ประวัติพระพุทธเจ้า ตอนที่ 2 ช่วงมัชฌิมกาล Show
มัชฌิมกาล เป็นระยะเวลาช่วงกลางของพุทธประวัติในชาติสุดท้าย ที่ดำเนินต่อจากช่วงปฐมกาลเป็นรอยต่อที่สำคัญที่ พระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยจะได้แสดงถึงการบำเพ็ญเพียรที่ทำให้พระองค์ได้ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบทบาทของพระองค์ที่ทำหน้าที่เป็นครูของโลก ที่ตรัสสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ตลอดพระชนมชีพของพระองค์จนกระทั่งถึงช่วงที่พระองค์ได้ทำการปลงอายุสังขาร เป็นลำดับไปดังที่จะได้แสดงต่อไป ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ในรุ่งเช้าของวันที่จะตรัสรู้ นางสุชาดาธิดาของคหบดีในอุรุเวลาเสนานิคม ได้นำข้าวปายาสใส่ลงใน ถาดทองมาถวายพระโพธิสัตว์ หลังจากที่พระองค์ทรงเสวยข้าวปายาสอันประณีตของนางสุชาดาแล้ว ทรง นำถาดทองมาลอยในแม่น้ำและทรงอธิษฐานจิตว่า “ ถ้าเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ ขอถาดทองใบ นี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป” ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไป เมื่อพระองค์เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ทรงมีความ มั่นใจว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอน จึงได้เสด็จไปประทับยังป่าสาลวัน จนกระทั่งเวลาเย็น จึงได้เสด็จกลับมาที่ต้นโพธิ์ ระหว่างทางได้พบกับโสตถิยพราหมณ์ และได้รับหญ้าคาจำนวน 8 กำ จาก โสตถิยพราหมณ์นำมาปูลาดเป็นที่ประทับนั่งใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ และทรงประทับนั่งอธิษฐานจิตว่า เนื้อและเลือดในสรีระจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น จะเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามทีถ้าเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้1) เทวดาในหมื่นจักรวาลต่างแซ่ซ้องสาธุการกล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์
พญามารพาไพร่พลยกทัพมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระองค์ หลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วทรงมีพระราชหฤทัยเบิกบานอย่างสูงสุด อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงกับอุทานว่า “ เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหา ผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสาร มิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีก ต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”2) จากนั้นพระองค์ก็ทรงนั่งปฏิบัติธรรมและพิจารณาธรรมตามที่ต่างๆ ดังนี้ “ เราแล่นไปถึงสี่ อสงไขยกับแสนกัป ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เราตัดศีรษะอันประดับแล้วที่ลำคอแล้วให้ทานไปตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เราควักนัยน์ตาที่หยอดดีแล้ว และควักเนื้อหัวใจให้ไป ให้บุตร เช่น ชาลีกุมาร ให้ธิดาเช่นกับกัณหาชินากุมารี และให้ภรรยา เช่น พระมัทรีเทวี เพื่อเป็นทาสของคนอื่นๆ เพราะเหตุบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ชัย เป็นบัลลังก์ประเสริฐของเรา ความดำริของเราผู้นั่งบนบัลลังก์นี้ ยังไม่บริบูรณ์เพียงใด เราจักไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้เพียงนั้น”3) จากนั้นพระองค์ทรงประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียวเป็นเวลา 7 วัน สถานที่นี้จึงชื่อว่า “ โพธิบัลลังก์” สัปดาห์ที่ 2 ทรงนั่งปฏิบัติธรรมต่อไปอีก 7 วัน พอครบ 7 วัน ก็เสด็จลงจากรัตนะบัลลังก์ไปประทับ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้ทอดพระเนตรดูต้นโพธิใหญ่ถึง 7 วัน สถานที่นี้เรียกว่า อนิมิสเจดีย์ สัปดาห์ที่ 3 พระองค์ทรงเนรมิตรัตนะจงกรมในระหว่างกลางแห่งต้นศรีมหาโพธิ์กับอนิมิสสเจดีย์ แล้วเสด็จเดินจงกรมหันหน้าไปทางทิศเหนือของต้นโพธิใหญ่ ทรงเดินจงกรมอยู่ที่นี่ 7 วัน สถานที่นี้เรียกว่า รัตนจงกรม สัปดาห์ที่ 4 เสด็จจากรัตนจงกรมมาประทับนั่งพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกอยู่ที่เรือนแก้วที่เทวดา ทั้งหลายเนรมิตถวายอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นโพธิใหญ่นั้น ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เป็นเวลา 7 วัน สถานที่นี้เรียกว่า รัตนฆรเจดีย์ สัปดาห์ที่ 5 เสด็จจากรัตนฆรเจดีย์มาที่ต้นอชปาลนิโครธ4) ประทับนั่งสมาธิในที่นี้เป็นเวลา 7 วัน ในที่ นี้เองที่พระองค์ได้เจอพราหมณ์ผู้หนึ่งที่มักตวาดผู้อื่นด้วยคำว่า “ หึ หึ” ได้เข้ามาทูลถามพระองค์ถึงธรรม ที่ทำให้บุคคลเป็นพราหมณ์ พระองค์ก็ได้เอาธรรมะที่ทำให้บุคคลให้เป็นพราหมณ์มาตรัสตอบแก่พราหมณ์ สัปดาห์ที่ 6 เสด็จจากต้นอชปาลนิโครธมาประทับนั่งสมาธิภายใต้ต้นมุจลินท์ ซึ่งขณะนั้นมีเมฆฝน ดำใหญ่ก่อตัว พระยามุจลินทนาคราชได้ขดตัวล้อมรอบแผ่พังพานใหญ่เหนือพระเศียรของพระพุทธเจ้าด้วย หวังในใจว่า ความร้อน ฝน แดด ลมอย่าได้เบียดเบียนพระพุทธเจ้า พอเวลาผ่านไป 7 วัน มุจลินทนาคราช ได้แปลงกายเป็นมาณพหนุ่มกราบนมัสการเบื้องพระพักตร์พระพุทธเจ้า สัปดาห์ที่ 7 เสด็จจากต้นมุจลินท์เข้าไปยังต้นราชายตนะ ประทับนั่งบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข อีก 7 วัน พอครบ 49 วัน ท้าวสักกะเทวราชได้นำผลสมอ อันเป็นสมุนไพรมาถวาย ในที่นี้ท้าวมหาราชทั้ง 4 ได้นำบาตรศิลามาถวาย และได้มีอุบาสกเกิดขึ้นคู่แรกของโลก คือ ตปุสสะ และภัลลิกะ เนื่องจากทั้งสองพี่น้องเป็นพ่อค้า ได้มาถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงแก่พระพุทธเจ้า และได้ปวารณาตนเองเป็นอุบาสกขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ (สมัยนั้นยังไม่มีพระสงฆ์) ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน ปฐมเทศนาครั้นเมื่อผ่านไป 7 วัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จจากควงไม้ราชายตนะเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธนั้นอีก ทรงปริวิตกว่า “ ธรรมที่พระองค์บรรลุนั้นสุขุมลุ่มลึกเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เพราะเป็นธรรมที่สงบ ประณีต ละเอียด เป็นวิสัยของบัณฑิตเท่านั้นที่จะพึงรู้แจ้ง ก็ถ้าเราจะแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”
วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ทรงแสดงปฐมเทศนาชื่อ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน ประกาศพระศาสนาแสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร ในครั้งนั้น มีกุลบุตรเศรษฐี ชื่อว่า ยสะ ซึ่งอาศัยอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่ประทับของพระพุทธเจ้า เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือน จึงเดินมายังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พร้อมเปล่งอุทานว่า “ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เมื่อเดินมาถึงยังที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์เมื่อได้ยินเสียงนั้นจึงตรัสตอบไปว่า “ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านจงมาที่นี่เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน” เมื่อยสกุลบุตรได้ยินเช่นนั้นจึงเข้าไป ยังที่ประทับของพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา8) แก่ยสกุลบุตร จากนั้นก็แสดงอริยสัจ 4 เมื่อจบพระธรรมเทศนายสกุลบุตรได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา การที่ยสกุลบุตรเข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นผลดีกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่าง มาก เพราะพระยสะมีสหายมาก เมื่อท่านเข้ามาบวชแล้ว สหายเหล่านั้นก็ได้พากันบวชตามเข้ามา อีกเป็น จำนวนมาก ทำให้มีพระสาวกเพิ่มมากขึ้น เป็นกำลังในการประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่กระจายได้มากขึ้นด้วย เมื่อมีจำนวนของพระสาวกมากถึง 60 รูป
ซึ่งพอที่จะเป็นกำลังในการเผยแผ่พระศาสนาเพื่อ ประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธองค์จึงได้ส่งพระสาวกออกไปประกาศพระศาสนายังที่ต่างๆ ทั่วแผ่นดิน ซึ่งก่อนที่จะออกไปประกาศพระศาสนา พระพุทธองค์ก็ได้ให้โอวาทแก่พระสาวกเหล่านั้นว่า
ประกาศพระศาสนานำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน ประกาศศาสนา ณ อุรุเวลาเสนานิคม การที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จมายังอุรุเวลาเสนานิคมนี้ ก็ด้วยเหตุ 2 อย่าง คือ เพื่อจะทรงเปลื้องปฏิญญา ที่ได้ทรงให้ไว้กับพระเจ้าพิมพิสารตั้งแต่เมื่อครั้งที่เสด็จออกทรงผนวช11)
และเพื่อจะปดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรในเมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ทั้งยังเป็นที่รวมอยู่ของนักบวชเจ้าลัทธิ มากมายในยุคนั้น แต่การที่จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรอยู่ในราชคฤห์ซึ่งมีศาสนาอื่นอยู่ก่อน นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประชาชนในเมืองล้วนนับถือเจ้าลัทธิต่างๆ กันมาก ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเทศนา สั่งสอนพวกเจ้าลัทธิเหล่านั้นให้เกิดความเลื่อมใสพระพุทธองค์ก่อน โดยเฉพาะอุรุเวลกัสสปะซึ่งถือว่า เป็นอาจารย์ใหญ่ที่สุด แม้กระทั่งพระเจ้าพิมพิสารยังให้ความเคารพนับถือ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปกรุงราชคฤห์ทรงเทศน์โปรดพระเจ้าพิมพิสาร ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน พบอัครสาวก วันหนึ่งท่านทั้งสองต่างก็สัญญาว่าจะไปค้นหาอาจารย์เพื่อที่จะหาวิชาความจริงของชีวิต และถ้าใครพบเจอก่อนก็ให้มาบอกกับอีกคนให้ทราบด้วย ในที่สุดอุปติสสะก็ได้มาพบพระอัสสชิ จึงเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ได้เข้าไปกราบเรียนถามพระอัสสชิว่า “ ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่านสอนเช่นไร” พระอัสสชิทราบว่าอุปติสสะเป็นนักบวชที่มีปัญญามากจึงกล่าวไปว่า ด้วยปัญญาของอุปติสสะที่เคยฝึกฝนมาในอดีตชาติ จึงทำให้ได้ดวงตาเห็นธรรม จากนั้นจึงรีบกลับไปหา โกลิตะและบอกเรื่องราวที่ตนเองได้ไปเจอมา หลังจากโกลิตะฟังจบก็เกิดดวงตาเห็นธรรม ท่านทั้งสองได้พากันไปบอกข่าวนี้แก่พระอาจารย์สัญชัยปริพาชก แต่พระอาจารย์กลับไม่เชื่อ ทั้งสองจึงได้เดินทางไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับบริวารจำนวนหนึ่ง และได้รับประทานการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภายหลังท่านทั้งสองก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และทรงประทานนามของท่านทั้งสองตามนาม ของพระมารดาว่า สารีบุตรแก่อุปติสสะ เพราะเป็นบุตรของนางสารี และประทานนามว่า โมคคัลลานะ
แก่โกลิตะ เพราะเป็นบุตรของนางโมคัลลี นอกจากนี้ยังได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นอัครสาวก เมื่อเหล่าพระสาวกได้ออกจาริกไปเผยแผ่พระศาสนากันทั่วประเทศ ก็ไม่ได้มารวมกันหรือประชุมกันเลย ต่างก็แยกย้ายกันออกไปทำหน้าที่ในการเผยแผ่ตามเส้นทางที่ตนได้เดินทางไป ซึ่งทุกรูปที่จาริกไปก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด จึงไม่ได้มีการเรียกประชุมกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีเรื่องอันเป็นเหตุน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา คือ ในวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) ได้มีพระภิกษุสาวกจำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายที่พระวิหารเวฬุวันสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าในขณะนั้น การประชุมในครั้งนี้จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต เพราะประกอบพร้อมด้วยองค์ 4 ประการ คือ 1. เป็นวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ 2. ภิกษุสาวกจำนวน 1,250 รูป เดินทางมาจากทิศทั้ง 4 มาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย 3. ภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ทั้งหมด ไม่มีภิกษุผู้เป็นปุถุชนหรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีแม้สักรูปเดียวมาประชุมในครั้งนี้ 4. ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ทั้งหมด
เมื่อวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 3ของปีถัดมานับจากวันตรัสรู้ พระสงฆ์สาวก 1,250 รูป ที่เผยแผ่พระศาสนา
ในการประชุมครั้งนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทพระปาฏิโมกข์ในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ 1,250 รูป ซึ่งถือว่าเป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นนโยบายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อให้คณะสงฆ์ยึดเป็นหลักปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. อุดมการณ์หรือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ ความอดทน พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง และบรรพชิตผู้ทำร้ายผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ 2. หลักการดำเนินชีวิตของชาวพุทธ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส 3. วิธีการที่จะนำไปสู่การบรรลุถึงอุดมการณ์และหลักการดำเนินชีวิต คือ การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ความเป็นผู้รู้ประมาณใน ภัตตาหาร อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด และประกอบความเพียรในอธิจิต ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน เสด็จโปรดพระญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ตั้งแต่วันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกผนวชอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตในขณะที่ทรงมี พระชนมายุ 29 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาทรงติดตามสดับข่าวของพระองค์อยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยาอยู่นั้น เทวดาจะนำข่าวมาแจ้งให้ทรงทราบเป็นระยะๆ ต่อมาพระเจ้า สุทโธทนะทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้แล้ว ในขณะนี้ประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ จึงส่งอำมาตย์ 1 คนพร้อมบริวาร 1,000 คน ส่งสาส์นไปกราบนิมนต์พระพุทธเจ้า 9 ครั้ง ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่พระองค์กำลังทรงแสดงธรรม และได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ออกบวชกันหมดทำให้ไม่ได้ยื่นสาสน์ที่พระเจ้าสุทโธทนะฝากไป ในที่สุดพระเจ้าสุทโธทนะได้ขอร้องให้กาฬุทายีอำมาตย์ผู้ ใกล้ชิดถือสาสน์ไปกราบนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยกำชับว่า ไม่ว่ากาฬุทายีจะออกบวชหรือไม่ก็ตามต้องกลับมาส่งข่าวให้พระองค์ทราบ กาฬุทายีและบริวาร 1,000 คนได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ขณะที่พระองค์กำลังแสดงธรรมอยู่ ทำให้กาฬุทายีพร้อมกับบริวารได้ฟังธรรมที่ทรงแสดงจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานการบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระกาฬุทายีรอเวลาที่สมควรจึงได้กราบทูลว่า “ ข้าพระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนะมีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงทำการสงเคราะห์แก่พระญาติทั้งหลายด้วยเถิดพระเจ้าข้า” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับคำของพระกาฬุทายีแล้ว จึงพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน 20,000 รูปเสด็จออกจากเมืองราชคฤห์ใช้เวลา 2 เดือนก็ถึงเมืองกบิลพัสดุ์ เมื่อพระพุทธองค์พร้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์แล้ว ทรงเห็นกิริยาอาการของเหล่าประยูรญาติผู้ใหญ่ที่ไม่เคารพนบน้อมพระองค์และเหล่าภิกษุสงฆ์ จึงได้แสดงยมกปาฏิหาริย์ เพื่อทำลายมานะทิฏฐิของพวกศากยะ พระเจ้าสุทโธทนะเห็นความอัศจรรย์ครั้งนี้ จึงก้มลงกราบพระพุทธเจ้า ทำให้พระประยูรญาติทั้งหลายหมดสิ้นทิฏฐิมานะได้ ก้มลงกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันหมด และในขณะ ที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาประทับนั่ง ได้มีฝนโบกขรพรรษ14) ตกลงมา พระพุทธองค์จึงอาศัยเหตุนี้ตรัส เวสสันดรชาดก รุ่งขึ้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองกบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดประชาชน ให้ได้ทำบุญ เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบจึงรีบเสด็จมากล่าวยับยั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยอ้างถึงความเป็นราชวงศ์ ไม่ควรทำอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ ตอนนี้อาตมามิใช่วงศ์กษัตริย์อีกต่อไปแล้ว อาตมาออกบวชสละราชสมบัติเพื่อเดินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อาตมาเป็นพุทธวงศ์ อาตมาเดินบิณฑบาตนั้นก็เป็นประเพณีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ ที่ทรงกระทำมา” แล้วได้ทรงแสดง ธรรมแก่พระพุทธบิดา เมื่อตรัสจบแล้ว ทำให้พระพุทธบิดาตั้งอยู่ในสกทาคามิผล พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงรับบาตรและนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันตสาวกฉันภัตตาหาร หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดพระเจ้าสุทโธทนะจนตั้งอยู่ในสกทาคามิผลแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ไปโปรดพระนางยโสธราและราหุลกุมาร ในการเสด็จโปรดครั้งนี้ พระพุทธองค์ก็ได้มอบอริยทรัพย์ให้แก่พระราหุลกุมารด้วยการให้บรรพชาเป็นสามเณร และได้ให้นันทศากยบุตรได้บวชในพระพุทธศาสนา หลัง จากที่ทำอุบายให้นันทะตามเสด็จพระองค์กลับไปราชคฤห์ หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จออกจากเมืองกบิลพัสดุ์แล้ว ในระหว่างทางที่เสด็จประทับพักแรมอยู่ที่อนุปิยนิคมของแคว้นมัลละ มีเจ้าศากยะ 6 องค์ คือ ภัททิยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภคุ กิมพิละ เทวทัต พร้อมด้วยช่างกัลบกหนึ่งคน ชื่อว่า อุบาลี ได้มาทูลขอพระพุทธองค์บรรพชาอุปสมบท ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงให้บรรพชาอุปสมบท จากนั้นพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุ ก็เสด็จออกจากอนุปิยนิคมไปเมืองราชคฤห์ ประทับอยู่ที่เวฬุวัน โดยลำดับ และหลังจากเหตุการณ์นี้จึงทำให้พระพุทธองค์ทรงได้อุปัฏฐากประจำตัว คือ พระอานนท์ ผู้ที่คอยอุปัฏฐากดูแลตลอดพระชนมชีพของพระพุทธองค์ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พระพุทธศาสนาก็ได้เจริญแพร่หลายออกไปสู่แคว้นต่างๆ มากยิ่งขึ้นโดยลำดับ พระมหากษัตริย์และประชาชนชาวเมืองต่างๆ ก็ได้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ดังเช่น สุทัตตเศรษฐี หรือที่ชาวเมืองรู้จักกันในชื่อว่า อนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้มาพบพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์ ก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใส และได้สร้างวิหารพระเชตวันที่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา ในที่นี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้นับถือพระพุทธศาสนาด้วย ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในแคว้นโกศลเป็นต้นมา ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน กำเนิดภิกษุณีพระนางมหาปชาบดีผู้เป็นพระน้านางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความตั้งใจปรารถนาที่จะออกบวช ได้เข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทถึง 3 ครั้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่อนุญาต พระนางเกิดความน้อยพระทัย จึงได้ปลงพระเกศา ทรงครองผ้ากาสาวะ ถือเพศบรรพชิตพร้อมด้วยนางกษัตริย์เมืองต่างๆ เป็นจำนวนมาก และได้พากันออกเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปยังกูฏาคารศาลาเพื่อทูลขอบรรพชาอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงที่ซุ้มประตูกูฏาคารศาลา พระอานนท์ออกมาต้อนรับ เห็นใบหน้าของพระนางนองไปด้วยน้ำตา จึงได้ถามถึงเหตุที่ทำให้พระนางร้องไห้ พอทราบความแล้วก็อาสาจะไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้น พระอานนท์เข้าไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ทรงอนุญาตสตรีได้บวชเป็นบรรพชิต พระอานนท์ทูลขอถึง 3 ครั้ง พระพุทธองค์ก็ยังไม่ทรงอนุญาต พระอานนท์จึงทูลถามว่า “ ถ้าผู้หญิงปฏิบัติตนเป็นนักบวช ปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมะภายใน เรียนรู้ธรรมะของพระองค์ได้อย่างแจ่มแจ้ง หญิงนั้นสามารถ ออกบวชได้ไหม พระเจ้าข้า” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสตอบว่า “ ได้สิอานนท์” พระอานนท์ได้กราบทูลขอว่า “ ถ้าเช่นนั้นโปรดประทานการบวชแก่พระนางปชาบดีโคตมีได้ไหม พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ อานนท์ เหตุที่เราไม่อนุญาตก็เพราะเห็นว่า หากอนุญาตให้สตรีบวช พระธรรมวินัยจะตั้งอยู่ได้ไม่นาน แต่เราจักบัญญัติครุธรรม 8 ประการนี้ เสมือนกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลออก หากพระนางยอมรับครุธรรม นี้ได้ ข้อนั้นจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง” พระอานนท์เรียนครุธรรม 8 ประการ15) นี้แล้ว ออกมาชี้แจงแก่พระนางตามที่พระพุทธองค์ทรง บัญญัติไว้ พระนางดีใจมาก ชื่นชมยินดี และขอน้อมรับครุธรรมทั้ง 8 ประการ พระอานนท์จึงกล่าวครุธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติแล้วอย่างนี้ 1. ภิกษุณีแม้จะบวชได้ 100
พรรษา ก็ต้องกราบภิกษุผู้บวชแม้เพียงวันเดียว จากนั้น ทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุอุปสมบทให้ภิกษุณีได้ ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุณีก็เกิดขึ้นในโลก และมีมาบวชอีกเรื่อยๆ จึงทำให้บรรพชิตในพระพุทธศาสนา คือ ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในยุคนั้นจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน ประวัติพระพุทธเจ้า ตอน โปรดพระพุทธมารดาหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงยมกปฏิหาริย์ เพื่อปราบเดียรถีย์และยังความเลื่อมใสแก่มหาชนชาวเมืองสาวัตถีแล้ว ทรงเสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อจำพรรษาและโปรดพุทธมารดา เมื่อพระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปแล้ว ได้ประทับนั่งอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ ท้าวสักกเทวราชเทวดา ผู้เป็นใหญ่เป็นหัวหน้าปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมด้วยเทวดาทั้งหลายได้มาเข้าเฝ้า พระพุทธมารดา ทรงเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ประทับนั่งเป็นประธานในท่ามกลางเหล่าเทวดาทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรม 7 คัมภีร์แก่พระพุทธมารดา และเหล่าเทวดาที่มาเข้าเฝ้าทั้งหมด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างเรื่องความกตัญญูทรงเทศน์โปรดพุทธบิดา จนได้เป็นพระอรหันต์ จากเหตุการณ์ที่ยกมากล่าวไว้ข้างต้นนี้ ก็เป็นเหตุการณ์เพียงบางส่วนเท่านั้นที่พระพุทธศาสนาได้แพร่ออกไปอย่างกว้างขวางทั่วพื้นแผ่นดินชมพูทวีป ซึ่งตลอด 45 พรรษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปนั้น
ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ด้วยบารมีที่ทรงสั่งสมมา และพระปัญญาของพระพุทธองค์ ก็สามารถทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และบางคนที่ไม่เห็นด้วยก็ได้กลับใจหันมา นับถือพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างหนักมาตลอดจนถึงพรรษาที่ 45 ท่ามกลาง ความเชื่อที่หลากหลายในประเทศอินเดีย ทำให้พระพุทธองค์ทรงประชวรอย่างหนัก อีกทั้งพระชนมายุของพระพุทธองค์ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ 80 ซึ่งนับว่าทรงพระชราภาพมากแล้ว แต่พระพุทธองค์ก็ทรงใช้ความอดทน ต่อความเจ็บป่วยและยังทรง ทำหน้าที่ของบรมครูสืบต่อไปจนถึงวินาที่สุดท้ายของลมหายใจ ในพรรษานี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เพื่อประทับอยู่ที่หมู่บ้านเวฬุวคาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี หลังจากนั้น พระพุทธองค์เสด็จไปประทับที่ปาวาลเจดีย์ โดยมีพระอานนท์ติดตาม ไปด้วย ในที่นี้ พระพุทธองค์ได้ทรงทำนิมิตโอภาส เพื่อเปิดโอกาสให้พระอานนท์ได้ทูลอาราธนาให้ดำรงพระชนม์อยู่ต่อไปว่า “ ดูก่อนอานนท์ นครเวสาลีเป็นที่รื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ โคตมกเจดีย์ก็เป็นที่รื่มรมย์ สัตตัมพเจดีย์ ก็เป็นที่รื่นรมย์ พหุปุตตเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ สารันททเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ ปาวาลเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ ผู้หนึ่งผู้ใดเจริญอิทธิบาท 4 ทำให้มาก ทำให้เป็นประหนึ่งยาน ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนืองๆ อบรมไว้ ปรารภด้วยดี โดยชอบ ดูก่อนอานนท์ ผู้นั้น เมื่อปรารถนา ก็พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป เกินกว่ากัป ดูก่อนอานนท์ ตถาคตแลได้เจริญอิทธิบาท 4 แล้ว ได้ทำให้มากแล้ว ได้ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ได้ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนืองๆ แล้วอบรมแล้ว ปรารภด้วยดี โดยชอบแล้ว ดูก่อนอานนท์ ตถาคตนั้น เมื่อปรารถนา ก็พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป”18) เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำนิมิตโอภาสเช่นนี้อีก 2 ครั้ง พระอานนท์ก็ไม่สามารถจะเข้าใจ ไม่ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงหมายถึงอะไร เพราะในขณะนั้นท่านได้ถูกมารดลใจไว้ ดังนั้น จึงไม่ได้กราบทูลอาราธนาขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่ต่อไป พระพุทธองค์จึงให้พระอานนท์ไปเจริญฌานสมาบัติ เมื่อพระอานนท์ออกไปแล้ว มารก็เข้ามาทูลให้พระองค์เสด็จปรินิพพาน พระองค์ก็ทรงรับ แล้วทรงกำหนดพระทัยว่า จักปรินิพพานในอีก 3 เดือนข้างหน้า เมื่อทรงกำหนดว่าจะปรินิพพานแล้ว แผ่นดินก็ได้เกิดอาการไหวขึ้น สรุปประวัติพระพุทธเจ้า ตอนที่ 2พุทธประวัติในช่วงมัชฌิมกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาเพื่อการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงทำความเพียรอย่างหนักเพื่อหาทางหลุดพ้น แม้จะต้องทนทำทุกรกิริยานานถึง 6 ปี พระองค์ก็ไม่ได้ย่อท้อแต่อย่างใด ยังคงค้นหาทางหลุดพ้นให้ได้ และในที่สุดพระองค์ก็ทรงค้นพบทางที่จะทำให้หลุดพ้นได้ แต่กว่าที่จะทำให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้นั้น พระองค์ก็ทรงมีความตั้งใจมั่น แม้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะก็ยอมทำ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น แม้พญามารจะยกทัพมามากเพียงใด ก็ยังตั้งใจมั่นทำความเพียรต่อไป จนกระทั่งพญามารต้องถอยทัพกลับไป และพระองค์ก็หลุดพ้นจากกิเลส อาสวะ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด สมความปรารถนาที่ตั้งไว้ตั้งแต่พระชาติที่เกิดเป็นมาณพหนุ่ม แบกมารดาอยู่กลางทะเล นอกจากนี้ ด้วยความเมตตาของพระพุทธองค์ที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายตั้งแต่ครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ จึงไม่ได้ย่อท้อต่อการสั่งสอน เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ฟังคำสอนอันประเสริฐ รู้ความจริงของชีวิต จะได้หลุดพ้นอย่างเช่นพระองค์ โดยตลอด 45 พรรษา พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่นิ่งเฉย ทรงเสด็จพุทธดำเนินจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา แม้หนทางจะยากลำบากเพียงใด พระองค์ก็ไม่เคยหยุดที่จะทำหน้าที่เป็นครูของโลก สั่งสอนสรรพสัตว์ตลอดพระชนม์ชีพ จนทำให้มีผู้เลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก และสามารถหักล้างความเชื่อที่มีอยู่ดั้งเดิมได้ พระพุทธศาสนาจึง มั่นคงอยู่ในชมพูทวีปได้ และคงอยู่ตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ฉะนั้น พระธรรมคำสอนที่พระองค์ได้จากการตรัสรู้นั้น จึงเป็นถ้อยคำอันทรงคุณค่า มีอานุภาพอันไม่มีประมาณ เมื่อผู้ใดได้ปฏิบัติตามย่อมนำมาซึ่งความสุขความเจริญในชีวิต และหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ในที่สุด เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบนั้นสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง และไม่จำกัดด้วยกาลเวลา จะมาพิสูจน์เวลาไหนก็ย่อมได้ ดังภาษาบาลีที่ว่า “ สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัตจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ”
ประสูติ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ ปรินิพพาน _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับพุทธประวัติ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
|