การที่กษัตริย์มาเลเซียสั่งให้ราษฎรนับถือศาสนาอิสลาม

ที่มาเลเซีย ศาลฎีกายกเลิกคำสั่งห้ามของรัฐบาล ที่ห้ามผู้ที่มิได้เป็นมุสลิมใช้คำว่า "พระอัลลาห์" แทนคำว่า "พระผู้เป็นเจ้า" ผู้ที่เห็นด้วยกับคำสั่งห้ามดังกล่าว เถียงว่าชาวคริสต์ใช้คำว่า "พระอัลลาห์" อาจทำให้เกิดความสับสน และทำให้มีการเปลี่ยนศาสนาในหมู่ชาวมุสลิม

ศาลฎีกามาเลเซียวินิจฉัยว่า สิ่งพิมพ์ของฝ่ายคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอลิก สามารถใช้คำว่า "พระอัลลาห์" ได้ และว่ากระทรวงมหาดไทยมาเลเซีย ทำไม่ถูก ที่ห้ามสิ่งพิมพ์ของฝ่ายคริสต์ศาสนานิการโรมันคาธอลิก ไม่ให้ใช้คำดังกล่าว สิ่งพิมพ์หลักของฝ่ายคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอลิก ในมาเลเซียชื่อ "The Herald" เป็นแกนนำในการต่อสู้กับคำสั่งห้ามดังกล่าวในศาล และเป็นเสมือนตัวแทนของกลุ่มศาสนา และกลุ่มในประชาคมหลายหลาก

เห็นได้ชัดว่า ทางการมาเลเซียห้ามใช้คำว่า "พระอัลลาห์" เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด และความสับสนในหมู่ชาวมุสลิม

บาทหลวงลอเรนซ์ แอนดรู บรรณาธิการของสิ่งพิมพ์ฉบับนั้นกล่าวว่า คำว่า "พระอัลลาห์" นั้น เป็นส่วนหนึ่งในคำสอนของศาสนาตามวงการชาวคริสต์ในมาเลเซีย 370 กว่าปีแล้ว

บาทหลวงลอเรนซ์ แอนดรู กล่าวด้วยว่า พวกมุสลิมในคณะรัฐบางกำลังพยายามเพิ่มพูนอิทธิพลของพวกเขา โดยการพยายามอ้างสิทธิของศาสนาอิสลามเหนือกลุ่มเชื้อชาติ และศาสนาอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของมาเลเซีย ท่านบาทหลวงกล่าวว่า เรามิได้คำนึงถึงเรื่องภาาาอย่างเดียวในเรื่องนี้ แต่ยังคำนึงถึงมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของชาวคริสต์ ซึ่งโดนท้าทายในการห้ามเราใช้คำว่า "พระอัลลาห์" นี้

ในหมู่ประชากรในมาเลเซียนั้น ร้อยละเกือบ 60 เป็นชนเชื้อสายมลายู และเป็นมุสลิม ประชากรส่วนที่เหลือนั้น จะเป็นชนเชื้อสายจีน และอินเดียจำนวนไม่น้อยทีเดียว คนเหล่านั้นส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ หรือไม่ก็ศาสนาฮินดู

ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ร้องเรียนว่าสิทธิที่จะนับถือศาสนาใดๆ ได้อย่างเสรี ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น โดนรัฐบาลซึ่งประกอบด้วยคนที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่คุกคาม แต่รัฐบาลมาเลเซียปฏิเสธว่า มิได้มีการเลือกปฏิบัติใดๆ

บาทหลวงลอเรนซ์ แอนดรู กล่าวว่า การที่ศาสนาใดๆ จะก้าวเข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงกิจการภายใน ของศาสนาอื่นๆ อย่างเช่นฝ่ายมุสลิมกลุ่มต่างๆ พยายามให้ผู้นับถือศาสนาอื่นๆ หันมานับถือศาสนาอิสลาม ฑฤติกรรมแบบนั้น รัฐธรรมนูญระบุว่าเป็นปัญหา และว่า มีชาวมาเลย์มาหาท่าน และบอกว่าต้องการนับถือศาสนาคริสต์ และขอให้ช่วยทำพิธีล้างบาปให้ ท่านบาทหลวงจะตอบไปว่า ท่านไม่สามารถช่วยทำพิธีล้างบาปรับศีลให้ได้ เนื่องจากกฏหมายของประเทศ จึงไม่สามารถเปลี่ยนศาสนาให้ได้ กฏหมายที่ว่านี้ ใช้บังคับในมาเลเซียมา 50 ปีแล้ว และเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ และท่านบาทหลวงไม่สามารถทำสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้ได้

ในระยะไม่กี่ปีมานี้ ชื่อเสียงในเรื่องการถือขันติอดกลั้นด้านสาสนาของมาเลเซีย มัวหมองไป

มีการยึดพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เป็นภาษามลายู อีกทั้งยังมีเสียงอ้างว่า มีการบังคับให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

ภายหลังเหตุการณ์ 11 กันยายนในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายใน เพื่อควบคุมตัวมุสลิมหัวรุนแรงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลตะวันตก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลสหรัฐ) ลดการวิพากษ์วิจารณ์มาเลเซียลง

ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์
อาจารย์ประจำภาควิชามนุษยศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สมัยสุลต่านมัลโมชาห์ที่มีความศรัทธาในศาสนาอิสลาม ได้สั่งให้ทหารทำลายศาสนาสถาน พระพุทธรูป รูปเคารพทั้งของพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์จนหมดสิ้น แล้วให้ราษฎรหันมาเข้ารีตนับถือศาสนาอิสลามตามพระองค์ การกระทำในครั้งนี้ส่งผลให้พระพุทธศาสนานิกายมหายานเสื่อมสิ้นลง และศาสนาอิสลามได้กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศมาเลเซียจนถึงปัจจุบัน

2

การที่กษัตริย์มาเลเซียสั่งให้ราษฎรนับถือศาสนาอิสลาม

newnyy เกือบ 4 ปีที่แล้ว

ขอบคุณมากนะคะ🙏🏻

0

แสดงความคิดเห็น