เกษียณอายุ ราชการ กรมชลประทาน 2565

วันที่23 กันยายน 2565 นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานในพิธีประกาศเกียรติคุณผู้เกษียณอายุราชการ กรมชลประทาน ประจำปี 2565 ภายใต้ชื่องาน สานสัมพันธ์วันเกษียณอายุราชการ ปี 2565 River of Pride สายน้ำแห่งความภาคภูมิใจ พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและกล่าวอำนวยพรแก่ผู้เกษียณอายุราชการ โดยมี นายสุริยพล นุชอนงค์ รองอธิบดีฝ่ายบริหาร เป็นผู้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารและผู้แทนสำนักกอง เข้าร่วมพิธี ณ อาคารสวัสดิการสโมสร กรมชลประทาน ถนนสามเสน กรุงเทพมหานคร

เทศบาลตำบลอิสาณ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองบุรีรัมย์ทางทิศตะวันตก ประมาณ 3 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด ประมาณ 36.899 ตารางกิโลเมตร

อาณาเขตติดต่อ

                                             ทิศเหนือ ติด ตำบลชุมเห็ด
                                             ทิศใต้ ติด ตำบลสวายจีก
                                             ทิศตะวันออก ติด เขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
                                             ทิศตะวันตก ติด ตำบลกระสัง,ตำบลหนองตาด

จำนวนบ้านในพื้นที่ตำบลอิสาณจำนวน 12,606 หลังคาเรือน (สำรวจ ณ. เดือนมกราคม 2564)

ตำบล/หมู่บ้าน

จำนวน/หลังคา

หมู่ 1

1,185

หมู่ 2

540

หมู่ 3

1,083

หมู่ 4

336

หมู่ 5

714

หมู่ 6

126

ตำบล/หมู่บ้าน

จำนวน/หลังคา

หมู่ 7

633

หมู่ 8

1,224

หมู่ 9

1,284

หมู่ 10

1,289

หมู่ 11

264

หมู่ 12

235

ตำบล/หมู่บ้าน

จำนวน/หลังคา

หมู่ 13

388

หมู่ 14

630

หมู่ 15

529

หมู่ 16

249

หมู่ 17

1,115

หมู่ 18

781

จำนวนประชากรในพื้นที่ตำบลอิสาณ (สำรวจ ณ. เดือน ธันวาคม 2560)

ตำบล/หมู่บ้าน

ชาย

หญิง

รวม

อิสาณ

9,344

10,193

19,537

หมู่ 1   บ้านโคกวัด

8578781,735

หมู่ 2   บ้านโคกใหญ่

5726881,260

หมู่ 3   บ้านโคกหัวช้าง

7789081,686

หมู่ 4   บ้านไทยเจริญ

269279548

หมู่ 5   บ้านหนองโพรง

7197591,478

หมู่ 6   บ้านโคกสะอาด

227250477

หมู่ 7   บ้านห้วย

5185581,076

หมู่ 8   บ้านหนองแปบ

7628621,642

หมู่ 9   บ้านยางน้อย

7408511,591

หมู่ 10 บ้านหัวลิง

9129681,880

หมู่ 11  บ้านโพธิ์ศรีสุข

5235391,062

หมู่ 12  บ้านไผ่น้อย

278328606

หมู่ 13  บ้านโคกขุนสมาน

387389776

หมู่ 14  บ้านสวนครัว

442523965

หมู่ 15  บ้านศิลาชัย

401406807

หมู่ 16  บ้านโคกมะกอก

237263500

หมู่ 17  บ้านหินลาด

7979091,706

หมู่ 18  บ้านทรัพย์สมบูรณ์

6257231,348

 ลักษณะภูมิประเทศของเทศบาลตำบลอิสาณ

ลักษณะ ภูมิประเทศโดยทั่วไป ตำบลอิสาณมีลักษณะพื้นที่ราบสูงโดยอยู่สูงกว่าระดับน้ำ ทะเลประมาณ?150 - 180 เมตรพื้นที่โดยทั่วไปใช้ประโยชน์ทางเกษตรกรรม

Dec 13, 2022 ผู้ประกันตนเฮ! กระทรวงแรงงานจับมือธอส. ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี 1.99 % ต่อปี สานฝันคนอยากมีบ้าน
.
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ระหว่างสำนักงานประกันสังคม กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยมีผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามฯ ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
.
นายสุรชัย กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้ผู้ใช้แรงงาน ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ปัจจุบันการที่จะซื้อบ้านแต่ละหลังมีราคาแพง ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มีแนวคิดที่จะช่วยเหลือลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกันตนที่ยังไม่มีบ้าน ได้มีบ้านเป็นของตนเอง ไว้ได้อยู่อาศัยในยามเกษียณ จึงให้สำนักงานประกันสังคมเร่งดำเนินโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน โดยให้ร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดโครงการดังกล่าวขึ้นมา ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 30,000 ล้านบาท
.
ด้าน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า โครงการสินเชื่อ ที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตนนี้สำนักงานประกันสังคมได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถใช้สิทธิ ในการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิในการไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัย หรือ รีไฟแนนท์ จากสถาบันการเงินอื่น รวมถึงเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในบัญชีเงินกู้ที่กู้อยู่กับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์
.
ขณะที่ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ในวันนี้ ธอส.พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนตามโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน โดย ธอส. พร้อมช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายด้านการชำระเงิน งวดที่อยู่อาศัยผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ อัตราคงที่ ปีที่ 1-5 ปี เท่ากับ 1.99% ต่อปี ปีที่ 6–8 เท่ากับ MRR-2.00% (4.15%) ต่อปี และปีที่ 9 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-0.50% (5.65%) ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. อยู่ที่ 6.150% ต่อปี) ผ่อนชำระนานสูงสุด 40 ปี ให้กู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยผู้ประกันตนสามารถขอรหัสเข้าร่วมโครงการผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB ALL GEN ได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2565 เวลา 8.00 น. ถึงวันที่ 15 มกราคม 2566 เวลา 24.00 น. ซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับรหัสเข้าร่วมโครงการผ่าน GHB Buddy ใน Line Application จากนั้นนำรหัสที่ได้รับมาประกอบการยื่นขอสินเชื่อได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถดาวน์โหลด GHB ALL GEN ได้ที่ App Store, Google Play ใน Line Application จากนั้นนำรหัสที่ได้รับมาประกอบการยื่นขอสินเชื่อได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ และ App Galleryสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL,Mobile Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th และสามารถติดต่อขอหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน แบบอิเล็กทรอนิกส์กับสำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อประกอบการยื่นกู้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565 ถึง 19 ธันวาคม 2566 และสามารถทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 มกราคม 2567” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่ง สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/ สาขา/ ที่ท่านสะดวก หรือโทรสายด่วน 1506

#ประกันสังคม #ผู้ประกันตนมาตรา33 #มาตรา33 #บ้าน #สินเชื่อบ้าน #ดอกเบี้ยบ้าน #BTimes

 

ครม.ไฟเขียวตั้ง ‘สถาบันบิ๊กดาต้า’ ตั้งเป้าพลิกโฉมประเทศ ขับเคลื่อนบน‘ฐานข้อมูล’
.
ครม. เห็นชอบในหลักการตั้งสถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ... ยกฐานะเดิมของสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) วันที่ 13 ธันวาคม 2565 มีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ เพื่อเป็นหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นหน่วยงานกลางเพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน วิเคราะห์ และบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศโดยตรง ทำหน้าที่ให้บริการ ส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นเกี่ยวกับการพัฒนาคลังข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศไทย
.
น.ส.ทิพานันกล่าวว่า เดิมสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี ตั้งแต่เดือน ก.ค. 62 - มิ.ย. 65 ปัจจุบันได้สิ้นสุดไปแล้ว และการดำเนินการของ สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐดังกล่าว มีผลการดำเนินการที่สำคัญพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีข้อมูลของประเทศกว่า 2,300 คนและให้บริการด้านข้อมูลขนาดใหญ่จำนวนทั้งสิ้น 104 โครงการ
.
เมื่อสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ หมดระยะเวลาดำเนินการ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงเสนอ ร่าง พ.ร.ฎ.นี้ โดยมีหลักการยกฐานะสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เป็นสถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อขยายภารกิจจากเดิม โดยให้เน้นการพัฒนาให้เกิดสังคมการใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจของประเทศไทย (Data-Driven Nation) โดยเป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่ประสานส่งเสริมให้คำปรึกษาและบริการการวิเคราะห์ข้อมูลแก่ทั้งภาครัฐและเอกชน
.
สถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่จะจัดตั้งตามกฎหมายนี้จะเป็นองค์การมหาชน ในกลุ่มที่ 2บริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้านหรือสหวิทยาการ เป็นหน่วยงานกลางเพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน วิเคราะห์ และบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศโดยตรงมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ด้าน คือ
.
1. จัดทำยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาศักยภาพและยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
.
2. ส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างให้เกิดแพลตฟอร์มข้อมูลที่บูรณาการข้อมูลรายสาขา สำหรับการใช้ประโยชน์เชิงวิเคราะห์ เช่น การกำหนดนโยบายในเรื่องต่างๆ การวางแผนธุรกิจ
.
3. ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ รวมทั้งให้บริการคำปรึกษาด้านข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องแก่ทั้งภาครัฐและเอกชน และ4.ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมด้านข้อมูลขนาดใหญ่ให้มาตรฐาน
.
“สถาบันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่จะใช้ข้อมูลร่วมกันในการวางแผนนโยบายพัฒนาประเทศ นำไปใช้เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายของประเทศและการตัดสินใจของรัฐบาลในเรื่องต่างๆ โดยในแผนงานระยะ 5 ปีจะมุ่งเน้นการตอบโจทย์ด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว แรงงาน”
.
.
#ฐานข้อมูล #สถาบันบิ๊กดาต้า #ขับเคลื่อนบนฐานข้อมูล
#กรุงเทพธุรกิจUpdate #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
-------------------------------
ติดตาม "กรุงเทพธุรกิจ" ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ที่
Line: https://line.me/R/ti/p/@rvb8351i
Twitter: https://twitter.com/ktnewsonline
Website: http://www.bangkokbiznews.com
Youtube: https://www.youtube.com/user/KrungthepTurakij
Blockdit: https://www.blockdit.com/bangkokbiznews
Instagram: https://www.instagram.com/bangkokbiznews
Tiktok: https://www.tiktok.com/@bangkokbiznews
Soundcloud: https://soundcloud.com/bangkokbiznews
Spotify: https://qrgo.page.link/CHpWR

 

Genesis:ค่ายกลของ FTX
โดย นายแพทย์ ยงค์ศักดิ์ เลียงอุดม
Published:13/12/12

Hongkong ศูนย์กลางการเงินของโลกที่เป็นต้นกำเหนิดของบริษัท FTX

ในปี 2017 Sam Bankman Fried จาก MIT หนุ่ม trader จาก Jane street ได้สร้างกำไรจากการซื้อ bitcoin ในฮ่องกงและนำไปขายทำกำไรที่เกาหลีและญี่ปุ่นเรียกว่า Kimji premium เช่นเดียวกันกับ Genesis block ของ Gary Wang และนำมาสู่การเกิดบริษัท FTX exchange และ Alameda research

บริษัท Genesis ทำธุรกิจการเงินมาก่อน จึงเป็นจุดรอยต่อที่ซับซ้อนของ cryptocurrency และโลกการเงินที่เเท้จริง จึงมาสู่การซ้อนทับของธุรกิจของ FTX และAlameda และGenesis blocks ซึ่งมาสู่เงื่อนตาย dead spiral ของทั้ง 3 บริษัท

ในช่วงเวลา2018 ถึง 2022 เศรษฐีและคนมีเงินของฮ่องกงจำนวนมากที่ตื่นตากับธุรกิจ cryptocurrency และต้องการผลกำไรจากโลก crypto ทำให้นำเงินสดจำนวนมากมาสู่ FTX ผ่าน Genesis block และเมื่อ FTX ล้มคนฮ่องกงจำนวนมากที่ขาดทุน บางคนสูญเสียธุรกิจของครอบครัวที่สร้างมานาน

ทำไม FTX จึงสามารถดูดเงินจำนวนมากจากคนรวยฮ่องกง

Genesis Block ได้ช่องทางเปิดบัญชีธนาคารที่เรียกว่า rampมีจำนวน 50 ถึง100บัญชีซึ่งสามารถเปลี่ยนมือจากเงินสดเป็น cryptocurrency หรือจาก cryptocurrency เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยความหละหลวมในการควบคุมธุรกิจใหม่ของ regulator

บรรดาเหล่าคนมีเงินต่างเชื่อถือความมีชื่อเสียงของ SBF ต่างเข้าคิวมาทำธุรกิจกับ FTX ผ่าน Genesis block และ Alameda จนบางครั้ง Bitcoin ของ FTX มีไม่เพียงพอ

ในช่วงเวลาเพียง 7 เดือนมีคนเชื่อถือใน SBF จนมีคนนำเงินมาลงทุนใน FTX ทั่วโลกถึง 20,000ล้านดอลลาร์ทั่วโลกในช่วงเวลาปี 2020 SBF สามารถล้วงเงินจาก venture capital ชั้นนำ รวมทั้ง Saudi future fund และEmirates wealth fund และTemasek และ Sequia

ในปี 2021 Sam Bankman Fried ได้มาฉลองวันเกิด 29 ปีกับ Gary Wang ประธาน Genesis และ Caroline Ellison ประธาน Alameda ที่จัดอย่างหรูหราบนโต๊ะที่มึรูปทรงเป็น dollar ที่คลับหรูหราThe Crowns

Genesis block ยังมีธุรกิจ bitcoin mining ในจีนจึงมี connection ที่สามารถดึงเงินสดจากเศรษฐีจีนมาให้ FTX

เจ้าหน้าที่ในบริษัท FTXในฮ่องกงบางคนเคยทำงานใน Genesis block มาก่อนหรือบางคนยังทำงานให้ทั้งสองบริษัทพร้อมกัน

SBF ได้ให้สัมภาษณ์เเก้ตัวในความไม่เกี่ยวข้องกันของกิจการของ FTX และAlameda และ Genesis เเต่เมื่อ token FTT ของ FTX ไม่มีมูลค่าก็ทำให้กิจการของทั้ง 3 บริษัทล่มสลาย ตามเอกสารของศาลทรัพย์สินที่มีอยู่ของ FTX บางอย่างไม่สามารถบอกได้เเน่ชัดว่าเป็นของใครกันเเน่

เส้นเเบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวและธุรกิจไม่ชัดเจน SBF และ Caroline Ellison และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FTX และ Alameda อาศัยอยู่รวมกันในที่พักหรูที่ Bahama ในลักษณะที่ไม่น่าจะใช้เป็นพนักงานของบริษัทธุรกิจที่ควรจะปฎิบัติต่อกัน

SBF เเต่งตั้งให้ Caroline Ellison คู่ขาจาก Jane Street เป็น CEO ของ Alameda

Sam Bankman Fried บอกว่าเขาสร้างระบบที่ความปลอดภัยต่อ FTX ในการที่จะไม่มีการทำธุรกิจที่จะเสี่ยงโดยไม่มีทรัพย์สินคำ้ประกันที่เพียงพอ และบอกว่า Alameda และGenesis ไม่มีอภิสิทธิ์เหนือบริษัทอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงบริษัท Alameda มีข้อยกเว้นลับที่เป็นพิเศษที่สามารถกู้จาก FTX โดยไม่ต้องมีหลักประกันที่เพียงพอ และ Alameda ก็ใช้ FTT เป็นหลักทรัพย์คำ้ประกัน

เพิ่งมีการออกกฎออกจากสวิส Basel Bank Committee ที่บังคับให้มีสินทรัพย์ที่เป็นเงินให้เพียงพอในการทำธุรกิจCryptocurrency

Sam Bankman Fried มีคะแนนเต็มสิบในการสร้างภาพลักษณ์สำหรับบุคคลภายนอก ภายใต้การดำเนินการของบริษัทธุรกิจหมื่นล้านดอลลาร์ที่ไม่มีเเม้เเต่แผนกHRD ไม่มีหน่วยบริหารความเสี่ยง ไม่มีบันทึกประวัติพนักงาน ไม่มีบันทึกสำคัญในการทำธุรกิจกับลูกค้า

. FTX ไม่มีตัวเลขของการขาดทุนมาก่อนซึ่งปกติจะต้องมีสำหรับธุรกิจที่เริ่มจากstart up ในปี 2020 FTX มีกำไร 89.9 ล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นที่สงสัยของJohn Ray ว่าอาจมีการตกเเต่งรายงานทางการเงิน

เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของบริษัท FTX และ Alameda ล้วนเป็นเด็ก nerd ที่ไร้ประสบการณ์ บริหารงานไม่เป็นรูปแบบของธุรกิจ มีการสมยอม compromises ในการทำธุรกิจ

การทำbusiness ของ FTX และAlameda และ Genesis block จึงไม่ใช้สิ่งที่ทำกันในโลกธุรกิจ หรือบริษัททางการเงินเคยทำกันมา เป็นมือสมัครเล่นที่บังเอิญมีธุรกิจหมื่นล้านดอลลาร์

โดย นายแพทย์ ยงค์ศักดิ์ เลียงอุดม
เป็นความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับองค์กร

 

#วิหารแห่งเดนเดรากับหลอดไฟฟ้าของฟาโรห์
ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีวิทยาการ ผิดยุคผิดสมัย ก็มีอยู่หลากหลายชนิด รวมทั้งภาพสลักอีกภาพหนึ่ง ที่สร้างความฉงนฉงายให้กับหลายๆท่านที่มีโอกาสพบเห็นได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือภาพ สลักรูป "หลอดไฟฟ้า" ในวิหารแห่งหนึ่งของชาวไอยคุปต์ ซึ่งถือว่าเก่าแก่กว่าหลอดไฟฟ้าของโทมัส อัลวา เอดิสัน ถึงกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว

วิหารที่มีจารึกแปลกประหลาดรูปหลอดไฟแห่งนี้ก็คือหนึ่งในวิหารที่ยังหลงเหลือความสมบูรณ์ที่สุดวิหารหนึ่งของอียิปต์โบราณ นั่นก็คือวิหารแห่งเดนเดรา (Dendera) มหาวิหารที่บูชาเทพีแห่งความรักอย่างเทพีฮาเธอร์ (Hathor) นั่นเอง

วิหารแห่งเดนเดรา ตั้งห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ (Luxor) ประมาณ 70 กิโลเมตร ตัววิหารเดนเดราโดดเด่นด้วยเสาทรงเทพีฮาเธอร์ ประดับด้านหน้าถึง 6 เสา ด้านในมีห้องโถง ห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องบูชาด้านในอีกหลากหลายห้อง ที่สำคัญที่สุดก็คือห้องบูชาหลัก (Sanctuary) ของเทพีฮาเธอร์ ที่ประดิษฐานรูปปั้นรวมทั้งเรือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในขบวนแห่อีกด้วย และบริเวณด้านหลังของวิหารเดนเดราแห่งนี้นี่เองครับ ที่มีช่องทางเดินลงไปยังคูหาใต้ดิน (Crypt) ซึ่งมีภาพหลอดไฟสุดล้ำของชาวอียิปต์โบราณสลักเอาไว้!!

จากหนังสือ "ดวงไฟแห่งฟาโรห์" (Lights of the Pharaohs) ของสองนักเขียนชาวออสเตรียได้กล่าวไว้ว่า ในภาพสลักรูปหลอดไฟนั้นประกอบไปด้วย ตัวนักบวชผู้ถือหลอดไฟที่มีส่วนประกอบของตัวหลอด พร้อมทั้งตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าที่แสดงด้วยรูปงู ปลั๊กรูปดอกบัว ตามด้วยสายไฟ และไอโซเลเตอร์ (Isolator) ที่แสดงด้วยภาพเสาดเจด (Djed Pillar) ด้านข้างยังมีเทพเจ้าถือมีด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ "ผู้นำแสงสว่าง" จารึกประดับไว้ด้วย ในภาพสลักยังมีภาพของเทพเจ้าในท่านั่ง แสดงถึงกระแสไฟฟ้า และมีภาพของตัวจ่ายพลังงานหรือที่เราเรียกกันว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อีกด้วยครับ

นอกจากนั้น วิศวกรนาม ดับเบิลยู การ์น (W. Garn) ยังได้สนับสนุนแนวคิดนี้ แถมด้วยการวาดแผนโครงสร้างของหลอดไฟฟ้าจากภาพบนผนังของวิหารเดนเดราเสียด้วย สิครับ โดยเขาได้เสนอว่า หลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ถ้ามีแท่งโลหะ 2 ชิ้นที่สัมผัสกับแขนที่ชูขึ้นมาของเสาดเจด ก็จะสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ แต่ก็ขึ้นกับขนาดของหลอดไฟด้วย ถ้าความดันภายในหลอดมีขนาดประมาณ 40 มิลลิเมตรปรอท เจ้างูในหลอดไฟที่ทำหน้าที่เป็นลวดที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่าน ก็จะค่อยๆเลื้อยตัวออกไปเรื่อยๆ และสามารถสร้างแสงสว่างได้เพิ่มมากขึ้น เจ้างูลวดตัวนี้สามารถที่จะเลื้อยตัวออกไปได้ยาวมาก จนยาวเต็มหลอดไฟเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็คือหลักการในการให้แสงสว่างของหลอดไฟแห่งเดนเดรา จากมุมมองของวิศวกรอย่างการ์น

แต่แนวคิดที่การ์นนำเสนอมา มันก็ยังขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเอง เพราะถ้ามองที่ภาพหลอดไฟที่การ์นนำมาอ้างนั้น ภาพของเสาดเจดชูแขนสองข้าง ที่เชื่อกันว่าทำหน้าที่เป็นไอโซเลเตอร์ ดูเหมือนว่าจะเข้าไปอยู่ด้านในของหลอดไฟ แต่แท้จริงแล้ว ภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ มีถึง 6 หลอดครับ และอีก 5 หลอดที่เหลือ ก็จะเห็นได้ชัดว่าภาพของเสาดเจดนั้น ไม่ได้เข้าไปในตัวหลอดแต่อย่างใด เพียงแต่ค้ำอยู่ด้านนอกเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลอดไฟ อีก 5 หลอดของเดนเดราจะสามารถทำงานได้ตามหลักการของการ์น

เราอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ภายในพีระมิด หรือสิ่งมหัศจรรย์หลายแห่งที่ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างสรรค์ไว้
ไม่เคยพบเขม่าควันใดๆเลย แสดงว่าถึงแม้ว่าหลอดไฟแห่งเดนเดราจะไม่ได้หมายถึงหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ควรจะต้องมีอุปกรณ์ให้แสงสว่างระหว่างการก่อสร้าง

แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าตามสถาน ที่อย่างภายใน ห้องหับของพีระมิดจะไม่มีเขม่าอย่างที่หนังสือหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งบอกไว้ เขม่าควันนั้นมีเช่นกัน แต่เป็นผลมาจากคบไฟของเหล่าโจรปล้นสุสานในสมัยโบราณ รวมทั้งนักเดินทางที่ปรารถนาจะเข้าไปชมความอลังการภายในพีระมิดได้ทิ้งเอาไว้

ตะเกียงและไส้ตะเกียงคือหลักฐานที่นักอียิปต์ วิทยาค้นพบจากหุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings) ซึ่งบ่งบอกว่าชาวอียิปต์โบราณมีการใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในการขุดเจาะและตกแต่งผนังสุสาน แต่เคล็ดลับในการลดควันหรือเขม่าจากตะเกียงของพวกเขานั้นก็ทำได้โดยแค่ผสม "เกลือ" เล็กน้อยลงไปในน้ำมันตะเกียง เท่านี้ก็ไม่หลงเหลือเขม่าเกาะติดผนังมากนักแล้ว
ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่นักอียิปต์วิทยาค้นพบในห้องใต้ดินที่มีภาพหลอดไฟ ปริศนาก็คือ "เขม่าควัน" บริเวณภาพหลอดไฟพอดี ดังนั้นถ้าในช่วงการแกะสลักภาพหลอดไฟเดนเดรา ชาวอียิปต์ โบราณมีการใช้หลอดไฟรูปร่างเช่นนั้นในการให้ แสงสว่างจริงก็ไม่น่าจะมีเขม่าควันหลงเหลืออยู่ในห้อง เขม่าที่เห็นควรจะต้องเป็นควันจากการจุดตะเกียงในช่วงของการก่อสร้าง หรือไม่ก็เป็นเขม่าควันจากกลุ่มคนสมัยใหม่ที่เข้ามาด้านใน
ถ้า ไม่ใช่วิทยาการอันก้าวหน้าของชาวไอยคุปต์ แล้วหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่
จารึกในห้องใต้ดินแห่งนี้กล่าวถึงวัฏจักรการโคจรของดวงอาทิตย์ที่กำลังหมดเวลาในวันสุดท้ายของปีเก่าและเข้าสู่เช้าวันรุ่งขึ้นของปีใหม่ รวมทั้งการจัดงานพิธีกรรมเฉลิมฉลองแด่สุริยเทพ ซึ่งก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลอดไฟแต่อย่างใด
มีภาพของงูที่สองนักเขียนชาวออสเตรียกล่าวว่าเป็นลวดที่นำไฟฟ้า แต่ตำนานของชาวอียิปต์โบราณไม่มีตำนานใดกล่าวว่างูเกี่ยวข้องกับไฟเลย ภาพวงรีที่เหมือนตัวหลอดไฟนั้น ณ ที่นี้มีความหมายถึงท้องฟ้า ยามรุ่งอรุณ และงูที่อยู่ด้าน ในก็คือเทพฮาร์ซัมตัส (Harsomtus) ซึ่งเป็นร่างหนึ่งของเทพฮอรัส เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ ในยามรุ่งอรุณตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมัน โดยที่พวกเขาจะแสดงภาพของเทพฮาร์ซัมตัสด้วยร่างของงูเสมอในช่วงหลัง 300 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา
นั่นก็เพราะงูจะมีการลอกคราบ ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณมองว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็คล้ายกับพระอาทิตย์ที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ขึ้นมาทุกเช้าในแต่ละวันนั่นเอง
สำหรับ เสาดเจดที่เชื่อกันว่าเป็นไอโซเลเตอร์ นั้น นักอียิปต์วิทยายังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ว่า มีความหมายว่าอย่างไร เพราะว่าโดยตัวของมันเองแล้ว เสาดเจดสามารถสื่อได้หลายความหมาย ไม่ว่าจะหมายถึงเสาโดยตรง หรือหมายถึงความมั่นคง เสถียรภาพ และหมายถึงสิ่งที่อยู่ไปจนนิรันดร์ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น ด้วยความที่เสาดเจดได้ค้ำท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ และบางภาพก็ได้ค้ำงูฮาร์ซัมตัส ที่เป็นตัวแทนของพระ อาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ก็อาจจะต้องการสื่อความหมายว่า สุริยเทพจะต้องเป็นผู้ที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้
มองลงมาด้านล่าง ที่เชื่อกันว่าเป็นสายไฟซึ่งต่อจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารูปเทพฮีฮ์มายังก้านดอกบัวที่เป็นปลั๊กนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพตัวแทนของเรือศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพเจ้ามาก มายนั่งอยู่ คล้ายๆกับเรือที่ปรากฏในคัมภีร์ ต่างๆของชาวอียิปต์โบราณ และหลักฐานที่กล่าวว่าเส้นสายไฟนี้คือเรือแน่ๆ ก็คืออักขระที่จารึกประกอบภาพเอาไว้บนผนังครับ
ส่วนดอกบัว ก็คือดอกบัวตามที่เห็น ไม่ได้สื่อถึงปลั๊กไฟแต่อย่างใด สำหรับอีกด้านหนึ่งของเรือที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเทพฮีฮ์ ก็สื่อความหมายว่าเทพฮีฮ์ทรงค้ำจุนท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ด้วยความที่เทพฮีฮ์เกี่ยวข้องกับความเป็นนิรันดร์และเกี่ยวข้องกับจำนวนหนึ่งล้าน ทำให้เทพฮีฮ์สื่อความหมายคล้ายคลึงกับเสาดเจด นั่นคือหมายถึงความเป็นนิรันดร์ของสุริยเทพ
บรรดาสัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงเป็นภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานทางตำนานความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณทั้งสิ้น ที่ประกอบกันเพื่อสื่อความหมายและแสดงออกถึงพิธีกรรมการเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ของสุริยเทพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลอดไฟฟ้าแต่อย่างใด
แต่ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์โบราณจะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าถึงขั้นผลิตหลอดไฟฟ้าได้จริง แต่เราก็คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ว่า วิทยาการที่ชาวอียิปต์มีอยู่จริงนั้นก้าวหน้าและก้าวล้ำจริงๆ

ที่มา : นิตยสารต่วย'ตูน

#เพจให้ภาพมันเล่าเรื่อง
_________________
#เพจภาพและเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ

 

ผู้ชายคนหนึ่งพยายามปกป้องครอบครัวจากมนุษย์กินคน ช่วงข้าวยากหมากแพงมัทราส Madras ในอินเดีย ปี ค.ศ.1877 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ภาวะข้าวยากหมากแพงครั้งยิ่งใหญ่ ในช่วงปี 1876-1878
เหตุการณ์ครั้งสำคัญช่วงนั้น เป็นช่วงอาหารขาดแคลนอย่างรุนแรง ที่ส่งผลทำให้คนอินเดียล้มตายราว 5.5 ล้านคน ตายเพราะอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากภัยแล้ง ฝูงตั๊กแตนระบาด นโยบายการแก้ไขที่ล้มเหลวของรัฐบาลอังกฤษเจ้าอาณานิคม
ความอดอยากนำไปสู่ความยากจนทั้งแผ่นดิน และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของอินเดีย
ที่มา @insidehistory
------------------
อังกฤษตั้งอุปราชปกครอง อินเดีย พม่า นายู (มลายู) รวมเป็นรัฐเดียวกันที่ขึ้นกับอุปราชที่อินเดีย
ช่วงอินเดียเป็นอาณานิคมอังกฤษ ระยะเวลา 40 ปี มีคนตายมากกว่า 100 ล้านคน ในช่วงปี 1880 - 1920 เพราะแบ่งแยกแล้วปกครอง เสี้ยมให้เจ้านครรัฐต่าง ๆ รบกันเอง พร้อมกับขายอาวุธให้ทั้งสองฝ่าย ใครแพ้ก็ช่วยถล่ม แล้วค่อยตลบหลังฝ่ายชนะ ทั้งนิยมชมชอบยิงทิ้งคนประท้วงรัฐ
ในปีค.ศ.1930 คานธีเป็นผู้นำชาวอินเดียเดินขบวนต่อต้านการเก็บภาษีเกลือของเจ้าอาณานิคมอังกฤษบนระยะทาง 400 กิโลเมตร และในอีก 12 ปีต่อมา คานธีเป็นผู้นำชาวอินเดีย ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษด้วยวิธีอหิงสา-การต่อสู้เรียกร้องโดยไม่ใช้กำลัง จนอินเดียประกาศเอกราชใน ค.ศ.1947
อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมที่เริ่มล้มเหลว ในการปกครองและย่ำแย่ หลังสงครามโลกครั้งทึ่ 2 (1939-1945) จึงจำใจทะยอยปล่อยชาติอาณานิคม เพราะยิ่งรบยิ่งตาย คนในชาติยิ่งยากจน เพราะกอบโกยทรัพยากรยากกว่าเดิม ชนชาติเมืองขึ้นไม่ยอมแบบเก่า เพราะได้อาวุธตกค้าง กับท่อน้ำเลี้ยงพรรคคอมมึ่ (รัสเซีย จีน) แบบในนายู พม่า ก่อนจะหักหลังคอมมี่พร้อมกับถีบหัวส่ง เป็นกันทั้ง 3 ชาติ หันมาจัดตั้งรัฐบาลปลอดคอมมี่
แต่ในปีเดียวกัน (1947) ก็เกิดการแบ่งประเทศ ฝั่งอินเดียมีคนนับถือศาสนาฮินดูมากกว่า ฝั่งปากีสถาน บังคลาเทศ (ปากีสถานตะวันออก เดิมรวมชาติกันมีอินเดียกั้น) คนนับถือศาสนาอิสลาม และ 6 เดือนต่อมา คานธีถูกคนฮินดูสุดโต่งยิงตาย
-------------------
ก่อนหน้านั้น ในช่วงปี 1847-1852 ชาวไอริชอดอยากตายราว 1 ล้านคน เพราะผลผลิตมันฝรั่งติดเชืัอราดำ เน่าเหม็นกินไม่ได้ ต้องทำลายทิ้งหมด เจ๊งกันระนาว
มันฝรั่งที่สเปนนำเข้ามาจากละตินอเมริกา ช่วยให้คนยุโรปไม่ขาดแคลนอาหารเหมือนในอดีต เพราะผลผลิตมันฝรั่งต่อเอเคอร์ต่อตัน เหลือกินเหลือขายมากกว่าข้าวสาลี มารี และ ปิแอร์ คูรี สองสามีภริยาคู่แรกที่ได้รางวัลโนเบิล ก็รอดตายจากการยังชีพด้วยมันฝรั่งในตอนเรียนที่ปารีส
เกษตรกร/ชาวบ้านหมดเนื้อหมดตัว เพราะธุรกิจมันฝรั่งล่มสลาย เลยถูกขุนนางศักดินาชาวอังกฤษยึดทรัพย์ ขับไล่ออกจากที่ดินทำกิน กลายเป็นคนจนคนเร่ร่อน จนชาวไอริชจำนวนมาก ต้องอพยพไปอยู่ที่อุสา(USA) เป็นพวกแก้งค์ลูกวัวรุ่นที่ 2 เลยมีหนี้แค้นรอชำระ รอคิดทบต้นทบดอกกับพวกศักดินาอังกฤษ
คนไอริชในอุสาพอร่ำรวยก็ส่งเงินทองกลับมา เป็นท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน รบกับอังกฤษ 3 ปี (1919-1922) เพื่อล้างแค้นจนได้เป็นสาธารณรัฐ พร้อมกับล้มล้างระบอบศักดินาขุนนางอังกฤษ เป็นการปฏิวัติในช่วงจังหวะที่ดี เพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) เพิ่งยุติ ภายในชาติอังกฤษกำลังย่ำแย่ แต่คนไอริชอุสาไม่มีผลกระทบแบบอังกฤษ ชัยชนะของพวกไอริช ทำให้อังกฤษเหลือแค่ดินแดนไอร์แลนด์เหนือในทุกวันนี้ ที่รวมกันเป็นสหราชอาณาจักร
ไอร์แลนด์เหนือที่ไม่ยอมรวมกับไอร์แลนด์ เพราะคนแถวนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค ไม่ถูกกับพวกไอริชที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนส์ กับเคยฆ่ากันเพราะความเชื่อศาสนาต่างนิกายกัน เลยเกลียดขี้หน้ากัน
พอรวมกับอังกฤษ เพื่อหนีฝูงหมาป่าก็เจอฝูงสิงโตเจ้าเล่ห์ กดขี่ทางศาสนาจนต้องรุกฮือขึ้นสู้ เพราะ อังกฤษนับถือศาสนาคริสต์นิกาย Church of England เพราะกษัตริย์ Henry 8 อยากหย่าเมีย แต่ Pope ไม่ยอม เลยเลิกเคารพ ตั้งตัวเป็นเอกเทศ เป็นใหญ่เอง กษัตริย์อังกฤษเลย 2 in 1 เป็นทั้งประมุขรัฐ กับ ประมุขศาสนา
Henry 8 พอหย่าเมียสำเร็จ ก็ยัดเยียดความเป็นธรรมให้เมียเก่าที่อยากหย่า แล้วก็สั่งตัดหัวกำจัดเสิ้ยนหนาม แต่งงานใหม่มีเมียอีก 3 คน กับมีกิ๊กจำนวนคณานับ นักประวัติศาสตร์อังกฤษยอมรับ/ระบุเอง
คนไอร์แลนด์เหนือ พอถูกกดขี่จากอังกฤษ จึงตัดสินใจกู้เอกราช แต่ยิ่งรบยิ่งแพ้ ไม่เห็นทางชนะ เพราะพวกนักรบกองโจรในเมือง รบสะเปะสะปะ ก่อการร้ายมั่ว ๆ ไปหมด ทั้งยังไปทะเลาะกับชาวบ้านในเมือง (ที่หลบซ่อนพวกกองโจร) แบบบังคับให้ร่วมมือ กับไปวางระเบิดโดนเด็กชายตาย 2 คน เลยมีเพลง Zombie ด่าพวกมัน สมองหมาปัญญาควาย ไร้จิตวิญญาณ สมองตายเหมือนผีดิบ Zombie พวกนักรบกองโจร ก็โกรธขู่จะฆ่าจะวางระเบิดสถานีวิทยุ กับบ้านคนที่เปิดเพลงนี้ ชาวบ้านเลยยัวะจัด ฉุนซิ เลยตัดท่อน้ำเลี้ยง บอกที่หลบซ่อนให้ทางการ จนพวกนี้ต้องรีบยอมจำนนในที่สุด ดีกว่าถูกยิงตาย/ยิงทิ้งเหมือนหมาจรจัด
---------------
ในรัสเซีย ยิว จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ใครให้ที่พักพิง ให้อาหาร ช่วยเหลือผู้ก่อการร้าย โทษเท่ากับผู้ก่อการร้าย ไม่มีตั๋วเด็ก/เยาวชน เพราะเรียนรู้ความชั่วเรื่องนี้จากพวกอังกฤษ ที่เคยปกครองอาณานิคม เพราะรู้ดีว่า พวกโจร/นักรบจรยุทธชอบใช้เด็ก/เยาวชน ส่งอาหารและอาวุธ โทษจะได้เบา เลยออกกฎหมายปราบอย่างรุนแรงทในนายูก็ไม่ยอมแก้กฎหมายนี้ ใครมีอาวุธปืนไร้ทะเบียนในครอบครอง แขวนคอสถานเดียว ไม่จำกัดอายุ
ในชาติพวกนีั ถ้าถูกจับเป็นตัวประกัน ไม่รีบหนีตายออกมา ถ้าทางการให้เวลาหลบหนีแล้ว ไม่ยอมหลบหนี ถือว่าร่วมมือกับผู้ก่อการร้าย ชาติเหล่านี้ยิงทิ้งสถานเดียว ไม่มีการจับเป็น เสียเวลาทำคดี ทำให้ในเชสเนีย ซีเรีย ปาเลสไตน์ ซินเกียง ธิเบต สงบราบคาบ
-------------------
ในไทยก็เคยยิงทิ้งโจรก่อการร้ายทุกคน ตอนโจรกระเหรี่ยงยึดโรงพยาบาลที่ราดรึ พร้อมตัวประกัน เพื่อต่อรองเรียกร้องให้ส่งหมอไปช่วยคนเจ็บฝั่งพม่า กับขออาวุธเสบียงอาหาร ไทยเลยกำจัดทิ้งทุกคน เป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า อย่ามาทำแบบนี้อีกในไทยเด็ดขาด เพราะครั้งแรกได้ใจตอนฝาแฝดลิ้นดำ God Army ยึดสถานทูตพม่าในกรุงเทพฯ ไทยต่อรองแล้วพาพวกนีัไปปล่อยตัว ที่ชายแดนสังขละบุรี
---------------
อุสา(USA) ก็แยกตัวออกจากอังกฤษ ประกาศเอกราช 4 กรกฏาคม 1776 เพราะเบื่อการเอารัดเอาเปรียบ ขายของก็แพง ดอกเบี้ยก็สูง ภาษีก็หนัก ทั้งไม่ยอมให้มีตัวแทนในระบบรัฐสภาอังกฤษ เลยใช้สโลแกน ไม่จ่ายภาษี ถ้าไม่มีผู้แทน จุดเริ่มต้นการปฏิวัติคือ การโยนทิ้งใบชาจากเรืออังกฤษ (มีการห่อหุ้มไม่เปียกน้ำ) หรือปล้นเรือ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านภาษีแพง สินค้าชาราคาแพง แล้วพวกอุสาเลยหันไปกินกาแฟประชดแทน จนเก่งเรื่องกาแฟ แบบมีหลายแบรนด์ในทุกวันนี้
อังกฤษจึงเข้าล้อมปราบ ระยะแรกพวกชาวบ้านในอุสารบแพ้ ต่อมาจึงหันมาร่วมมือกับพวกอินเดียนแดง รบแบบกองโจร แล้วใช้แผ่นดินกว้างขวาง ทำให้อังกฤษติดหล่ม (แบบรัสเซียใช้ดินแดนในการตั้งรับศัตรู)
ต่อมาอุสาได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 ของฝรั่งเศส ที่ให้กูัเงินกับให้อาวุธและทหารมาช่วยรบ เลยมีชัยชนะในที่สุด และแล้วอุสาก็ชักดาบหนี้เงินกู้อ้างว่าจน กำลังสร้างชาติ พอปฏิวัติฝรั่งเศส 14 กรกฎาคม 1789 ก็อ้างว่า ฝรั่งเศสไม่เป็นประชาธิปไตย เลยไม่จ่ายหนี้ พอหลุยส์ที่ 16 ถูกตัดคอด้วยกิโยติน การชักดาบเลยสมบูรณ์ เพราะเจ้าหนี้รายใหญ่ตาย ลูกหลานไม่มีอำนาจทวงหนี้อีก
ตอนประกาศเอกราช ตัวแทนแต่ละรัฐ 13 รัฐ ลงมติใช้ ระบบประธานาธิบดี มาจากการเลือกตั้ง เลียนแบบนครรัฐกรีกในอดีต ไม่ยอมมีระบบกษัตริย์อีก เพราะกลัวซ้ำรอยเดิม ที่มีระบบศักดินาเจ้าทึ่ดิน และอำนาจเลยเถิดแบบในยุโรป
คนเชื้อสายเยอรมัน คือ พวกอพยพเข้าอุสามากที่สุดในยุคแรก จนทุกวันนี้คนที่ยอมรับว่า บรรพบุรุษตนเป็นคนเยอรมัน 45 ล้านคนมากกว่าทุกเชื้อชาติในอุสา พวกนี้คือ แก้งค์ลูกวัวยุคแรกของโลก (ลูกหมู คนเวียดนาม คนจีน ลูกแพะ ปากีสถาน อัฟกานิสถาน โรฮิงญา)
มีนายทุนยิวเป็นคนให้กู้ ออกเงินกู้ให้ผูัอพยพชาวเยอรมันไปก่อน ให้ไปหักล้างถางพงให้พวกอังกฤษ Nominee ที่ยิวขี่คอ หักหนี้กัน เพราะพวกเชื้อสายเยอรมัน ทนถึก ขยัน รับผิดชอบ ทั้งยังเบื่อการกดขี่ศาสนา/การปกครองและไร้ที่ดินทำกิน เพราะพวกขุนนางศักดินาในประเทศงาบที่ดินงาม ๆ ไปหมด แต่มีหนี้แค้นชิงชังความหน้าเลือดในการคิดเงินกู้ของพวกยิว และคนเชื้อชาติเยอรมันมีส่วนรบเพื่อเอกราชในอุสามากที่สุด เพราะชนชาตินึ้ลึก ๆ เป็นพวกอสูรสงคราม เคยรบกับหลายชาติ และรบชนะโรมันในช่วงหลัง ยึดกรุงโรมได้ แม้ว่าจะถูกเหยียดว่า พวก Barbarian
ตอนฮิตเลอร์ฆ่ายิว คนเยอรมันจึงไม่รู้สึกรู้สา ลึก ๆ สมน้ำหน้ากับความใจดำของพวกคนยิว แต่การที่เยอรมันแพ้สงครามโลกทั้งสองครั้ง คนเชื้อชาติเยอรมันเลยอาย ๆ ที่จะพูดภาษาเยอรมัน และเปลี่ยนนามสกุลเป็นแบบอังกฤษ
เครื่องมืออุสา Brand ดัง ๆ ส่วนใหญ่ผลิตโดยพวกเชื้อชาติเยอรมัน ที่ชอบทำของ OverSpec ทนถึก ใช้ทน ใช้นาน ใช้จนรำคาญ
พวกชนชาติเยอรมันเคยปกครองอังกฤษหลายร้อยปี หลังจากพวกโรมันถอนตัวออกไป กลับไปที่โรม-อิตาลี ภาษาเยอรมันจึงตกค้างในภาษาอังกฤษหลายคำมาก
เครดิตพี่ Ravio Ma ครับ

เกษียณอายุ ราชการ กรมชลประทาน 2565


________________________
#เพจภาพและเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ

 

ญี่ปุ่น แผ่นดินแห่งลูกพระอาทิตย์ ตอนที่ 58
สงครามมองโกลครั้งที่สอง กับกามิกาเซ่ ลมเทพเจ้า

ถึงแม้การส่งกองทัพไปกำราบชาววะ(ญี่ปุ่น)ครั้งแรก จะล้มเหลว แต่กุบไลข่านก็ยังไม่ทรงยอมรามือ ที่จะนำญี่ปุ่นมาอยู่ในอำนาจ พระองค์จึงให้ส่งทูตห้าคนเดินทางไปญี่ปุ่น พร้อมสาส์นเกลี้ยกล่อมแกมบังคับให้ยอมอ่อนน้อม โดยคณะทูตได้ไปถึงเกาะคิวชู ในเดือนกันยายน ค.ศ.1275 และยืนกรานว่า จะไม่ยอมกลับ ถ้าหากยังไม่ได้คำตอบชัดเจน โทคิมูเนะจึงสั่งให้นำทูตทั้งห้า มาที่คามาคุระและสั่งตัดศีรษะทั้งห้าคน ส่งกลับไปราชสำนักหยวน แทนคำตอบ

คำตอบของญี่ปุ่น ทำให้จอมข่านทรงพิโรธอย่างมากและจะส่งทัพใหญ่ไปบดขยี้พวกซามูไรจอมโอหัง อีกครั้ง ทว่า เวลานั้น อาณาจักรซ่งใต้ที่แต่เดิม มีท่าทีจะพ่ายแพ้ ได้กลับยืนหยัดขึ้นมาสู้ต่ออีก ทำให้มองโกลต้องระดมกำลังเพื่อเผด็จศึกอาณาจักรซ่งใต้และรวม แผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว ส่วนเรื่องบุกญี่ปุ่นจึงต้องเลื่อนไปก่อน

ในปี ค.ศ.1276 หลังทำศึกในภาคใต้สองปี กองทัพมองโกลก็สามารถบุกยึดหลินอัน ราชธานีของอาณาจักรซ่งใต้ได้สำเร็จ จากนั้น จึงนำองค์จักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์ของอาณาจักรซ่งใต้กลับไปนครข่านบาลิก ราชธานีของราชวงศ์หยวนแห่งจักรวรรดิมองโกล พร้อมกับครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของอาณาจักรซ่งใต้ไว้ได้ แต่การต่อต้านของชาวฮั่น ก็ยังคงไม่สิ้นสุด โดยฝ่ายมองโกลยังต้องทำศึกกับกองทหารซ่งที่ป้อมเตี้ยวอวี้้เฉิงในเสฉวน นอกจากนี้ ก็ยังมีกลุ่มขุนนางของซ่งใต้ที่ยังไม่ยอมจำนน นำโดยลู่ซิ่วฟู ซึ่งได้พาพระอนุชาสองพระองค์ขององค์จักรพรรดิ คือ องค์ชายจ้าวซื่อและองค์ชายจ้าวปิ่ง หนีออกจากนครหลินอัน ก่อนกองทัพมองโกลจะมาถึง โดยไปรวมกับเฉินหยีจงที่เวินโจว จากนั้นจางซื่อเจี้ยซึ่งนำทหารหนีออกทางทะเล ก็ได้นำกำลังทหารมาสมทบ ก่อนที่ทั้ง หมดจะแล่นเรือไปยังฝูโจว ในมณฑลฟูเจี้ยน และได้เชิญองค์ชายจ้าวซื่อ ขึ้นเป็น จักรพรรดิซ่งตวนจง ในวันที่ 14 มิถุนายน ปี ค.ศ.1276

เมื่อกุบไลข่านทราบว่า มีการตั้งราชสำนักซ่ง ขึ้นใหม่ จึงส่งทัพใหญ่บุกลงใต้ แต่ก่อนที่ทัพมองโกล จะเข้ายึดฝูโจวได้นั้น จางซื่อเจี้ยและลู่ซิ่วฝู ก็ได้เชิญเสด็จจักรพรรดิซ่งตวนจงลี้ภัยไปยังฉวนโจว

จางซื่อเจี้ยได้สร้างกองเรือขนาดใหญ่เพื่อให้ทหารและข้าราชสำนักทั้งหมดใช้ล่องเรือจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเรื่อยๆจนกว่าจะหาที่มั่นได้

กองเรือราชสำนักซ่งพลัดถิ่นได้ออกจากฉวนโจวไปยังมณฑลกว่างตง(กวางตุ้ง) แต่ระหว่างทาง กองเรือเจอพายุ เรือของจักรพรรดิซ่งตวนจง ถูกพัดจม แม้จะช่วยองค์จักรพรรดิขึ้นจากน้ำได้ แต่พระองค์ก็ทรงประชวรจากการสำลักน้ำ ก่อนจะสวรรคต ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1278 ด้วย วัยเพียง 9 ชันษา

เหล่าขุนนางได้เชิญองค์ชายจ้าวปิ่ง พระอนุชา วัย 7 ชันษาของซ่งตวนจง ขึ้นเป็นจักรพรรดิซ่งตี้ปิ่ง ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1278

เวลานั้น ราชสำนักหยวนของมองโกล ได้กวาดล้าง กองกำลังต่อต้านของซ่งใต้จนราบคาบ รวมทั้งป้อมเตี้ยวอวี้เฉิงในเสฉวน ก็ได้ยอมจำนนแล้ว ทำให้ราช วงศ์ซ่ง สูญเสียดินแดนให้กับราชวงศ์หยวน จนหมดสิ้น กองเรือของราชสำนักซ่งพลัดถิ่น จึงทำได้เพียงล่องเรือเลียบชายฝั่งลงใต้ไปเรื่อยๆ และในระหว่างนั้น เฉินหยีจงก็ล้มป่วย เสียชีวิต จึงมีเพียงลู่ซิ่วฝู กับจางซื่อเจี้ย ที่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกองเรือ

ขณะที่กองเรือซ่งใต้ หนีไปเรื่อยๆ ทางราชวงศ์หยวนก็ให้จางหงฟ่าน ซึ่งเป็นแม่ทัพชาวฮั่นที่มาสวามิภักดิ์ นำทัพเรือพร้อมกับทหารชาวจีนฮั่น 20,000 นาย ไล่ล่ากองเรือซ่งใต้

แม้ กองเรือซ่งจะมีเรือกว่าพันลำและคนกว่าสองแสน ทว่าส่วนใหญ่ เป็นพลเรือนหญิงชาย โดยมีทหารอยู่เพียงสามหมื่นเศษ ในขณะที่เรือส่วนใหญ่ก็เป็นเรือสินค้า เรือลำเลียง มากกว่าเรือรบ อีกทั้งจางซื่อเจี้ยยังสั่งให้ใช้โซ่ผูกเรือทั้งหมดเข้าเป็นแพยักษ์ โดยให้เรือของจักรพรรดิอยู่ตรงกลาง เพื่อปัองกันไม่ให้เรือลำใดลำหนึ่งหนีไป ซึ่งผลก็คือ ทำให้กองเรือเคลื่อนไปได้ช้ามาก

ในที่สุด จางหงฟ่านก็นำทัพเรือตามทันกองเรือซ่ง ที่อ่าวหยาเหมิน ในมณฑลกวางตุ้ง ทหารหยวนใช้ธนูไฟระดมยิงกองเรือซ่ง แต่อีกฝ่ายเอาโคลนเปียกฉาบหุ้มป้องกันเรือไว้ จางหงฟ่านจึงให้กองเรือฝ่ายตนปิดล้อม จนน้ำจืดของกองเรือซ่งใต้หมดลง จากนั้น ก็ส่งคนไปเจรจาให้ฝ่ายซ่งยอมแพ้ แต่จางซื่อเจี้ย แม่ทัพฝ่ายซ่งได้ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว

วันที่ 18 มีนาคม ค.ศ.1279 เมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายไม่มีทางยอมจำนน จางหงฟ่านจึงตัดสินใจเผด็จศึก โดยให้ทัพเรือเปิดฉากโจมตี
กองเรือหยวนเข้าตีพร้อมกันทั้งสี่ทิศ ขณะที่ทหารซ่งใต้ ที่อ่อนกำลัง ไม่อาจจะต่อสู้ได้เลย และในที่สุดกองเรือซ่งก็ถึงกาลอวสาน

ลู่ซิ่วฝูได้แบกจักรพรรดิน้อยขึ้นหลังแล้วกระโดดลงทะเล จมหายไปทั้งคู่ ส่วนทหารและข้าราชบริพารทั้งสองแสนคน บ้างถูกสังหาร บ้างก็จมน้ำตาย จนทำให้อ่าวหยาเหมิน กลายเป็นทะเลเลือด โดยประมาณการว่าในวันนั้น ฝ่ายซ่งใต้ล้มตายไปกว่าหนึ่งแสนคน ขณะที่บางส่วนถูกจับเป็นเชลย และบางส่วน หนีรอดไปได้

จางซื่อเจี้ยได้ตัดโซ่ นำเรือรบสิบสองลำ ตีฝ่าวงล้อมออกสู่ทะเลหลวง และหายสาบสูญไป โดยนักประวัติ ศาสตร์เชื่อกันว่า กองเรือของเขาน่าจะถูกพายุพัดจมในทะเลจีนใต้

ยุทธนาวีที่อ่าวหยาเหมิน ในปี ค.ศ.1279 ถือเป็นการปิดฉากอาณาจักรซ่งใต้ และทำให้จักรวรรดิมองโกลสามารถยึดครองแผ่นดินจีนทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์

ทางฝ่ายญี่ปุ่น นับแต่การรุกรานของมองโกล ในปี ค.ศ.1274 ก็ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือ การรุกรานที่พวกเขาเชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน โดยในการนี้ ชิคเก็ง โฮโจ โทคิมูเนะ ผู้กุมอำนาจปกครองสูง สุดของญี่ปุ่น ได้สั่งให้ปรับปรุง การฝึกฝนซามูไรของเกาะคิวชูให้ดีขึ้น เพื่อให้มีนักรบมากพอที่จะพร้อมรับ มือการรุกรานจากกองทัพขนาดใหญ่

ปี ค.ศ.1276 โฮโจ โทคิมูเนะ ได้สั่งให้สร้างกำแพงสูง 2.5 เมตร ยาว 20 กิโลเมตร เลียบตลอดอ่าวฮากาตะเพื่อใช้ป้องกันการโจมตีจากอาวุธดินระเบิด และเพื่อสกัดกั้นกองทหารม้าของมองโกล ทั้งยังให้สร้างป้อม เป็นระยะ ตลอดแนวกำแพง และให้ปักขวากใต้น้ำในบริเวณปากแม่น้ำและจุดที่คาดว่า กองทัพมองโกลจะยกพลขึ้นบก พร้อมกับจัดตั้งหน่วยเฝ้าระวังชายหาด เพื่อลาดตระเวน ไม่ให้ข้าศึกลอบเข้ามาได้

นอกจากนี้ โทคิมูเนะยังสั่งให้เพิ่มการสักการะบูชาตามวัดและศาลเจ้าต่างๆเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน และสั่งให้สร้างศาลเจ้าฮาโกะซากิ ที่อยู่ใกล้กับอ่าวฮากาตะ ซึ่งถูกทหารหยวนเผาทำลาย ขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วย

ไม่เพียงเตรียมการตั้งรับเท่านั้น แต่ฝ่ายญี่ปุ่นยังมีแนวคิดที่จะชิงลงมือก่อน โดยจะให้ โชนิ ซึเนะสุเกะ
แม่ทัพผู้หนึ่งของคิวชู นำกองเรือไปปล้นและทำลายเมืองท่าของอาณาจักรโครยอ บนคาบสมุทรเกาหลี เพื่อไม่ให้พวกมองโกล ใช้เป็นฐานทัพ มาโจมตีคิวชู ได้อีก แต่สุดท้ายแผนการนี้ ก็ไม่ได้ถูกนำปฏิบัติจริง

เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1279 หลังจากพิชิตซ่งใต้ได้สำเร็จ กุบไลข่านจึงทรงให้ส่งทูตห้าคน ถือสาส์นไปเกลี้ยกล่อม ให้ญี่ปุ่นยอมเป็นรัฐบริวาร ทว่า โฮโจ โทคิมูเนะได้สั่งให้ตัดหัวทูตมองโกลทั้งหมด แทนคำตอบ เหมือนกับในปี ค.ศ.1275 เพียงแต่ในครั้งนี้ ทูตมองโกลไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงคามาคุระ แต่ทั้งห้าคน ได้ถูกตัดศีรษะ ที่อ่าวฮากาตะ นั่นเอง

การสังหารทูตรอบสอง ทำให้กุบไลข่านทรงพิโรธอย่างที่สุด และในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1280 พระองค์ก็ทรงเรียกประชุมที่ตำหนักฤดูร้อน เพื่อที่จะวางแผนทำสงครามกับชาวญี่ปุ่น ซึ่งจอมข่านได้ทรงมีบัญชาให้ระดมกำลังทหาร 140,000 นาย เรือรบ 4,400 ลำ
เพื่อกวาดล้างชาวญี่ปุ่นให้สมกับความโอหังที่บังอาจหยามเกียรติจอมจักรพรรดิแห่งมองโกล

ในปฏิบัติการครั้งนี้ กุบไลข่านทรงแต่งตั้ง แม่ทัพชาวมองโกล ชื่อ อะราคาน เป็นผู้บัญชาการสูงสุด โดยมีอาตาไก ฮินตุน ฮงดากู คิมบังกยอง และฟ่านเหวินหู่ เป็นผู้บัญชาการร่วม

เนื่องจากในการรุกรานญี่ปุ่นครั้งที่สอง จักรวรรดิมองโกลสามารถผนวกดินแดนของจีนทั้งหมดได้แล้ว
กุบไลข่านจึงทรงให้จัดทัพแยกเป็นสองสาย คือ สายตะวันออก และสายใต้
กองทัพสายตะวันออก มีไพร่พลชาวมองโกล เกาหลี และชาวจีนจากภาคเหนือ รวมทั้งหมด 40,000 นาย เรือรบ 900 ลำ โดยไพร่พลในกองทัพกว่าครึ่ง เป็นชาวเกาหลี กองทัพสายนี้ มี ฮงดากู กับ คิมบังกยอง สองแม่ทัพ ชาวเกาหลี เป็นผู้บัญชาการ โดยกองทัพนี้จะเคลื่อนพลออกจากท่าเรือของอาณาจักรโครยอ บนคาบสมุทรเกาหลี ส่วนกองทัพสายใต้นั้น มีกำลังพล 100,000 นาย เรือรบ 3,500ลำ ไพร่พลส่วนใหญ่เป็นชาวจีนจากฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซี และมีส่วนน้อยที่เป็นชาวมองโกล กองทัพสายนี้มีฟ่านเหวินหู่ แม่ทัพชาวจีน เป็นผู้บัญชาการ นอกจากนี้ แม่ทัพ อะราคาน ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพทั้งสองสาย ก็เดินทางไปพร้อมกับทัพนี้ด้วย โดยกองทัพสายใต้ จะเคลื่อนพลออกจากท่าเรือในภาคใต้ของจีน จากนั้น กองทัพทั้งสองสาย จะไปรวมพลกันที่คิวชู

ทันทีที่ทราบข่าวศึก ชิคเก็ง โฮโจ โทคิมูเนะ ก็สั่งให้รวบรวมซามูไรบนเกาะคิวชู ทั้งหมด 40,000 นาย เพื่อตั้งรับข้าศึก พร้อมกับส่งทัพซามูไรจากคามาคุระ ไปเป็นกองหนุนที่คิวชู อีก 60,000 นาย นอกจากนี้ ยังส่งคนไปเจรจากับพวกโจรสลัด ให้ช่วยลอบโจมตีเรือรบมองโกลด้วย

วันที่ 22 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1281 กองทัพหยวนสายตะวันออก ซึ่งจัดทัพเสร็จเรียบร้อย ก็เคลื่อนพลออกจากโครยอ บนคาบสมุทรเกาหลี ในขณะที่กองทัพเรือหยวนสายใต้นั้น ยังไม่ได้เคลื่อนพล เนื่องจากยังรวบรวมเสบียงได้ไม่ครบ
กองทัพหยวนสายตะวันออกเข้าโจมตีเกาะทสึชิม่าในวันที่ 9 มิถุนายนและเข้าโจมตีเกาะอิกิในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ.1281

แม่ทัพญี่ปุ่นสองนาย คือ โชนิ สุเคะโตกิ กับ ริวโซจิสุเอะโตกิ ได้นำนักรบซามูไร 10,000 นาย มาป้องกันเกาะทั้งสอง โดยปะทะกับทัพมองโกลที่ยกพลขึ้นบกที่เกาะทสึชิม่า กองทหารมองโกลได้ยิงธนู และขว้างระเบิดเข้าใส่พวกซามูไร จนอีกฝ่ายต้องล่าถอย และถูกกองทัพมองโกลรุกไล่ออกจากทสึชิม่า ไปยังเกาะอิกิ ก่อนที่พวกมองโกลจะตามไปโจมตี

พวกซามูไรพยายามต่อสู้ปองกันเกาะอิกิ อย่างกล้าหาญ แต่สุดท้าย ก็แตกพ่าย หลังถูกระดมยิงด้วยธนูและระเบิด โชนิ สุเคะโตกิ ได้เสียชีวิตในสนามรบกับซามูไรเกือบครึ่งทัพ และยังมีชาวบ้านบนเกาะทั้งสอง ถูกทหารมองโกลสังหารไปกว่า 300 คน นอกจากนี้พวกมองโกลยังค้นหา และสังหารพวกเด็กๆที่พบทุกคน ด้วย

หลังยึดเกาะอิกิได้แล้ว ตามแผนที่วางไว้นั้น กองทัพสายตะวันออกจะต้องรอให้กองทัพสายใต้ มาสมทบที่เกาะอิกิ ก่อนยกพลขึ้นบกที่คิวชู แต่สองแม่ทัพชาวเกาหลี ฮงดากูกับคิมบังกยอน ได้ฝ่าฝืนคำสั่ง นำทัพเข้าโจมตี โดยไม่รอให้ทัพสายใต้ มาถึง

วันที่ 23 มิถุนายน กองทัพสายตะวันออกแบ่งกองเรือออกเป็นสองส่วน โดยนำเรือรบ 600 ลำ บุกเข้าโจมตีอ่าวฮากาตะ เพื่อจะยกพลขึ้นเกาะคิวชู และส่งเรือรบอีก 300 ลำ ทหารหมื่นกว่าคน ไปโจมตีมณฑลนางาโตะ ซึ่งอยู่ตรงปลายสุดด้านตะวันตกของเกาะฮอนชู
กองเรือมองโกล 300 ลำ ไปถึง มณฑลนางาโตะ ใน
วันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1281 และพยายามยกพลขึ้นบก แต่ถูกซามูไรหลายพันนาย กับทหารอาสาจำนวนมากของญี่ปุ่นสู้รบต่อต้านอย่างดุเดือด จนทำให้พวกมองโกลต้องถอยกลับไปเกาะอิกิ

ขณะเดียวกัน พวกมองโกลที่เข้าโจมตีอ่าวฮากาตะ ไม่รู้ว่า มีการสร้างกำแพงไว้รอบอ่าว จึงยกพลขึ้นบกตรงกับแนวกำแพงพอดี และเผชิญกับทัพซามูไรกว่าสองหมื่นนาย ที่นำโดยโฮโจ ซาเนะมาสะ กับ โอะโทะโมะ โยริยาสุ

ทหารทั้งสองฝ่ายได้เข้าปะทะกันอย่างดุเดือดบริเวณชายหาด โดยกองทัพญี่ปุ่นได้จัดพลธนูประจำตลอดแนวกำแพง เพื่อยิงสกัดข้าศึก ส่งผลให้ฝ่ายมองโกล ที่บุกโจมตี ต้องสูญเสียทหารไปกว่าสามพันนาย

เมื่อไม่อาจจะยึดอ่าวฮากาตะได้ ในวันนั้น กองเรือมองโกล จึงถอยไปยึดเกาะชิคะและเกาะโรโกะ เพื่อใช้เป็นที่มั่น เข้าปล้นอ่าวฮากาตะ ทว่าฝ่ายญี่ปุ่นกลับชิงลงมือก่อน โดยพวกซามูไรกับเหล่าโจรสลัดญี่ปุ่น ได้ใช้เรือเล็กลอบเข้าประชิดเรือรบมองโกล ในตอนดึกและฆ่าฟันทหารจำนวนมาก ทั้งยังเผาทำลายเรือ หลายลำ สร้างความเสียหาย จนกองเรือมองโกลต้องถอนกำลังกลับไปเกาะอิกิ ในวันที่ 30 มิถุนายน แต่ก็ยังคงถูกพวกโจรสลัดญี่ปุ่นลอบโจมตี จนขวัญกำลังใจของไพร่พลอ่อนแอลง
วันที่ 16 กรกฎาคม กองเรือญี่ปุ่นได้บุกยึดเกาะอิกิ ทำให้พวกมองโกลต้องถอยทัพออกจากเกาะอิกิและไปตั้งทัพที่เกาะฮิราโดะ

สามวันต่อมา กองเรือหยวนสายใต้ ก็มาถึงฮิราโดะ และรวมพลกับกองเรือสายตะวันออก โดยหลังจากที่ หยุดพักทัพ เพื่อซ่อมแซมเรือที่เสียหาย และจัดกำลังพลใหม่ กองทัพเรือของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกลซึ่งมีไพร่พลอยู่กว่า 130,000 นาย ก็ได้เคลื่อนทัพไปยังเกาะทากาชิ เพื่อจะใช้เป็นฐานทัพสำหรับบุกคิวชู โดยหลังจากที่ยึดเกาะทากาชิได้แล้ว พวกมองโกลก็จัดทัพ เพื่อเปิดฉากโจมตีอ่าวฮากาตะอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม

ขณะเดียวกัน ทางนครเกียวโต จักรพรรดิโกะอูดะและอดีตจักรพรรดิคาเมยามะ ได้ทรงมีพระบรมราช โองการให้ราษฎรทั่วทั้งญี่ปุ่น ช่วยกันสวดขอพรจากเทพเจ้า ในวิหารชินโตทั่วประเทศ เพื่อขอให้เทพเจ้าช่วยปกป้องญี่ปุ่นจากมหันตภัยในครั้งนี้

เพื่อเป็นการข่มขวัญฝ่ายญี่ปุ่น ทหารมองโกลได้ตัดมือของเชลยผู้หญิงและเด็กชาวญี่ปุ่น หลายร้อยคน แขวนที่กราบเรือ แต่ผลที่ได้ กลับยิ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นเคียดแค้นและสู้รบอย่างบ้าบิ่นไม่กลัวตาย

การรบระหว่างสองฝ่ายได้ดำเนินไปอย่างดุเดือดยาว นานกว่าสองสัปดาห์ โดยที่ฝ่ายมองโกลไม่อาจจะยึดอ่าวฮากาตะได้ ทั้งยังถูกพวกโจรสลัดญี่ปุ่นลอบปล้นโจมตีแนวหลังที่เกาะทากาชิด้วย
หลังการโจมตีกว่าครึ่งเดือน ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ พวกมองโกลก็ถอยกำลังกลับไปรวมพลที่เกาะทากาชิ เพื่อให้ทหารได้พักผ่อน และหาเสบียงมาเพิ่มเติม
เนื่องจากการลอบโจมตีกองเรืออย่างต่อเนื่อง ของพวกโจรสลัด เหล่าแม่ทัพมองโกลจึงสั่งให้ใช้โซ่ล่ามเรือไว้เป็นกลุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้เรือลำใดลำหนึ่งถูกลอบโจมตี

กลางดึกของคืน วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ.1281ขณะที่ทัพเรือมองโกลตั้งค่ายอยู่ที่เกาะทากาชิ พวกซามูไรญี่ปุ่นได้ลอบขึ้นเกาะ และปล้นค่ายของฝ่ายมองโกลโดยพวกซามูไรได้บุกเข้าไปถึงกองบัญชาการ ทำให้พวกแม่ทัพต้องหนีกลับลงไปพักในกองเรือ

และในวันที่ 15 สิงหาคม ก็เกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำเกาะทากาชิ ทัพเรือมองโกลโดนพายุทำลายยับเยินเรือรบเกือบ 4,000 ลำ จมลงพร้อมกับทหารร่วมแสนนาย ส่วนพวกทหารที่หนีขึ้นฝั่งได้ ก็ถูกจับเป็นเชลยจนเกือบหมด

พวกซามูไรจับเชลยได้เกือบสามหมื่นคน เชลยที่เป็นชาวมองโกล เกาหลี และชาวจีนจากภาคเหนือ ได้ถูกพวกซามูไรตัดศีรษะจนหมด ส่วนเชลยที่เป็นชาวจีนจากภาคใต้ ได้รับการไว้ชีวิตและถูกใช้เป็นแรงงาน

สงครามครั้งนี้ จักรวรรดิมองโกลต้องสูญเสียทหารไปกว่า 130,000 นาย และต้องถอนทัพกลับจีนอย่างยับเยิน โดยชาวญี่ปุ่นเรียกลมพายุที่ปกป้องประเทศญี่ปุ่นจากการรุกรานของกองทัพมองโกลทั้งสองครั้ง ว่า ลมเทพเจ้า หรือ กามิกาเซ่

แม้จะพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง แต่กุบไลข่านก็ยังทรง คิดจะบุกญี่ปุ่นอีก ทว่าได้เกิดสงครามในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งเหล่าเสนาบดียังพากันกราบทูลว่า หากการบุกญี่ปุ่นครั้งที่สาม ลงเอยเหมือนกับสองครั้งที่ผ่านมา ก็เป็นได้ว่า การคลังของจักรวรรดิคงล่มสลาย ซึ่งด้วยสาเหตุเหล่านี้ ได้ทำให้กุบไลข่านจำต้องยกเลิกแผนบุกญี่ปุ่น จากนั้น ญี่ปุ่นก็ไม่เคยมีกองกำลังต่างชาติมาคุกคามอีกเลยจนถึงศตวรรษที่ 19

การรุกรานของมองโกลได้เปิดโลกใหม่สำหรับเหล่าซามูไร รูปแบบการรบแบบเดิม ที่เน้นการเอาชัยชนะอย่างมีศักดิ์ศรี ได้เปลี่ยนเป็นการมุ่งเน้นทำลายล้างกำลังฝ่ายข้าศึกอย่างไม่เลือกวิธีการ นอกจากนี้ การรุกรานของมองโกล ยังทำให้ชาวญี่ปุ่น ได้เรียนรู้ถึงอานุภาพของดินปืน ทั้งยังมีการพัฒนาอาวุธทั้ง ดาบและธนู ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ในขณะเดียวกัน ชัยชนะเด็ดขาดเหนือกองทัพของจักรวรรดิมองโกลถึงสองครั้ง ก็ทำให้ชื่อเสียงความเหี้ยมหาญ กล้าแกร่งของนักรบชาวญี่ปุ่นเป็นที่เลืองลือในแผ่นดินจีนและคาบสมุทรเกาหลี

อย่างไรก็ตาม การรุกรานของมองโกลทั้งสองครั้งก็ทำให้รัฐบาลคามาคุระ ต้องเก็บภาษีอย่างหนักเพื่อนำมาใช้จ่ายในการศึก อีกทั้ง ยังไม่ได้ทรัพย์สินและที่ดินของข้าศึก มาชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป ทั้งยังทำให้เหล่าขุนศึกท้องถิ่นที่เข้าร่วมรบ ไม่ได้รับรางวัลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งขุนศึกเหล่านี้ บางส่วนได้ไปเข้าร่วมกับโจรสลัด ทำให้พวกโจรสลัดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและส่งผลเสียต่อการค้าทางทะเล จนกระทบฐานะการคลังของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นความเสื่อมของรัฐบาลคามาคูระ ในเวลาต่อมา

*******************************************
******************************************

 

สิ้นแล้ว "หลวงปู่บุดดา ปัญญาธโร"
เจ้าอาวาสวัดป่าใต้พัฒนาราม เกจิ 6 แผ่นดิน สิริอายุ 111 ปี
.
เมื่อเวลา 10.45 น.วันนี้ (13 ธ.ค.) หลวงปู่บุดดา ปัญญาธโร เจ้าอาวาสวัดป่าใต้พัฒนาราม ต.โนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ได้มรณภาพอย่างสงบภายในกุฏิ สิริอายุรวม 111 ปี ส่งผลให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันเดินทางมารวมตัวที่วัด เพื่อเตรียมจัดพิธีพระราชทานน้ำหลวง ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ธ.ค.นี้
.
ทั้งนี้ “หลวงปู่บุดดา ปัญญาธโร” นับเป็นเกจิที่อายุยืนยาวถึง 6 แผ่นดิน รวม 111 ปี พระเถระผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา งดงามด้วยปฏิปทาจริยาวัตร เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เป็นสหธรรมิกของ "หลวงปู่ทวน ปุสสวโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดจันทคุณาราม (วัดโป่งยาง) อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี
.
หลวงปู่บุดดา กล่าวว่า เคยนิมิตร่วมกันว่าเป็นพี่น้องกัน เคยร่วมกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาด้วยกันหลายวัดในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว และจันทบุรี
.
กระแสความศรัทธานิยมเป็นที่ปรากฏอย่างกว้างขวาง เมื่อหลวงปู่บุดดา ได้รับนิมนต์ไปนั่งปรกอธิษฐานจิตในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลพระครูวิมุติธรรมาภิรม หรือ “หลวงพ่อส่วน ปริมุตโต” ณ วัดหนองคล้า ต.บึง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2559 โดยมีพระพรหมมังคลาจารย์ “ท่านเจ้าคุณธงชัย” วัดไตรมิตรวิทยาราม (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี ) เป็นประธาน
.
ในพิธีครั้งนั้น หลวงปู่บุดดา มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ได้รับความสนใจจากหมู่คณะศรัทธาประชาชนที่ได้กราบนมัสการพระเกจิคณาจารย์ที่ทรงพรรษากาล พรรษาธรรมสูง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้การพูดคุยด้วยเมตตาธรรมแก่ผู้เลื่อมใสศรัทธาที่เข้าแถวต่อคิวให้เจิมหน้าผาก ลงกระหม่อมเพื่อความเป็นสิริมงคล
.
หลวงปู่บุดดา เกิดปี พ.ศ.2454 อายุอ่อนกว่าหลวงปู่โสฬส ยโสธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกอู่ทอง จ.ปราจีนบุรี 3 เดือน โดยหลวงปู่โสฬสเกิดปีมะโรงต้นปี ส่วนหลวงปู่บุดดา เกิดปีมะเส็งต้นปี และไปแจ้งเกิดช้า แต่ถ้าเทียบจากปีเกิดดังกล่าว หลวงปู่บุดดา จะมีอายุครบ 108 ปี (พ.ศ.2562) ที่สำคัญ ในงานทำบุญฉลองอายุวัฒนมงคล 107 ปี เมื่อปี พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา ระบุวันที่ 20 ก.ค.2561 ซึ่งน่าจะเป็นวันเกิดที่แท้จริงของท่าน
.
นับเป็นพระเกจิอาวุโสที่มีความเมตตาธรรมบารมีสูงส่ง ใบหน้าของท่านมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ท่านวางตนแบบเรียบง่าย ฉันอาหารแบบบ้านๆ เช่น น้ำพริก ผักต้ม ผักสด มักน้อย ชอบชีวิตสันโดษ ไม่นิยมสะสมข้าวของ ปัจจัยไทยทานต่างๆ ครองอัธยาศัยมั่นคงอยู่ในธรรมวินัย มีความงดงามในวัตรปฏิบัติแม้เข้าสู่วัยชรา แต่ท่านยังออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ลงทำวัตรเจริญพระพุทธมนต์ทั้งเวลาเช้าและเย็นอย่างเคร่งครัด
.
วัตถุมงคลยอดนิยมของหลวงปู่บุดดา เช่น เหรียญรุ่นแรก รูปหล่อ พระขุนแผน พระสมเด็จ ล็อกเก็ต พระปิดตา เหรียญมังกรเสาร์ 5 เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์ เหรียญพญาเต่าเรือน เหรียญเจริญพร กล่าวขานกันว่าดีทางเมตตามหานิยม
.
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2565 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณฯ รัชกาลที่ 10 มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะ หลวงปู่บุดดา ปญญาธโร เป็น "พระราชมงคลวชิราทร บวรธรรมทานประสิทธิ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี" เป็นพระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ ป่าใต้พัฒนาราม
.
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 นับเป็นความปลื้มปีติอย่างยิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ ถวายรถไฟฟ้าพระราชทานแด่หลวงปู่บุดดา เพื่อใช้ในการออกรับบิณฑบาต และใช้ภายในวัด
.
พระสมเด็จ 111 ปี หลวงปู่บุดา เป็นผลงานการรังสรรค์ "ทีมพี่เสือ" นำโดย "ป้อม สกลนคร" เเละ "นิภัทร์ สมาร์ทอิมเมจ" สร้างสรรค์ทุกครั้งต้องเป็นตำนาน เพื่อเผยเเผ่บารมีหลวงปู่บุดดา ให้คนทั้งโลกได้รู้จักพระผงดีๆ ของไทยภายใต้แนวคิดที่ว่า "งานของเรา" ใส่หัวใจ ใส่ความคิด ใส่จิตวิญาณ
.
#หลวงปู่บุดดา_ปัญญาธโร #วัดป่าใต้พัฒนาราม #มรณภาพ #เกจิ