในวันที่ 15 มิ.ย. 25X6 สามรถไปยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 4,200 บาท ดังนั้นภายในวันที่ 15 มิ.ย. 25X6 สามารถไปยื่นขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 4,200 บาท การบันทึกรายการปิดบัญชีภาษีซื้อและภาษีขาย 1. โอนปิดบัญชีภาษีซื้อ ภาษีขายไปบัญชีลูกหนี้-กรมสรรพากร เดบิต ภาษีขาย..............................................8,400 ลูกหนี้-กรมสรรพากร...........................2,800 เครดิต ภาษีซื้อ.....................................................12,600 2. ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สามารถขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร เดบิต เงินสด...................................................2,800 เครดิต ลูกหนี้-กรมสรรพากร...................................2,800 ตัวอย่างที่ 16
10 ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อจากร้านทะนงศักดิ์ 20,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้ทำ 1. บันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไป และโอนปิดบัญชีภาษีซื้อและภาษีขาย 2. ผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภททั่วไป 3.การบันทึกรายการเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าสำหรับกิจการที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1. การบันทึกรายการในกรณีไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม การบันทึกรายการในกรณีไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหลักการบันทึกบัญชี ในสมุดรายวันทั่วไป ดังนี้ 1.1 การซื้อขายสินค้า แบ่งออกเป็น 4 กรณี ได้ดังนี้ 1) ซื้อสินค้าเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต ซื้อสินค้า xxx เครดิต เงินสด xxx 2) ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ บันทึกบัญชีโดย เดบิต ซื้อสินค้า xxx เครดิต เจ้าหนี้- ร้าน........ xxx 3) ขายสินค้าเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต เงินสด xxx เครดิต ขายสินค้า xxx 4) ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ บันทึกบัญชีโดย เดบิต ลูกหนี้- ร้าน...... xxx เครดิต ขายสินค้า xxx 1.2 การส่งคืนสินค้าและการรับคืนสินค้า แบ่งออกเป็น 4 กรณี ได้ดังนี้ 1) การส่งคืนสินค้าที่ซื้อเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต เงินสด xxx เครดิต ส่งคืนสินค้า xxx 2) การส่งคืนสินค้าที่ซื้อเป็นเงินเชื่อ บันทึกบัญชีโดย เดบิต เจ้าหนี้ – ร้าน ....... xxx เครดิต ส่งคืนสินค้า xxx 3) การรับคืนสินค้าที่ขายเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต รับคืนสินค้า xxx เครดิต เงินสด xxx 4) การส่งคืนสินค้าที่ซื้อสินค้าเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต รับคืนสินค้า xxx เครดิต ลูกหนี้ – ร้าน ...... xxx 2. การบันทึกรายการในกรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม การบันทึกรายการในกรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหลักการบันทึกบัญชีใน สมุดรายวันทั่วไป ดังนี้ 2.1 การซื้อขายสินค้า แบ่งออกเป็น 4 กรณี ได้ดังนี้ 1) ซื้อสินค้าเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต ซื้อสินค้า xxx ภาษีซื้อ xxx เครดิต เงินสด xxx 2) ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ บันทึกบัญชีโดย เดบิต ซื้อสินค้า xxx ภาษีซื้อ xxx เครดิต เจ้าหนี้ – ร้าน......... xxx 3) ขายสินค้าเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต เงินสด xxx เครดิต ขายสินค้า xxx ภาษีขาย xxx 4) ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ บันทึกบัญชีโดย เดบิต ลูกหนี้ – ร้าน........ xxx เครดิต ขายสินค้า xxx ภาษีขาย xxx 2.2 การส่งคืนสินค้าและรับคืนสินค้า แบ่งออกเป็น 4 กรณี ได้ดังนี้ 1) การส่งคืนสินค้าที่ซื้อเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต เงินสด xxx เครดิต ส่งคืนสินค้า xxx ภาษีซื้อ xxx 2) การส่งคืนสินค้าที่ซื้อเป็นเงินเชื่อ บันทึกบัญชีโดย เดบิต เจ้าหนี้ xxx เครดิต ส่งคืนสินค้า xxx ภาษีซื้อ xxx 3) การรับคืนสินค้าที่ขายเป็นเงินสด บันทึกบัญชีโดย เดบิต รับคืนสินค้า xxx ภาษีขาย xxx เครดิต เงินสด xxx 4) การรับคืนสินค้าที่ขายเป็นเงินเชื่อ บันทึกบัญชีโดย เดบิต รับคืนสินค้า xxx ภาษีขาย xxx เครดิต ลูกหนี้ – ร้าน ......... xxx โอนปิดบัญชีภาษีซื้อ และบัญชีภาษีขายโอนปิดบัญชีภาษีซื้อ และบัญชีภาษีขาย 1. กรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผลต่าง คือ จำนวนเงินค่าภาษีที่กิจการจะต้อง นำส่งกรมสรรพากรการบันทึกบัญชีจะเป็น ดังนี้ 1.1 โอนปิดบัญชีภาษีขาย และบัญชีภาษีซื้อไปยังบัญชีเจ้าหนี้ – กรมสรรพากร บันทึกบัญชีโดย เดบิต ภาษีขาย xxx เครดิต ภาษีซื้อ xxx เจ้าหนี้ – กรมสรรพากร xxx 1.3 การชำระค่าภาษี บันทึกบัญชีโดย เดบิต เจ้าหนี้ – กรมสรรพากร xxx เครดิต เงินสด xxx 2. กรณีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ผลต่าง คือ จำนวนเงินค่าภาษีที่กิจการจะสามารถขอคืนจากการกรมสรรพากรได้ การบันทึกบัญชีจะเป็น ดังนี้ 2.1 โอนปิดบัญชีภาษีซื้อ และบัญชีภาษีขายไปยังบัญชี ลูกหนี้ – กรมสรรพากร บันทึกบัญชีโดย เดบิต ภาษีขาย xxx ลูกหนี้ – กรมสรรพากร xxx เครดิต ภาษีซื้อ xxx 2.2 ได้รับคืนเงินค่าภาษี บันทึกบัญชีโดย เดบิต เงินสด xxx เครดิต ลูกหนี้ – กรมสรรพากร xxx 3. การผ่านรายการไปยังบัญชีแยกประเภททั่วไป การผ่านรายการไปยังบัญชีแยกประเภททั่วไป เมื่อได้บันทึกรายการค้าใน สมุดรายวันทั่วไปแล้ว มีขั้นตอนต่อไปนี้ 3.1 เปิดบัญชีแยกประเภท โดยเขียนชื่อบัญชีเลขที่บัญชี โดยดูชื่อบัญชีจาก สมุดรายวันทั่วไป 3.2 ช่อง วัน เดือน ปี ให้เขียน วันเดือน ปี ตามที่บันทึกไว้ในสมุดรายวันทั่วไป 3.3 ช่องรายการ ให้นำชื่อบัญชีด้านตรงกันข้ามของรายการค้าที่บันทึกไว้ใน สมุดรายวันทั่วไปมาบันทึก 3.4 ช่องจำนวนเงิน ด้านซ้ายมือ และด้านขวามือจากสมุดรายวันทั่วไป ให้นำ จำนวนเงินของช่องเดบิตและเครดิตมาบันทึกในบัญชีแยกประเภททั่วไป 3.5 ช่องหน้าบัญชี หน้าบัญชีของบัญชีแยกประเภททั่วไปจะใช้อักษรย่อ คือ ร.ว. 1 (สมุดรายวันทั่วไป หน้า 1) เรียงตามลำดับหน้าบัญชีในสมุดรายวันทั่วไป แบบฟอร์มของบัญชีแยกประเภทแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. บัญชีแบบมาตรฐาน (Standard account form) เป็นบัญชีแยกประเภทที่แบ่งออกเป็น 2 ด้าน มีลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1.1 ชื่อบัญชี (Title of account) ของบัญชีแยกประเภทแต่ละบัญชี 1.2 ด้านซ้ายของบัญชี เรียกว่า ด้านเดบิต (Debit side) 1.3 ด้านขวาของบัญชี เรียกว่า ด้านเครดิต (Credit side) บัญชีแยกประเภทมาตรฐานจะเห็นได้ว่า มีลักษณะคล้ายตัว T จึงเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า T – Account ดังนี้ ชื่อบัญชี 4.การบันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไป
5.การผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภท
6.รายการปรับปรุงและปิดบัญชีเมื่อสิ้นงวดบัญชี กิจการได้ดำเนินงานต่างๆ ผลของการดำเนินการจะดูที่งบกำไรขากทุน และฐานะทางการเงินก็จะดูได้จากงบแดงฐานะการเงินซึ่งเป็นรายงานทางการเงินที่กิจการต้องมี การที่เราจะรับรู้ได้นั้นจะต้องนำรายการมาผ่านกระบวนการทางบัญชี เพื่อให้ได้รายงานทางการเงินเป็นบทสรุป
ดังนั้นแล้วเราจะเป็นที่จะต้องกำหนดระยะเวลาในการสรุปในรอบเวลานั้นเรียกว่า “งวดบัญชี” เพื่อให้การดำเนินงานของกิจการได้สรุปผลออกมาและนำข้อมูลที่ได้จากรายงานทางการเงินกำหนดการบริหารในอนาคต รวมถึงการคิดค่าภาษีเงินได้ที่ต้องชำระอีกด้วย แต่มีบางรายการที่ได้เงินหรือค้างชำระตามงวดนั้นไม่ได้เป็นจริงตามระยะเวลาของงวด ซึ่งในเกณฑ์คงค้างจะต้องทำการปรับปรุงเมื่อสินงวด ได้รับค่าบริการทำความสะอาดล้วงหน้า 5,000 บาท เป็นค่าทำความสะอาด 4 เดือนได้รับในวันที่ 1 พฤศจิกายน เมื่อสิ้นงวดในเดือนธันวาคมจะพบว่า 5,000 บาทเป็นจ่ายใช้จ่ายในระยะเวลา 4 เดือนและเป็นค่าใช้จ่ายในเดือนงวดถัดไปอีกด้วยดังนั้นแล้วสิ้นงวดแล้วจะต้องตัดจำนวนให้เป็นค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาของวด เพื่อที่เราจะได้รับรู้ยอดเงินนำไปปรับปรุง รายการปรับปรุง (Adjusting Entries) เป็นการปรับปรุงยอดบัญชีที่เป้ฯทั้งรายได้และจ่ายใช้จ่ายในงวดบัญชีให้ถูกต้องตามเกณฑ์คงค้างโดยรายการที่ต้องปรับปรุง 7 รายการคือ
1.ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (Prepaid Expenses) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
คือ กิจการได้ชำระค่าใช้จ่ายไปแล้วในงวดบัญชีปัจจุบัน แต่กิจการยังไม่ได้รับประโยชน์จากที่ได้ใช้จ่ายไป ตัวอย่างเช่น ค่าเช่าล่วงหน้า เงินเดือนจ่ายล่วงหน้า ค่าทำความสะอวดจ่ายล่วงหน้า จะเห็นได้ว่า 120,000 บาทนั้น เป็นค่าเช่าล้วงหน้า 1 ปี จ่ายไปวันที่ 1 กันยายน 2558 เมื่อสินงวดในเดือนธันวาคม จะเป็นค่าใช้จ่ายตามระยะเวลา 4 เดือนคือ เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม ส่วนที่เหลืออีก 8 เดือนคือ มกราคมถึงสิงหาคมเป็นค่าเช่าล่วงหน้า เมื่อเราได้ระยะเวลาที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนแล้ว ก็มาคำนวณยอดของทั่งสองส่วน โดยการนำจำนวนมาเฉลี่ยในแต่ละเดือนก่อน ด้วยการนำ 120,000/12 = 10,000 ต่อเดือน ดังนั้น ยอดที่ได้คือ ค่าใช้จ่ายงวดนี้ 40,000(10,00*4) และเป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอีก 80,000(10,000*8) เมื่อได้ยอดที่สรุปได้จะนำไปลงบัญชีซึ่งค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสามารถบันทึกได้ 2 วิธีคือ 1.ลงบันทึกไว้เป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้า เดินจะถูกบรรทุกไว้เป็นค่าใช้ล่วงหน้าทั้งหมด 120,000 บาท Dr. ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า
120,000 Dr. ค่าเช่า
40,000 ดังนั้นในบัญชีแยกประเภทในรายการที่เกี่ยวข้องในบัญชีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจะมียอดยกไป 80,000 ในงวดถัดไป และเป็นค่าใช้จ่าย 40,000 ในงวดนี้ 2.ลงบันทึกไว้เป็นค่าใช้จ่าย เดิมทีจะมีการลงบัญชีไว้เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด 120,000 Dr. ค่าใช้จ่าย… 120,000 ต่อมาจะมีการปรับปรุงจากยอดค่าใช้จ่ายที่ได้บรรทุกไว้ 120,000 ให้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดนี้ 40,000 เป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้า 80,000 โดยนำไปหักบัญชีค่าใช้จ่าย Dr. ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า
80,000 แสดงในยอดบัญชีแยกประเภทของค่าใช้จ่ายที่หักออกและยังมีบัญชีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นมา เมื่อเหลือในส่วนของค่าใช้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจะอยู่ในหมวดหมู่สินทรัพย์หมุนเวียนจะแสดงในงบแสดงฐานะการเงิน 80,000 2.ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย (Accrued Expenses) ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายคือ
รายจ่ายที่เกิดขึ้นแล้วในงวดบัญชีปัจจุบัน แต่ยังไม่ได้ชำระเงินเมื่อสิ้นงวดเราจึงตั้งให้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดปัจจุบัน เนื่องจากกิจการได้ดำเนินและได้ใช้ประโยชน์ไปแล้ว เช่น ค่าเช่าค้างจ่าย ดอกเบี้ยค้างจ่าย ค่าไฟค้างจ่าย เงินเดือนค้างจ่ายเป้ฯต้น ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายนั้นมีลักษณะเป็นหนี้ของกิจการที่ต้องชำระคืนในอนาคต Dr. ค่าใช้จ่าย XX ตัวอย่าง กิจการได้กู้เงินเป็นจำนวน 100,000 บาท ในวันที่ 1 สิงหาคม โดยมีอัตราดอกเบี้ยเป็น 6 % ต่อปี มีกำหนดชำระทุก 6 เดือน ดังนั้นเมื่อเป็นค่าใช้จ่ายในงวดนี้ก็จะถูกนำไปลงไว้ที่บัญชีกำไรขาดทุนด้วย และดอกเบี้ยค้างจากจะแสดงในภาวะหนี้สิ้นลงในงบแสดงฐานะการเงิน
รายได้รับล่วงหน้าคือ คือรายได้ที่กิจการรับมาแล้วแต่ยังไม่ได้ให้บริการกับลูกค้า โดยจะได้รับในงวดปัจจุบันแต่ยังมีระยะเวลาที่ต้องให้บริการถึงงวดบัญชีหน้า อย่างเช่น ค่าเช่ารับล่วงหน้า ดอกเบี้ยรับล่วงหน้า เงินเดือนรับล่วงหน้า เมื่อรับมาแล้วกิจการจะต้องดำเนินการให้กับลูกค้าจนกว่าจะครบกำหนดจึงถือเป็นบัญชีประเภทหนี้สินหมุนเวียน
ถ้าเงินที่ได้รับมาในงวดปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นรายได้งวดปัจจุบันของกิจการ จึงต้องทำการปรับปรุงเสียก่อน
ตัวอย่าง กิจการได้รับเงินค่าเช่าอาคารมา 180,000 บาท เป็นค่าเช่ารับล่วงหน้าในระยะ 1 ปี โดยรับเงินตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2558 ดังนั้นแล้ว ในงวดนี้จะเป็นรายได้ 3 เดือน และเป็นรายได้รับล่วงหน้า 9 เดือน สามารถคำนวณยอดได้คือ 180,000/12 = 15,000 เป็นการคำนวณหามูลค่าในแต่ละเดือน ถ้าจะเป็นรายได้งวดหน้า 45,000(15,000*3) และเป็นรายได้รับล่วงหน้า 1350,00(15,000*9) เมื่อเราทราบยอดแล้วจะทำการปรับปรุงตามวิธีลงที่กิจการได้ลงไว้
การลงบัญชีไว้เป็นรายได้รับล่วงหน้า Dr. เงินสด
180,000 เมื่อสินงวดจึงต้องมีการปรับปรุงยอดบัญชีดังนี้ Dr. ค่าเช่ารับล่วงหน้า
45,000 เมื่อนำไปแสดงในบัญชีแยกประเภทจะมียอดยกไปเป็นค่าเช่ารับล่วงหน้า 135,000 2.ลงไว้เป็นรายได้ ทางกิจการจะลงไว้เป็นรายได้ทั้งหมด 180,000 ตามจริงแล้วจะมีบางส่วนที่เป็นรายได้รับล่วงหน้าด้วย จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงเพื่อตัดยอดออก 135,000 ที่เป็นรายได้ค่าเช่ารับล่วงหน้า เดิมบันทึกเป็นรายได้ทั้งหมด Dr. เงินสด 180,000 ทำการปรับปรุงด้วยการนำยอด 135,000 ที่เป็นส่วนของรายได้รับล่วงหน้ามาปรับปรุง Dr. ค่าเช่ารับ
135,000 เมื่อรับยอดรายได้รับล่วงหน้าและยอดรายได้ในงวดนี้แล้วจะแสดงในบัญชีแยกประเภทดังนี้ เมื่อทำการปรับปรุงแล้ว จะมียอดแสดงในงบแสดงฐานะการเงิน ในส่วนหนี้สินและส่วนของเจ้าของ และรายได้จะไปอยู่ที่งบกำไรขาดทุน 4.รายได้ค้างรับ (Accrued Revenues) Dr. รายได้ค้างรับ XX ตัวอย่าง กิจการได้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1,200,000 ในวันที่ 1 พฤษภาคม โดยมีอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี ซึ่งจะมีการจ่ายดอกเบี้ยทุกวันที่ 30 เมษายน ของทุกปี การคำนวณก็จะได้ดอกเบี้ยที่ยังไม่ได้จ่ายให้กับเรา 8 เดือนเท่ากับ 48,000 เป็นยอดที่จะนำไปปรับปรุงดอกเบี้ยค้างรับ Dr. ดอกเบี้ยค้างรับ
48,000 ยอดจะนำไปลงในบัญชีแยกประเภทดังนี้ และจะแสดงในงบกำไรขาดทุนในส่วนของรายได้อื่นเป็นดอกเบี้ยรับ และดอกเบี้ยค้างรับจะแสดงในงบแสดงฐานะการเงินในสินทรัพย์หมุนเวียน 5.หนี้สงสัยจะสูญ (Doubtful
debta) Dr. หนี้สงสัยจะสูญ XX โดยการประมาณค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสามารถทำได้ 2 วิธีได้แก่ 1.การประมาณจากยอดขาย เป็นการประมาณค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากยอดขาย ซึ่งไม่ต้องคำหนึ่งถึงยอดสะสม สามารถตั้งได้ตามยอดลูกหนี้ได้เลย ตัวอย่าง กิจการมียอดขายเชื่อทั้งหมดในปี 2558 กิจการมีการประเมินค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากยอดขายเชื้อทั้งหมด 2% ดังนั้น การประมาณค่าจากยอดขายจะได้ 3,000,000 * 2% = 60,000 หลังจากนั้นจะทำการบันทึกได้เลย Dr. หนี้สงสัยจะสูญ 60,000 2.การประมาณจากยอดลูกหนี้ เป็นการประมาณค่าจากยอดลูกหนี้ทั้งหมด การประมาณค่านี้จะต้องได้ยอดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่มีอยู่เดิมมารวมด้วย หากมียอดเดิมอยู่เท่าไหร่ให้นำยอดเดิมนั้นมาหักยอดที่คำนวณได้แล้วจึงตั้งยอดที่ได้ผลลบนำมาตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในงวดนี้ ตัวอย่าง เดิมกิจการมีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเดิมอยู่ 500 ที่เป็นยอดยกมาจากงวดที่แล้ว แต่ต่อมามีลูกหนี้ 100,000 บาทจึงต้องการประเมินค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 10% จากยอดลุกหนี้ จากตัวอย่างมียอดยกมาจากงวดที่แล้วอยู่ 500 บาทและได้คำนวณ 100,000 ค่าเผื่อหนี้สงสัยสูญ 10% ยอดเท่ากับ 10,000 บาทคือยอก 100,000*10% คือยอดที่เราต้องได้มาทั้งหมด 10,000 ดังนั้นแล้วเราต้องตั้งเพิ่มอีก 9,500 ซึ่งเกิดจาก 10,000 – 500 ยอดลุกหนี้ของวดนี้
100,000 Dr. หนี้สงสัยจะสูญ
9,500 ตัวอย่างในบัญชีแยกประเภทของค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ การจำหน่ายหนี้สงสัยจะสูญ กรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชะระหนี้จึงต้องตัดจำหน่ายยอดลูกหนี้ อาจจะเกิดจากลุกหนี้ล้มละลายหรือหนี้ ต่อจากตัวอย่างเดิม เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2558 พบว่าลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลายไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงต้องตัดจำหน่ายลุกหนี้ 1,000 Dr. ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
1,000 ถ้าลูกหนี้ถูกตัดนำหน่ายไปแล้วนำเงินมาชำระคืน เมื่อนำมาชำระสามารถตั้งลูกหนี้ขึ้นมาใหม่ได้ ตัวอย่างถัดมาได้มีลุกหนี้นำเงินมาชำระคืน 1,000 บาท Dr. ลูกหนี้
1,000 Dr. เงินสด 1,000 หรือ
วัสดุสำนักงาน คือ วัสดุต่างๆที่มีไว้ใช้ประโยชน์ของกิจการ อย่างเช่น ปากกา กระดาษ หมึกพิมพ์ เป็นต้น วัสดุอย่างอื่นที่เมื่อใช้ไปแล้วก็จะหมดไปเรื่อยๆ ซึ้งตอนแรกที่ซื้อมานั้นจะมีมูลค่าเต็มและเมื่อกิจการดำเนินการไปนั้น วัสดุเหล่านี้ก็จะถูกใช้ไป เมื่อถึงสิ้นงวดจะมีการตรวจนับยอดคงเหลือมูลค่าเท่าไหร่ หรือในระหว่างงวดจะมีการรวมกับกับต้นงวดนำมาหักยอดที่เหลือปลายงวด ก็จะได้ยอดวัสดุใช้ไปจะมีการบัญชีดังนี้ Dr. วัสดุสำนักงานใช้ไป XX ต้นงวด + ซื้อเพิ่มระหว่างงวด – คงเหลือปลายงวด = วัสดุที่ใช้ไป ตัวอย่าง มียอดคงเหลือวัสดุสำนักงานต้นไป 2557 จำนวน 1,000 บาท ในวันที่ 1 มีนาคม ซื้อวัสดุสำนักงานเพื่อเติมอีก 4,500 วันสินงวดมีการตรวจนับและตีราคาวัสดุสำนักงานได้ 1,200 จากตัวอย่าง มียอดคงเหลือยกมา 1,000 การลงบัญชี Dr. วัสดุสำนักงานใช้ไป
4,300 ในบัญชีแยกประเภทมีการแสดงยอดดังนี้ วัสดุสำนักงาน ยอดยกมา
1,000 วัสดุสำนักงานใช้ไป 4,300 เมื่อปิดบัญชี วัสดุสำนักงานใช้ไปจะนำไปหักในงบกำไรขาดทุนเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ วัสดุสำหนักงานจะไปแสดงในงบแสดงฐานะการเงิน ในหมวดสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นการแสดงยอดคงเหลือ 7.ค่าเสื่อมราคาสะสม (Accumulated Depreciation) วัสดุสำนักงานใช้ไป สินทรัพย์ถาวรก็มีค่าเสื่อมราคาเช่นกัน สินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร เครื่องจักรต่างๆ เมื่อเราใช้ไปแล้วก็จะเกิดการเสื่อมค่าไปตามเวลาและระยะเวลาในการใช้งานมีการชำรุดและสุดท้ายอาจจะหมดอายุการใช้งานไปในที่สุดก็ได้ สินทรัพย์ยกเว้นที่ดินจึงมีค่าเสื่อมราคาและทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ลดลง เพื่อให้ได้มูลค่าที่ใกล้เคียงความเป็นจริง จึงต้องปรับปรุงสินทรัพย์เหล่านี้ให้เป็นมูลค่าลดลง โดยการตัดเป็นค่าเสื่อมราคาซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำแต่ละงวดเพราะต้องตัดตามจริงในระยะเวลาต่องวดด้วย ค่าเสื่อมราคาสะสมที่ตัดไปจะไปหัดยอดของสินทรัพย์ถาวรนั้นและจะจำไปหักก่อนที่จะจำหน่ายสินทรัพย์นั้นออกไปด้วย
ตัวอย่าง คอมพิวเตอร์ในสำนักงานที่ซื้อมามีอายุการใช้งาน 5 ปี โดยได้ซื้อมาในราคา 50,000 บาท ถ้าคิดค่าเสื่อมราคาก็จะได้ปีละ 10,000 บาท(50,000/5) นั้นเองในกรณีที่จะไม่ระบุราคาซาก นั้นก็หมายถึงจะคิดค่าเสื่อมราคา 4,500 บาทต่อปี ซึ่งเราเรียกวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาแบบนี้ว่าคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง นอกจากนั้นหากอุปกรณ์สำหนักงานหรือเครื่องใช้ต่างๆ มีค่าขนส่งหรือค่าติดตั้งจะรวมเป็นราคาของสินทรัพย์นั้นทั้งหมด และค่าเสื่อมราคาสามารถใช้ % ในการคิดอัตราได้ การลงราการ Dr. ค่าเสื่อมราคา… XX ตัวอย่าง กิจการใช้คอมพิวเตอร์จำนวน 10 เครื่อง มีมูลค่า 120,000 บาท พร้อมค่าติดตั้งระบบเครือข่าย 10,000 บาท คอมพิวเตอร์มีอายุการใช้งาน 5 ปี และมีราคาซากทั้งหมด 30,000 บาท ดังนั้นแล้วต้องทำการรวม มูลค่าเครื่องและค่าติดตั้งรวมกัน 120,000 + 10,000 = 130,000 บาท ในปีที่ 1 – 4 จะมีการบันทึกโดยปกติทั่วไป Dr. ค่าเสื่อมราคา – คอมพิวเตอร์
20,000 ส่วนในปีที่ห้าหรือปีสุดท้ายที่กิจการจะมีการจำหน่ายสินทรัพย์ออกไปตามราคาซาก แต่ถ้าราคาที่จำหน่ายนั้นน้อยกว่าราคาที่เหลือจากมูลค่าซากที่ได้คำนวณในปีสุดท้ายจากที่ได้กำหนดไว้จะเป็นการขาดทุนจากการจำหน่ายซากถ้ามากกว่าก็จะเป็นกำไรจากการขายซาก ตัวอย่างสามารถขายราคาซากได้ 20,000 บาท 7.กระดาษทำการชนิด8ช่อง การจัดทำกระดาษทำการ 8 ช่องการจัดทำกระดาษทำการ 8 ช่อง ขั้นตอนมีดังนี้ 1. จัดทำตารางแบบฟอร์มกระดาษทำการ 8 ช่อง 2. เขียนส่วนหัวของกระดาษทำการเขียนชื่อกิจการ..บรรทัดแรก คำว่า กระดาษทำการ บรรทัดที่ 2 และคำว่า สำหรับระยะเวลา......ปี สิ้นสุดวันที่..... เดือน.... พ.ศ..... บรรทัดที่ 3 3. เขียนชื่อบัญชีและเลขที่บัญชี และจำนวนเงินจากตัวเลขที่ปรากฏในงบทดลองแล้วรวมยอดด้านเดบิตและเครดิตต้องเท่ากัน 4. นำรายการปรับปรุงจากสมุดรายวันทั่วไป ลงจำนวนเงินในช่องรายการปรับปรุงด้านเดบิตและเครดิต โดยหาชื่อบัญชีจากงบทดลอง ในกรณีไม่มีชื่อบัญชีที่ต้อง การให้เติมชื่อบัญชีต่อจากบรรทัดรวมเงินของงบทดลองซึ่งจำนวนเงินที่ปรากฏในช่องรายการปรับปรุงจะต้องมีหมายเลขกำกับเป็นคู่ เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบเมื่อนำมาครบทุกรายการให้รวมเงินในช่องปรับปรุง ยอดรวม 2 ด้านต้องเท่ากัน 5. นำจำนวนเงินในช่องงบทดลองไปบวกหรือหักกับช่องรายการปรับปรุง (กรณีอยู่ด้านเดียวกันให้บวกกันหากอยู่คนละด้านให้นำไปหักออก) แล้วผ่านไปแสดงในงบกำไรขาดทุน (2.5) และงบแสดงฐานะการเงิน (2.6) ตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ 6. รวมยอดในช่องเดบิต และเครดิต ของงบกำไรขาดทุน และงบแสดงฐานะการเงิน 7. หาผลต่าง ยอดรวมช่องเดบิต และเครดิตของงบกำไขาดทุน หาผลต่าง ยอดรวมช่องเดบิต และเครดิตของงบแสดงฐานะการเงิน ผลต่างทั้ง 2 รายการนี้ จะต้องเท่ากันเสมอ นำผลต่างไปเขียนใส่ด้านที่น้อยของงบกำไรขาดทุนและงบแสดงฐานะการเงินในงบกำไรขาดทุน หากด้านเดบิต (ค่าใช้จ่าย) น้อยกว่าด้านเครดิต (รายได้) ผลต่างนี้เรียกว่า กำไรสุทธิ (Net Profit) ตรงกันข้ามถ้าด้านเดบิต (ค่าใช้จ่าย) สูงกว่าด้านเครดิต (รายได้) ผลต่างนี้เรียกว่า ขาดทุนสุทธิ (Net Loss) 8. รวมตัวเลขช่องเดบิต และเครดิต ของงบกำไรขาดทุนต้องเท่ากันเสมอ และรวมตัวเลขด้านเดบิตและเครดิตของงบแสดงฐานะการเงินก็จะต้องเท่ากันเสมอ ให้สังเกตว่า ผลต่างที่เป็นกำไรสุทธิ ในงบกำไรขาดทุน จะมาปรากฏในงบแสดงฐานะการเงินด้สนเครดิต เช่นเดียวกับทุน นั่นคือ การที่กิจการดำเนินการค้าแล้วมีกำไรสุทธิ จะทำให้กิจการมีทุนเพิ่มขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไป และหากผลต่างที่เป็นขาดทุนสุทธิในงบกำไรขาดทุน จะปรากฏในงบแสดงฐานะการเงินด้านเดบิต นั่นคือ การที่ดำเนินกิจการค้าแล้วเกิดขาดทุนสุทธิจะทำให้ทุนกิจการลดลง ในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไป ตัวอย่างที่ 1 กระดาษทำการ 8 ช่อง
1. สินค้าปลายปีตรวจนับและตีราคาได้ 11,400 บาท 2. คิดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเป็น 5% ของลูกหนี้ปลายปี 3. กิจการกู้เงินเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 25X6 กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ปีนี้ยังไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยเลย 4. ค่าโฆษณาเป็นค่าใช้จ่ายของปีนี้ 1,200 บาท 5. ค่าเบี้ยประกันเป็นระยะเวลา 1 ปี จ่ายเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 25X6 6. คิดค่าเสื่อมราคาเครื่องใช้สำนักงานและรถยนต์ 20% ต่อปี 7. วัสดุสำนักงานคงเหลือปลายปี 4,100 บาท 8. ในวันสิ้นปีมีรายได้ค่าเช่าค้างรับจำนวน 2,400 บาท ให้ทำ 1. ปรับปรุงบัญชีในสมุดรายวันทั่วไป
8.งบกำไรขาดทุน งบกำไรขาดทุน หมายถึง งบที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการในรอบระยะเวลาบัญชีที่กำหนดแต่จะต้องไม่เกิน 1 ปี เพื่อวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจว่ามีรายได้และค่าใช้จ่ายในรอบระยะเวลานั้นเท่าใด และเมื่อนำรายได้หักด้วยค่าใช้จ่ายแล้ว จะเป็นกำไรสุทธิ(Net Income หรือ Net Profit) หรือขาดทุนสุทธิ (Net Loss) งบกำไรขาดทุน คือ งบการเงินที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการสำหรับรอบระยะเวลาหนึ่ง อาจเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน ประกอบด้วย รายได้ หมายถึง สินทรัพย์ที่กิจการได้รับมาจากการประกอบกิจกรรม รายได้-ค่าใช้จ่าย = กำไร (ขาดทุน)
สุทธิ 1.กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน คือ เงินสดรับจ่ายจริงที่ได้จากการดำเนินกิจการ โดยไม่สนใจรายได้ที่ยังไม่ได้รับเงินและค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน 2.กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน คือ กระแสเงินสดรับจ่ายจริงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในการลงทุนของธุรกิจในส่วนของที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ เงินลงทุน หากมีการลงทุนเพิ่ม เช่น ซื้อเครื่องจักร แสดงว่ามีการใช้ไปของเงินสด ในทางตรงข้าม หากมีการขายสินทรัพย์ออกไป จะถือว่าเป็นแหล่งได้มาของเงินสด 3.กระแสเงินสดจากกิจกรรมการจัดหาเงิน คือ กระแสเงินสดรับจ่ายจริงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในแหล่งที่มาของเงินทุน ทั้งที่เป็นการกู้ยืมระยะสั้น และระยะยาว การวิเคราะห์งบการเงินที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ รูปแบบการวิเคราะห์งบการเงินเพื่อใช้ตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ 1.การวิเคราะห์โดยใช้อัตราส่วนทางการเงิน เป็นการนำรายการต่าง ๆ ในงบดุลและงบกำไรขาดทุนมาหาอัตราส่วนระหว่างกัน แล้วทำให้เกิดความหมายผลลัพธ์ที่ได้เรียกว่า อัตราส่วนทางการเงิน 2.การวิเคราะห์โครงสร้างงบการเงิน เป็นการวิเคราะห์ที่นำรายการในงบดุลและกำไรขาดทุนมานำเสนอในรูปร้อยละ หรือที่เรียกว่าอัตราส่วนตามแนวดิ่ง 3.การวิเคราะห์การเติบโตหรือแนวโน้ม เป็นกาวิเคราะห์โดยการนำข้อมูลในงบดุลและงบกำไรขาดทุน ตั้งแต่สองปีขึ้นไปมาเปรียบเทียบกัน 4.การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด เราสามารถดูการเคลื่อนไหวของรายการเงินสด แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ แหล่งที่มาและใช้ไปของเงินสดในกิจกรรมต่างๆ สำหรับช่วงเวลาหนึ่ง งบกำไรขาดทุน (Profit and loss Statement or Income Statement) งบกำไรขาดทุน เป็นงบการเงินที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลของกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น หนึ่งปี สามเดือน หรือ หนึ่งเดือน โดยกำไรสุทธิเท่ากับรายได้หักด้วยค่าใช้จ่าย โดยรายได้แสดงถึงมูลค่าของสินค้า หรือบริการที่บริษัทให้ในขณะที่ค่าใช้จ่ายแสดงถึงความพยายามที่ใช้เพื่อทำให้เกิดรายได้ 1 หลักการบัญชีเกี่ยวกับ รายได้ และค่าใช้จ่าย รายได้ สำหรับคนทั่วไป รายได้หมายถึงจำนวนที่บริษัทได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ แต่ความหมายในทางบัญชีจะกว้างกว่านั้นกล่าวคือ รายได้ หมายถึงการเพิ่มขึ้นของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ ในรอบระยะเวลาบัญชีในรูปของการได้รับหรือการเพิ่มค่าของสินทรัพย์ หรือการลดลงของหนี้สินอันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจากผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ ดังนั้น ในความหมายของการบัญชีรายได้ อาจเกิดมาจากการขายสินค้าหรือบริการการที่สินทรัพย์ที่บริษัทถือไว้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือจากการที่เจ้าหนี้ลดหนี้ให้ในการปรับโครงสร้างหนี้ ค่าใช้จ่าย หมายถึง การลดลงของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลาบัญชีจากการจ่ายหรือการลดค่าของสินทรัพย์ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สินอันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของลดลง ทั้งนี้ไม่รวมถึงการแบ่งปันส่วนทุนให้กับผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ ดังนั้น ในความหมายของการบัญชี ค่าใช้จ่าย จึงไม่ใช่มีเพียงต้นทุนของสินค้าหรือค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่านั้น แต่รวมถึงผลขาดทุนจากการที่สินทรัพย์หรือสินค้าที่บริษัทถือไว้มีมูลค่าลดลง หรือขาดทุนจากไฟไหม้ด้วย การรับรู้รายได้ หลักการบัญชีกำหนดให้บริษัทรับรู้รายได้ในงบกำไรขาดทุนเมื่อบริษัทได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ หรือการลดลงของหนี้สิน และเมื่อบริษัทสามารถวัดค่าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ รวมทั้งต้องมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่จะเกิดรายการนั้นขึ้น เช่น การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สุทธิจากการขายสินค้าหรือบริการ และการลดลงของหนี้สินเนื่องจากเจ้าหนี้ยกหนี้ให้ โดยทั่วไปในการขายสินค้าหรือบริการ เงื่อนไขในการรับรู้รายได้จะครบถ้วนเมื่อบริษัทได้มีการส่งมอบสินค้าหรือบริการให้แก่ลูกค้าแล้ว บริษัทส่วนใหญ่จึงรับรู้รายได้เมื่อมีการส่งมอบสินค้าหรือบริการแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการส่งมอบสินค้าหรือบริการแล้วแต่ถ้ายังไม่แน่นอนว่าจะเก็บเงินได้ บริษัทจะต้องไม่รับรู้รายได้เมื่อมีการส่งมอบ แต่จะรับรู้รายได้เมื่อได้รับชำระเงิน ในการรับประกันสินค้า เมื่อบริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของรายจ่ายที่เกิดขึ้นในหลายรอบระยะเวลาบัญชี บริษัทจะรับรู้รายจ่ายนั้นเป็นสินทรัพย์ และกระจายมูลค่าของสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนตามสัดส่วนของประโยชน์ที่ได้รับในงวดนั้นๆ ตัวอย่างของค่าใช้จ่ายประเภทนี้ ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาของอาคารและอุปกรณ์ สำนักงาน ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตัดบัญชีสำหรับรายจ่ายที่มีประโยชน์เฉพาะงวดบัญชีนั้น ก็จะถือเป็นค่าใช้จ่าย ของงวดนั้นทันที ตัวอย่างของค่าใช้จ่ายประเภทนี้ ได้แก่ เงินเดือนของพนักงานฝ่ายขายและบริหาร ค่าสาธารณูปโภคของสำนักงาน นอกจากนี้ ถ้ามีรายจ่ายเกิดขึ้นแต่มีความไม่แน่นอนถึงประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคต บริษัทต้องรับรู้รายจ่ายเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดที่เกิดรายจ่ายนั้นทันที ตัวอย่างของค่าใช้จ่ายประเภทนี้ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายโฆษณา ค่าใช้จ่ายในการวิจัย__ 2. รูปแบบและการจำแนกรายการในงบกำไรขาดทุน เพื่อประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ใช้งบการเงิน การบัญชี กำหนดให้งบกำไรขาดทุนต้องแสดงหัวข้อที่เกี่ยวข้องต่อไปนี้ กำไรจากการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง กำไร/ขาดทุนจากการยกเลิกส่วนงาน รายการพิเศษ กำไรขาดทุนจากการดำเนินงานต่อเนื่อง เป็นการแสดงรายได้และค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมที่บริษัทคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไป แต่ถ้าบริษัทมีความตั้งใจที่จะเลิกดำเนินงานในส่วนงานใดส่วนงานหนึ่งจะต้องแยกแสดง กำไร หรือ ขาดทุนจากการยกเลิกส่วนงานออกจากการดำเนินงานที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป รายได้หรือขาย แสดงถึงรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทโดยทั่วไปแล้วคือการขายสินค้าและบริการทั้งหมดที่ขายให้กับลูกค้า รายได้ประเภทนี้จะแสดงด้วยมูลค่าหรือราคาขายก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ รายได้อื่น เป็นรายได้ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัท รายได้ประเภทนี้มักจะแสดงด้วยจำนวนที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับสุทธิจากต้นทุนที่เกี่ยวข้อง เช่น กำไรจากการขายเงินลงทุน กำไรจากการขายสินทรัพย์ ค่าใช้จ่าย คือ รายการที่หักออกจากรายได้ ซึ่งเป็นไปตามหลักการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่ได้กล่าวไปแล้ว ตัวอย่างเช่น ต้นทุนสินค้าที่ขาย ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร เป็นต้น ต้นทุนขาย แสดงต้นทุนของสินค้าที่ซื้อมา หรือต้นทุนการผลิตสินค้าสำเร็จรูป หรือต้นทุนค่าบริการ ซึ่งต้นทุนเหล่านี้จะเกี่ยวพันโดยตรงกับรายได้ ค่าเสื่อมราคา เป็นค่าใช้จ่ายซึ่งบางครั้งก็รวมไว้ในต้นทุนขาย แต่ บางครั้งก็แยกแสดงต่างหาก สำหรับผู้ผลิตสินค้าค่าเสื่อมราคาจะรวมอยู่ในต้นทุนขาย เพราะว่าสินทรัพย์ถาวรโดยเฉพาะโรงงาน และเครื่องจักร ส่วนมากจะใช้สำหรับการ ผลิตสินค้า ดังนั้นค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นจากโรงงาน และเครื่องจักรจึงถือเป็นต้นทุน ขายโดยตรงแต่สำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ให้บริการจะรวมค่าเสื่อมราคาไว้ในค่าใช้จ่าย ในการขายและบริหารมากกว่าในต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร จะครอบคลุมรายการที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตสินค้า เช่น เงินเดือนพนักงานขาย ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าวัสดุสำนักงาน เป็นต้น กำไรขั้นต้น คือ ผลต่างระหว่างรายได้จากการขายกับต้นทุนขายของสินค้าหรือบริการ เป็นการวัดความสำเร็จของบริษัทในการรักษาส่วนต่าง ระหว่างรายได้กับต้นทุนการผลิต และ/หรือ ต้นทุนการซื้อสินค้าหรือบริการ กำไรก่อนภาษี สะท้อนถึงกำไรของบริษัทหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน บวกรายได้อื่น และหักรายจ่ายที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทแล้ว สำหรับบริษัท ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล กำไรก่อนรายการพิเศษ (หากมีบัญชีรายการพิเศษ) แสดงผลกระทบของภาษีที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรปกติ กำไรสุทธิ คือ รายได้ส่วนที่มากกว่าค่าใช้จ่าย ถ้าค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ส่วนที่มากกว่าดังกล่าวจะเรียกว่า ขาดทุนสุทธิ 9.งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงฐานะทางการเงิน หรือ งบดุล คืออะไร สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ สินทรัพย์ หมายถึง ทรัพยากรที่กิจการครอบครองอยู่และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต ซึ่งสินทรัพย์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ หนี้สิน หมายถึง ภาระผูกพันของกิจการในปัจจุบัน
เป็นภาระที่จะส่งผลให้กิจการเสียผลประโยชน์ทางทรัพยากรที่มีประโยชน์ในอนาคต แต่หนี้สินบางประเภทก็มีผลดีกับกิจการเช่น หนี้สินการค้า เพราะเป็นหนี้สินระยะสั้นไม่มีดอกเบี้ย ส่งผลทำให้กิจการมีประแสเงินสดหมุนเวียนในกิจการมากขึ้น โดยหนี้สินแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ ส่วนของเจ้าของ หมายถึง ส่วนของเจ้าของกิจการที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสินทรัพย์ของกิจการหลังจากหักหนี้สินแล้ว ตัวอย่างงบแสดงฐานะทางการเงิน สินทรัพย์ของบริษัทดอยไทยดอทคอม ส่วนของเจ้าของ แทนสูตรดูความสัมพันธ์ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ แทนสูตร 1,750,000 = 550,000 + 1,200,000 จากการแทนสูตรจะสังเกตได้ว่า หนี้สินรวมกับส่วนของเจ้าของ จะเท่ากับสินทรัพย์เสมอ 10.งบทดลองหลังปิดบัญชี การปิดบัญชีและงบทดลองหลังปิดบัญชีการปิดบัญชี (Closing Entries) หมายถึง การโอนบัญชีที่เกี่ยวข้องกับบัญชีทุน ซึ่งเป็นบัญชีชั่วคราว ได้แก่ บัญชีถอนใช้ส่วนตัว ( หมวด 3 ) บัญชีรายได้ (หมวด 4) และบัญชีค่าใช้จ่าย (หมวด 5) ไปยังบัญชีทุน เพื่อหายอดคงเหลือของบัญชีทุนที่ถูกต้อง ณ วันสิ้นงวดบัญชี รวมทั้ง การหายอดคงเหลือของบัญชีสินทรัพย์ (หมวด 1 ) และบัญชีหนี้สิน (หมวด 2 ) ดังนั้น หลังจากปิดบัญชีแล้ว บัญชีที่เหลืออยู่ได้แก่ บัญชีสินทรัพย์ ( หมวด 1 ) บัญชีหนี้สิน ( หมวด 2 ) และบัญชีทุน ( หมวด 3 ) เพื่อยกไปยังงวดบัญชีถัดไป การบันทึกรายการปิดบัญชีในสมุดรายวันทั่วไป ทำในวันสิ้นงวดบัญชี มี 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. โอนบัญชีรายได้ไปบัญชีสรุปผลกำไรขาดทุน 2. โอนบัญชีค่าใช่จ่ายไปบัญชีสรุปผบกำไรขาดทุน 3. โอนกำไรสุทธิ/ขาดทุนสุทธิ ( ผลต่างจากบัญชีสรุปผลกำไรขาดทุน ) ไปบัญชีทุน 4. โอนบัญชีถอนใช้ส่วนตัวไปบัญชีทุน การบันทึกรายการปิดบัญชีในสมุดรายวันทั่วไป ขั้นตอนที่ 1 Dr. รายได้ xx Cr. สรุปผลกำไรขาดทุน xx โอนบัญชีรายได้ ไปบัญชีสรุปผลกำไรขาดทุน ขั้นตอนที่ 2 Dr. สรุปผลกำไรขาดทุน xx Cr. ค่าใช้จ่ายรายการที่ 1 xx ค่าใช้จ่ายรายการที่ 2 xx โอนบัญชีค่าใช้จ่ายไปบัญชีสรุปผลกำไรขาดทุน ขั้นตอนที่ 3 Dr. สรุปผลกำไรขาดทุน (ขั้นตอนที่1 - ขั้นตอนที่2 ) xx Cr. ทุนเจ้าของกิจการ xx โอนกำไรสุทธิไปบัญชีทุน หรือ Dr. ทุน -เจ้าของกิจการ (ขั้นตอนที่2 - ขั้นตอนที่1) xx Cr. สรุปผลกำไรขาดทุน xx โอนกำไรสุทธิไปบัญชีทุน ขั้นตอนที่ 4 Dr. ทุน- เจ้าของกิจการ xx Cr. ถอนใช้ส่วนตัว/เงินถอน - เจ้าของกิจการ xx โอนบัญชีถอนใช้ส่วนตัว/เงินถอน - เจ้าของกิจการ งบทดลองหลังปิดบัญชี (Post - closing trial balance) คือ งบทดลองที่ทำขึ้นหลังจากที่กิจการปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ประกอบ ด้วยบัญชีหมวดสินทรัพย์ หมวดหนี้สินและหมวดส่วนของเจ้าของ เท่านั้น ซึ่งยอดคงเหลือที่ยกไปในงวดบัญชี ถัดไป งบทดลองหลังปิดบัญชีจะต่างจากงบทดลองก่อนปิดบัญชีตรงที่งบทดลองก่อนปิดบัญชีจะแสดง รายการครบทั้ง 5 หมวด วงจรบัญชี (Accounting cycle) หมายถึง ขั้นตอนในการจัดทำบัญชีเรียงตามลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ การกำหนดวงจรบัญชี นักบัญชีแต่ละคน อาจจะกำหนดขั้นตอนไม่เท่ากันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิดของแต่ละคน ในที่นี้วงจรบัญชีจะแบ่งเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้ 11.สรุปวงจรบัญชี |