วงปี่พาทย์ วงปี่พาทย์ เป็นวงดนตรีที่เกิดจากการประสมวงกัน ระหว่างเครื่องดนตรีประเภท
ประวัติ
โอกาสในการนำวงปี่พาทย์เครื่องห้าไปใช้ ดนตรีไทย Posted: กันยายน 27, 2012 in Uncategorized ดนตรีไทยมีกำเนิดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งจากการสันนิษฐานของผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีและประวัติศาสตร์ ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการกำเนิดหรือที่มาของดนตรีไทย ดังนี้ แนวคิดที่ 1 สันนิษฐานว่า ดนตรีไทยได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เนื่องจากอินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดนี้ คือ ลักษณะของเครื่องดนตรีไทยได้จำแนกได้ใกล้เคียงกับลักษณะเครื่องดนตรีของอินเดียตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ “สังคีตรัตนากร” บุคคลสำคัญที่เป็นผู้เสนอแนวทางนี้ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชา- นุภาพ แนวคิดที่ 2 สันนิษฐานว่า ดนตรีไทยเกิดมาจากความคิดและสติปัญญาของคนไทยที่มีพร้อมกับคนไทยตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนแล้ว สังเกตจากการที่เครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะมีชื่อเรียกเป็นคำโดด ซึ่งเป็นลักษณะของคำไทยแท้ เช่นฉิ่ง ฉาบ ปี่ เป็นต้น ต่อมาภายหลังจึงได้รับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมแบบอินเดีย มอญ เขมร และรับดนตรีบางอย่างของประเทศเพื่อนบ้านมาใช้เล่นในวงดนตรีไทยด้วย เช่น – กลองแขก ปี่ชวา ของชวา (อินโดนีเซีย) – เปิงมาง ปี่มอญ ตะโพนมอญและฆ้องมอญ ของมอญ – กลองยาว ของพม่า นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีนและได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงถือเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ไทย จากหลักฐานต่างๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้ถูกนำมาใช้อ้างอิงในเรื่องวิวัฒนาการของดนตรีไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ สมัยสุโขทัย ดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง สันนิษฐานว่า วงดนตรีสมัยสุโขทัย น่าจะมีดังนี้ 1. วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลง 1 คน ทำหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย 2. วงขับไม้ มีผู้บรรเลง 3 คน 3. วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่องห้า มี 2 ชนิดคือ วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา ใช้บรรเลงประกอบละครชาตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรี คือ ปี่ กลองชาตรี ทับ(โทน) ฆ้องคู่ ฉิ่ง วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีหรือการแสดงมหรสพต่างๆ ประกอบ ด้วยเครื่องดนตรี คือ ปี่ใน ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง 4. วงมโหรี เป็นการนำวงบรรเลงพิณผสมกับวงขับไม้ มีผู้บรรเลง 4 คน สมัยกรุงศรีอยุธยา วงดนตรีไทยในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นมากกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ 1. วงปี่พาทย์ วงปี่พาทย์เครื่องห้ามีระนาดเอกเพิ่มขึ้นมา 2. วงมโหรี พัฒนาจากมโหรีเครื่องสี่เป็นวงมโหรีเครื่องหก โดยเพิ่มเครื่องดนตรี 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และรำมะนา สมัยกรุงธนบุรี วงดนตรีในสมัยนี้ไม่ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยนี้ศิลปวัฒนธรรมได้รับการฟื้นฟูและส่งเสริมขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงดนตรีให้เจริญขึ้นตามลำดับ ดังนี้ • สมัยรัชกาลที่ 1 มีลักษณะและรูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่มีการพัฒนาบ้าง คือ เพิ่มกลองทัด 1 ลูก ในวงปี่พาทย์ • สมัยรัชกาลที่ 2 ถือว่าเป็นยุคทองของดนตรีไทยยุดหนึ่ง การพัฒนาเปลี่ยนแปลงดนตรีไทย ในยุดนี้ คือ การนำเอาวงปี่พาทย์มาบรรเลงประกอบการขับเสภาเป็นครั้งแรก และมี “กลองสอง หน้า” เกิดขึ้น ใช้ตีกำกับจังหวะแทนตะโพนในวงปี่พาทย์ • สมัยรัชกาลที่ 3 มีการพัฒนาวงปี่พาทย์ให้เป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มมาคู่ กับระนาดเอก และฆ้องวงเล็กคู่กับฆ้องวงใหญ่ • สมัยรัชกาลที่ 4 มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ โดยมีการประดิษฐ์ เครื่องดนตรี คือ ระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็ก ในสมัยนี้มีการร้องเพลงส่งให้ดนตรีรับ เรียกว่า “การร้องส่ง” เกิดขึ้น มีเพลงเถาและมีวงเครื่องสายเกิดขึ้น • สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ เรียกว่า “วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์” โดยเจ้าฟ้ากรม พระยานริศรานุวัติวงศ์ ใช้บรรเลงประกอบการแสดง”ละครดึกดำบรรพ์” • สมัยรัชกาลที่ 6 มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่โดยนำวงดนตรีของมอญมาผสมกับวงปี่พาทย์ ของไทย เรียกว่า “วงปี่พาทย์มอญ” โดยหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นอกจากนี้ยังมี การนำเครื่องดนตรีต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมด้วย • สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยทางด้านดนตรีไทย และ ได้พระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ด้วย |