ถ้าพูดถึงคำว่า “เงินปันผลจากกองทุนรวม” และ “กำไรจากการขายกองทุนรวม” ขึ้นมา ผมเชื่อว่าทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นสิ่งที่ใครหลายคนที่ตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมคาดหวังว่าจะได้รับ หรือเรามักจะเรียกรวม ๆ ว่า “ผลตอบแทนจากการลงทุน” นั่นเอง “เงินปันผล” และ “กำไรจากการขาย” ที่นักลงทุนได้รับจากกองทุนรวมแต่ก่อนที่จะอธิบายในประเด็นที่เกี่ยวข้องในเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวม ผมขอชวนทุกคนมาเริ่มต้นจากนิยามผลตอบแทนจากการลงทุนทั้ง 2 ตัวที่ว่านี้ให้ชัดเจนกันก่อนครับ นั่นคือ เงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวม หมายถึง ส่วนแบ่งกำไรที่เกิดขึ้นจากความสามารถในการดำเนินงานของกองทุนรวมนั้น ๆ โดยแบ่งจ่ายให้กับนักลงทุนในแต่ละคราวตามนโยบายการจ่ายปันผลของกองทุนรวม ซึ่งจะต้องมีการระบุนโยบายการจ่ายเงินปันผลนี้ไว้ในหนังสือชี้ชวนครับ กำไรจากการขายกองทุนรวม หรือ กำไรจากการขายหน่วยลงทุน หมายถึง ส่วนเกินที่เราได้รับจากการลงทุนในกองทุนรวม โดยจะเกิดขึ้นเมื่อกองทุนรวมมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิมากขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนของเรามากขึ้นตามไปด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่นนายบักหนอมซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม TAXBugnoms (ที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล) ไว้จำนวน 10,000 บาท ในราคา 10 บาทต่อหน่วย (คิดเป็นหน่วยลงทุนทั้งสิ้น 1,000 หน่วย) เมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าของกองทุนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 11 บาทต่อหน่วย (คิดเป็นมูลค่า 11,000 บาท) ถ้าหากนายบักหนอมตัดสินใจขายหน่วยลงทุนทั้งหมดทันที แบบนี้เท่ากับว่านายบักหนอมจะมีกำไรจากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมจำนวน 1,000 บาท หรือ กำไร 1 บาทต่อหน่วยนั่นเอง แต่ถ้าหากนายบักหนอมตัดสินใจถือต่อไปโดยที่ไม่ขาย แต่รอจนกว่ากองทุนรวม TAXBugnoms ประกาศจ่ายเงินปันผลจำนวน 0.5 บาทต่อหน่วยลงทุนแทน แบบนี้นายบักหนอมจะได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมจำนวน 500 บาทนั่นเองครับ อย่างไรก็ดี ถ้าหากกองทุนรวม TAXBugnoms เป็นกองทุนที่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ย่อมแปลว่านายบักหนอมจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนทางเดียว คือ กำไรจากการขายหน่วยลงทุน นั่นเองครับ นี่คือความหมายเบื้องต้นของผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนจากการลงทุนแบบนี้ ย่อมถือเป็นเงินได้ของนายบักหนอม แต่จะเสียภาษีหรือไม่และจะเสียแบบไหนยังไงนั้น ย่อมอยู่ที่หลักการของกฎหมายในการคิดภาษีที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมนี่แหละครับ ภาษีที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมเมื่อเราแยกผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุนรวมออกเป็น 2 ประเภทเรียบร้อยแล้ว เราจะมาพิจารณาในส่วนของภาษีกันบ้างครับ โดยผมขอย้ำหลักการที่สำคัญของเงินได้ที่ใช้คำนวณภาษีสั้นๆ อีกทีหนึ่งว่า เงินได้จะต้องเสียภาษีก็ต่อเมื่อกฎหมายไม่ได้ให้สิทธิยกเว้นไว้ ซึ่งแต่ละตัวนั้นมีแนวทางดังนี้ครับ เงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวมโดยปกติแล้วเมื่อได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวม เราจะถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินปันผลที่กองทุนจ่ายทันที อย่างเช่นตัวอย่างก่อนหน้านี้ ถ้าหากนายบักหนอมได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวม TAXBugnoms จำนวน 0.5 บาทต่อหน่วยลงทุน แปลว่านายบักหนอมจะได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมจำนวน 500 บาท แต่จะถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ 50 บาท และได้เงินสุทธิ คือ 450 บาท ทางเลือกในการเสียภาษีเมื่อได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมเมื่อได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวม นักลงทุนจะมีทางเลือก 2 ทางครับ นั่นคือ เลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วจบไว้ (เรียกว่า Final TAX) และไม่ต้องนำมายื่นคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี หรือ นำมายื่นคำนวณภาษีเงินได้ประจำปีและนำภาษีเงินได้ที่ถูกหักไว้มาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้ อย่างเช่นตัวอย่างเมื่อกี้ (อีกแล้ว) นายบักหนอมจะเลือกเสียภาษี 50 บาทและได้เงินสุทธิ 450 บาทแล้วไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม หรือจะเลือกนำเงินปันผลจำนวน 500 บาทไปยื่นคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี เมื่อได้จำนวนภาษีเท่าไรก็ให้เอา 50 บาทที่ถูกหักไว้มาหักออกแล้วจ่ายเพิ่มหรือขอคืนส่วนที่เหลือนั่นเอง ซึ่งในแต่ละทางเลือกนั้น ต้องพิจารณาจาก ประเภทของกองทุนรวม ที่มีการจ่ายเงินปันผลนั่นเองครับ ประเภทกองทุนรวมกับสิทธิในการเลือกเสียภาษีเนื่องจากกฎหมายมีกำหนดสิทธิประโยชน์ให้กับกองทุนรวมแต่ละประเภทแตกต่างกัน และในปัจจุบัน พระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฏากรฉบับที่ 52 ได้แก้ไขให้กองทุนรวมเกือบทั้งหมดในประเทศไทยมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อมีการจ่ายเงินปันผลจากกองทุนรวม ผู้ที่ได้รับเงินปันผลจะต้องถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4)(ข) แทนประเภท 40(8) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป จากการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ส่งผลให้สิทธิในการเลือกเสียภาษีของกองทุนรวมนั้นมีสถานะเทียบเท่ากับการเป็นไปตามมาตรา 48(3) วรรคท้ายที่ให้สิทธิในการเลือกจ่ายแล้วจบแบบ Final TAX เหมือนกับเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นนั่นเองครับ ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยจะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) ที่ได้รับ จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะ ของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม แต่อย่างไรก็ดี ยังมีกองทุนรวมอีกประเภทหนึ่งที่นักลงทุนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเมื่อได้รับเงินปันผล นั่นคือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund หรือ IF) ที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินปันผลเป็นเวลา 10 ปีภาษี นับตั้งแต่ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนตั้งกองทุนรวม และค่อยกลับมาหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เหมือนกับกองทุนรวมตามปกติเมื่อเข้าสู่ปีที่ 11 เป็นต้นไป ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ใครที่เริ่มงง ผมมีสรุปให้ดูตามตารางด้านล่างนี้ครับ ตารางสรุปทางเลือกเงินปันผลที่ได้รับ |