วิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน powerpoint

The Evolution of Thai Drama
The Evolut-iวิoวัฒnนoากfารT-hai Drama

ละครไทยThe Evolution
of Thai Drama

The Evolution of Thai Drama
The Evolution of Thai Drama

สสมมััยยนน่่าานนเเจจ้้าา

การศึกษาเรื่องการละครและนาฏศิลป์ไทยในสมัยนี้ พบว่า
ไทยมีนิยายเรื่องหนึ่งคือ “นามาโนห์รา (Namanora)”

ส่วนการละเล่นของไทยน่านเจ้านั้นมีพวกระบำอยู่แล้ว
คือ ระบำหมวก และระบำนกยูง

สสมมััยยสสุุโโขขททััยย

เป็นสมัยที่เริ่มมีความสัมพันธ์กับชาติที่นิยมอารยธรรมของอินเดีย
เช่น พม่า มอญ ขอม และละว้า ได้มีการกำหนดแบบแผนแห่งศิลปะ

การแสดงทั้ง 3 ชนิดไว้เป็นที่แน่นอน และบัญญัติคำเรียกศิลปะ
แห่งการแสดงดังกล่าวแล้วขั้นต้นว่า

“โขน ละคร ฟ้อนรำ”

สมัยอยุธยา

ละครชาตรี ละครนอก ละครใน

สมัยกรุงธนบุรี

ในสมัยนี้หลังจากเสียกรุงแก่พม่า ตัวละครและ
บทละครในสมัยอยุธยาได้สูญหายไปเป็นจำนวนมาก

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้พระราชนิพนธ์
บทละครในเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีกได้ 5 ตอน

หหนนุุมมาานนเเกกีี้้ยยววนนาางงววาานนรริินน

ทท้้าาววมมาาลลีีววรราาชชวว่่าาคคววาามม

ททศศกกััณณฑฑ์์ตตัั้้งงพพิิธธีีททรราายยกกลลดด ((เเผผาารรููปปเเททววดดาา))

พพรระะลลัักกษษณณ์์ถถููกกหหออกกกกบบิิลลพพััทท

ปปลล่่ออยยมม้้าาออุุปปกกาารร

สมัย
รัตนโกสินทร์

รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

ทรงรวบรวมตำราฟ้อนรำและมีบทละครปรากฏขึ้น
ตามหลักฐาน 4 เรื่อง ได้แก่ "รามเกียรติ์ อิเหนา อุณรุท ดาหลัง"

#รามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 "มีต้นฉบับสมบูรณ์ที่สุด"

รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

เป็นยุคทองที่วรรณคดีและการละครเจริญรุ่งเรืองที่สุด
มีการพัฒนาละครนอก และพระองค์ยังพระราชนิพนธ์
บทละครอีกหลายเรื่อง โดยพระราชนิพนธ์ เรื่อง "อิเหนา"
ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า
"เป็นสุดยอดละครรำ"

รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกละครหลวงผู้หญิง
โขน ละครภายในวังซบเซา
ในสมัยนี้จึงเกิดคณะละครต่างๆ ของเอกชนขึ้นมากมาย

รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัว

มีการฟื้นฟูละครหลวง
ให้กลับมามีโขน ละคร
มีการบัญญัติข้อห้ามในการแสดงที่ไม่ใช่ละคร
หลวงทั้งหมด 6 ข้อ เนื่องจากละครได้แพร่หลาย
สู่ประชาชนมากขึ้น เพราะทรงไม่ปิดกั้น
ประกาศกฏหมายภาษีมหรสพ เรียกว่า
"ภาษีโขนละคร" (ทำเป็นธุรกิจ เก็บค่าเข้าชม)

"การบัญญัติข้อห้ามในการแสดงละครที่มิใช่ละครหลวง"
1. ห้ามฉุดบุตรชาย-หญิง ผู้อื่นมาฝึกหัดละคร
2. ห้ามใช้รัดเกล้ายอดเป็นเครื่องประดับศีรษะ
3. ห้ามใช้เครื่องประกอบการแสดงที่เป็นพานทองหีบทอง
4. ห้ามใช้เครื่องประดับลงยา
5. ห้ามเป่าแตรสังข์
6. หัวช้างที่เป็นอุปกรณ์การแสดงห้ามใช้สีเผือก ยกเว้นช้าง
เอราวัณ

รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

มีการยกเลิกกฏหมายภาษีมหรสพ อีกทั้งในสมัยนี้เป็นสมัย
ที่การละครไทยมีวิวัฒนาการขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งเนื่องจากได้รับ
อิทธิพลของชาติตะวันตก ละครหลวงเปลี่ยนมาจัดแสดงแบบ
เอกชนมากขึ้น ได้กำเนิด "ละครดึกดำบรรพ์" "ละครพันทาง"
รวมถึง "ละครร้อง" และ "ละครพูด" ขึ้นอีกด้วย

ละครพันทาง
ละครดึกดำบรรพ์

ละครร้อง
ละครพูด

รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในสมัยนี้เป็นสมัยที่โขน ละคร ปี่พาทย์ ดนตรี
มีความเจริญถึงขีดสุด ถือเป็นยุคทองของโขนละคร
ยุคที่ 2 พระองค์ทรงเป็นพระราชาแห่งศิลปินได้ทรงโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดโขน ละคร ดนตรี ปี่พาทย์
และตั้งกรมมหรสพดูแลกิจการโขน ละคร ดนตรี

รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

เป็นยุคที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ให้ยกเลิกกรมมหรสพ
เพราะ บ้านเมืองเกิดภาวะคับขัน เศรษฐกิจตกต่ำ และมี
การให้กลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ.2478 อยู่ในสังกัดของ
"กรมศิลปากร"

รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระอัฐมรามาธิบดินทร

เกิดละครแบบใหม่ที่เรียกว่า "ละครหลวงวิจิตรวาทการ"
มีจุดมุ่งหมาย เพื่อ ปลุกใจปลุกฝังให้คนรักชาติ ส่งเสริม
ทำนุบำรุง สร้างแรงจูงใจให้คนหันมาสนใจนาฏศิลป์
รัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงครามได้มอบหมายให้กรมศิลปากร
สร้างรำวงมาตรฐานขึ้น
รวมถึงมีการฟื้นฟูท่ารำเพลงแม่บทใหญ่

รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

นาฏศิลป์และการละครอยู่ใต้การดูแลของ รัฐบาล
คือ กระทรวงวัฒนธรรม
การละครไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบวิชาการ
มีสถาบันเปิดสอนการละครมากขึ้น
พระราชทานพิธีไหว้ครู เชิดชูเกียรติบุคคลในวงการศิลปะ
การแสดง
พระองค์เองได้มีการพระราชนิพนธ์ เพลง "กินรีสวีท"

We’ve updated our privacy policy so that we are compliant with changing global privacy regulations and to provide you with insight into the limited ways in which we use your data.

You can read the details below. By accepting, you agree to the updated privacy policy.

Thank you!

View updated privacy policy

We've encountered a problem, please try again.

1. วิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทย 

นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะประจำชาติที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน และมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามยุคสมัย จนกระทั้งพัฒนามาเป็นนาฏศิลป์ระดับมาตรฐานที่มีแบบแผน และเป็นเอกลักษณ์ของไทย

๑.๑ สมัยสุโขทัย

            เป็นการแสดงประเภทระบำ รำ ฟ้อน  มีวิวัฒนาการมาจากการละเล่นของชาวบ้าน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจหลังจากเสร็จงาน หรือแสดงในงานบุญ งานรื่นเริงประจำปี  ปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วงฉบับพระมหาราชาลิไทว่า “บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อน ระบำบันลือ” แสดงให้เห็นรูปแบบของนาฏศิลป์ที่ปรากฏในสมัยนี้ คือ เต้น รำ ฟ้อน และระบำ

๑.๒ สมัยอยุธยา

            ได้พัฒนาการแสดงในรูปแบบของละครรำ นับเป็นต้นแบบของละครรำแบบอื่นๆต่อมา คือ ละครชาตรี ละครนอก และละครใน สำหรับละครในเป็นละครผู้หญิง แสดงเฉพาะในราชสำนัก ในราชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนิยมแสดงเรื่อง นิเหนา ซึ่งเจ้าพินทวดีได้สืบทอดท่ารำต่อมาจนถึงสมัยธนบุรี

            สมัยธนบุรีมีละครรำของหลวงที่มีผู้หญิงและผู้ชายแสดง และมีละครผู้หญิงของเจ้านครศรีธรรมราชส่วนนาฏศิลป์ที่เป็นการแสดงเพื่อสมโภชพระแก้วมรกต มีทั้งโขน ละครรำ ระบำ และมหรสพต่างๆ

๑.๓ สมัยรัตนโกสินทร์

            สมัยรัตนโกสินทร์ ระบำและรำมีความสำคัญต่อราชพิธีต่างๆ ในรูปแบบของพิธีกรรม โดยถือปฏิบัติเป็นกฎมณเฑียรบาลมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (สมัยรัชกาลที่1 – รัชกาลที่ 4 )

            รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดรวบรวมตำราฟ้อนรำ และเขียนภาพท่ารำแม่บทบันทึกไว้เป็นหลักฐาน มีการพัฒนาโขนเป็นรูปแบบละครใน มีการปรับปรุงระบำสี่บท ซึ่งเป็นระบำมาตรฐานตั้งแต่สุโขทัย ในสมัยนี้ได้เกิดนาฏศิลป์ขึ้นมาหลายชุด เช่น  ระบำเมขลา-รามสูร ในราชนิพนธ์รามเกียรติ์

            ราชสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  เป็นยุคของนาฏศิลป์ไทย เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงโปรดละครรำ ท่ารำงดงามตามประณีตแบบราชสำนัก มีการฝึกหัดทั้งโขน ละครใน ละครนอกโดยได้ฝึกผู้หญิงให้แสดงละครนอกของหลวงและมีการปรับปรุงเครื่องแต่งกายยืนเครื่องแบบละครใน

            รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ยกเลิกละครหลวง ทำให้นาฏศิลป์ไทยเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ประชาชน และเกิดการแสดงของเอกชนขึ้นหลายคณะ ศิลปินที่มีความสามารถสืบทอดการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่เป็นแบบแผนกันต่อมา

            รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีละครรำผู้หญิงในราชสำนักตามเดิมและในเอกชนมีการแสดงละครผู้หญิงและผู้ชาย ในสมัยนี้มีบรมครูทางนาฏศิลป์ ได้ชำระพิธีโขนละคร ทูลเกล้าถวายตราไว้เป็นฉบับหลวง และมีการดัดแปลงการำเบิกโรงชุดประเริงมาเป็น รำดอกไม้เงินทอง

            รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้มีทั้งอนุรักษ์และพัฒนานาฏศิลป์ไทยเพื่อทันสมัย  เช่น  มีการพัฒนาละครในละครดึกดำบรรพ์ พัฒนาละครรำที่มีอยู่เดิมมาเป็นละครพันทางและละครเสภา และได้กำหนดนาฏศิลป์เป็นที่บทระบำแทรกอยู่ในละครเรื่องต่างๆ เช่น ระบำเทวดา- นางฟ้า ในเรื่องกรุงพาณชมทวีป ระบำตอนนางบุษบากับนางกำนันชมสารในเรื่องนิเหนา ระบำไก่ เป็นต้น

            รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นศิลปะด้านนาฏศิลป์ เจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์โปรดให้ตั้งกรมมหรสพขึ้น มีการทำนุบำรุงศิลปะทางโขน ละคร และดนตรีปี่พาทย์ ทำให้ศิลปะทำให้มีการฝึกหัดอย่างมีระเบียบแบบแผน และโปรดตั้งโรงเรียนฝึกหัดนาฏศิลป์ในกรมมหรสพ นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับปรุงวิธีการแสดงโขนเป็นละครดึกดำบรรพ์เรื่องรามเกียรติ์และได้เกิดโขนบรรดาศักดิ์ที่มหาดเล็กแสดงคู่กับโขนเชลยศักดิ์ที่เอกชนแสดง

            รัชสมัยสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หั โปรดให้มีการจัดตั้งศิลปากรขึ้นแทนกรมมหรสพที่ถูกยุบไป ทำให้ศิลปะโขน ละคร ระบำ รำ ฟ้อน ยังคงปรากฏอยู่ เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาสืบต่อไป

            รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีของกรมศิลปาการ ได้ก่อตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ขึ้นมา เพื่อปกกันไม่ให้ศิลปะทางด้านนาฏศิลป์สูญหายไป

            ในสมัยนี้ได้เกิดละครวิจิตร ซึ่งเป็นละครปลุกใจให้รักชาติ และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนไทยหันมาสนใจนาฏศิลป์ไทย และได้มีการตั้งโรงเรียนนาฏศิลป์แทนโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ซึ่งถูกทำลายตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเป็นสถานศึกษานาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ของทางราชการ และเป็นการทุบำรุง เผยแพร่นาฏศิลป์ไทยให้เป็นที่ยกย่องนานาอารยประเทศ

            รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช นาฏศิลป์ ละคร ฟ้อน รำ ได้อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล ได้มีการส่งเสริมให้ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยคิดประดิษฐ์ท่ารำ ระบำชุดใหม่ ได้แก่ ระบำพม่าไทยอธิษฐาน

            ปัจจุบันได้มีการนำนาฏศิลป์นานาชาติมาประยุกต์ใช้ในการประดิษฐ์ท่ารำ รูปแบบของการแสดง มีการนำเทคนิคแสง สี เสียง เข้ามาเป็นองค์ประกอบในการแสดงชุดต่างๆ ปรับปรุงลีลาท่ารำให้เหมาะสมกับฉาก บนเวทีการแสดงมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทั้งระบบม่าน ฉาก  แสง ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มีระบบเสียงที่สมบูรณ์ มีเครื่องฉายภาพยนตร์ประกอบการแสดง และเผยแพร่ศิลปกรรมทุกสาขานาฏศิลป์ และสร้างนักวิชาการและนักวิจัยในระบบสูง โดยมีการเปิดสอนนาฏศิลป์ไทยในระดับปริญญาเอกอีกหลายแห่ง