Transport layer ทําหน้าที่อะไร

OSI Model 7 Layers (โอเอสไอ โมเดล เซเว่น เลเยอร์) คือ รูปแบบความคิดที่พรรณาถึงคุณสมบัติพิเศษและมาตรฐานการทำงานภายในของระบบการสื่อสาร ซึ่งได้มีการแบ่งการทำงานของระบบอินเทอร์เน็ตเป็นชั้นต่างๆ เพื่อให้การทำงานของระบบการสื่อสารนั้นเป็นไปอย่างประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากได้มีการแบ่งส่วนการทำงานต่างๆ ทำให้เข้าไปจัดการในส่วนของ Layers ชั้นต่างๆ ได้ถูกต้อง ซึ่ง Layers นั้นได้แบ่งทั้งหมด 7 Layers ซึ่งแต่ละ Layers ก็มีหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกันไป ดังนี้

Application Layer (แอพพลิเคชัน เลเยอร์) เป็น Layer ชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากที่สุด โดยเป็นแอพพลิเคชันของ OSI มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ใช้ซอฟต์แวร์แอพพลิเคชัน คอยรับส่งข้อมูลโดยตรงกับผู้ใช้และกำหนดกติกาอัลกอลิทึมว่าเป็นอย่างไร ให้ทำงานเรื่องอะไร

Presentation Layer (พรีเซนเท’เชิน) เป็น Layer ชั้นที่ 6 เป็นชั้นที่รับผิดชอบเรื่องรูปแบบของการแสดงผลเพื่อให้โปรแกรมทราบว่าข้อมูลที่ส่งมาผ่านเครือข่ายนั้น เป็นข้อมูลประเภทใด ซึ่งชั้นนี้ได้มีการเข้ารหัสเพื่อป้องกันการดักจับข้อมูลของผู้อื่น และให้ตัวเครื่องนั้นรับรู้ได้ว่ามีการส่งข้อมูลไปหา

Session Layer (เซสชัน เลเยอร์) เป็น Layer ชั้นที่ 5 เป็นชั้นที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเซสชั่นของโปรแกรม ซึ่งเซสชั่นจะช่วยทำให้การติดต่อสื่อสารของเว็บไซต์นั้นสามารถสื่อสารกันได้หลายหน้าต่าง จึงเป็นตัวที่คอยรับส่งข้อมูลไปยังเว็บไซต์ในหลายๆ หน้าต่าง

Transport Layer (แทรนซพอร์ท’) เป็น Layer ชั้นที่ 4 เป็นชั้นที่ทำหน้าที่ดูแลการจัดการเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร ซึ่งการตรวจสอบความผิดพลาดนั้นจะพิจารณาจากข้อมูลที่เรียกว่า checksum และอาจจะมีการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ โดยพิจารณาจากฝั่งต้นทางกับปลายทาง

Network Layer (เน็ตเวิรค เลเยอร์) เป็น Layer ชั้นที่ 3 เป็นชั้นที่ทำหน้าที่ออกแบบหรือกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่จะรับ – ส่ง ข้อมูลไปยังเส้นทางที่สะดวก มีระยะสั้น และรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ผู้รับข้อมูลสามารถรับข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

Data Link Layer (ดาต้า ลิงค์ เลเยอร์) เป็น Layer ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้ตรวจสอบ หรือควบคุมความผิดพลาดในข้อมูล โดยจะแบ่งการส่งข้อมูลที่ออกเป็นแพ็กเกจหรือเฟรม ถ้าผู้ได้รับข้อมูลถูกต้องก็จะส่งสัญญาณยืนยันกลับมาว่า ได้รับข้อมูลแล้ว เรียกว่า สัญญาณ ACK ให้กับผู้ส่ง แต่ถ้าผู้ส่งไม่ได้รับสัญญาณ ACK หรือได้รับสัญญาณ NAK กลับมา ผู้ส่งก็อาจจะทำการส่งข้อมูลไปให้ใหม่

Physical Layer (ฟิสซิเคิล เลเยอร์) เป็น Layer ชั้นที่ 1 หรือเป็น Layer ชั้นล่างสุด ซึ่งทำหน้าที่รับส่งข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ชั้นนี้จะกำหนดว่าแต่ละคอนเนคเตอร์ เช่น RS-232-C มีกี่พิน แต่ละพินทำหน้าที่อะไรบ้าง ใช้สัญญาณไฟกี่โวลด์ เทคนิคการมัลติเพล็กซ์แบบต่างๆ ก็จะถูกกำหนดอยู่ในเลเยอร์ชั้นนี้ ซึ่งจะเป็นทั้งแบบที่ใช้สายหรือไม่ใช้สาย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า 7 Layers ของระบบอินเทอร์เน็ตก็ได้มีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้การติดต่อสื่อสารหรือการรับส่งข้อมูลต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตเป็นไปได้อย่างถูกต้อง ลดความผิดพลาดในการรับส่งต่างๆ และหากมีปัญหาตรงจุดใด ก็สามารถเข้าไปแก้ไขได้ง่ายและทำให้เราทราบปัญหาได้ง่ายขึ้นด้วยว่ามีปัญหามาจากจุดใด เนื่องจากได้มีการแบ่งการทำงานของอินเทอร์เน็ตออกเป็นชั้นต่างๆ แล้ว

ทำความรู้จักและแก้ปัญหา Transport Layer ตอนที่ 5

Transport layer ทําหน้าที่อะไร

5. Session Layer ชั้นนี้จะเป็นตัวควบคุมการส่งผ่านข้อมูลการสื่อสาร จากต้นทางไปยังปลายทาง ให้มีความสอดคล้องกัน โดยไม่เกิดผลกระทบต่ออินเตอร์เฟสต่างๆ protocol ในชั้นนี้คือ RPC ,SQL ,Netbios ,Windows socket ,NFS เป็นต้น
  สำหรับ Session Layer นี้จะเปรียบเหมือนชั้นแห่งการเข้าถึง Application ต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น กรณีที่เรา Login Facebook ช่วงที่ connecting อยู่นั้น จะเป็นช่วงของ session layer จะเป็นชั้นที่บอกว่าจะ เข้าสู่ Application ได้หรือไม่


ปัญหาการเชื่อมต่อในระดับชั้น Session Layer
   ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ Client กับเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย Server ปัญหาสำคัญของปัญหาอยู่ที่ Protocol เพื่อใช้สื่อสารกัน เช่น การติดต่อสื่อสาร โดยใช้ SMB Protocol และปัญหาจะเกิดจากการทำงานของ Protocol ที่ผิดพลาด รวมทั้ง Service ต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับการจัดตั้งอย่างถูกต้อง

4. Transport Layer ชั้นนี้จะเป็นการแบ่งข้อมูลใน Layer ต่างๆให้พอเหมาะกับการใช้งานเช่นอาจจะแบ่งข้อมูลในส่วนของ Layer บนให้พอเหมาะกับการจัดส่งลงไปใน Layer ล่าง ซึ่งเรียกว่า Segmenstation protocol ในชั้นนี้คือ TCP,UDP,SPXหรือจะเรียกง่ายๆว่า ชั้นแห่งการขนส่ง

ปัญหาที่เกี่ยวกับระดับชั้น Transport
   - เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถสื่อสารผ่านทาง Protocol TCP/IP (Connection Failed)
   - มีปัญหา เรื่อง Reset Connection มาก
   - มีปัญหา Retransmission มาก
   - มีปัญหาการเชื่อมต่อ (Connection) หลุดบ่อยๆ และมี Time Out

ชั้นสื่อสารนำส่งข้อมูล (Transport Layer) มีหน้าที่ส่ง message ของ Application layer ระหว่าง client และ server ของแอพพลิเคชั่น โดยใน Transport Layer นั้นจะมี protocol ที่ใช้งานอยู่ 2 Protocol ด้วยกันคือ TCP และ UDP ซึ่งทั้งคู่ก็ทำหน้าที่ส่ง message เหมือนกัน ต่างกันที่ว่า TCP เป็น Connection-Oriented Service ที่รวมถึง การรับรองว่า message ที่ถูกส่งไปยังปลายทางนั้นจะถูกส่งอย่างถูกต้อง ครบถ้วนและตรงตามลำดับ ส่วน UDP นั้นเป็น Connectionless service ซึ่ง เป็น service ที่ทำการส่ง messages ไปให้ปลายทางอย่างเดียว ไม่มีการ รับรองว่าข้อมูลจะไปถึงปลายทางจริง ๆ หรือไม่


ชั้นสื่อสารนำส่งข้อมูล (Transport Layer)
                 แบ่งเป็นโพรโตคอล 2 ชนิดตามลักษณะ ลักษณะแรกเรียกว่า Transmission Control Protocol (TCP) เป็นแบบที่มีการกำหนดช่วงการสื่อสารตลอดระยะเวลาการสื่อสาร (connection-oriented) ซึ่งจะยอมให้มีการส่งข้อมูลเป็นแบบ Byte stream ที่ไว้ใจได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ข้อมูลที่มีปริมาณมากจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ เรียกว่า message ซึ่งจะถูกส่งไปยังผู้รับผ่านทางชั้นสื่อสารของอินเทอร์เน็ต ทางฝ่ายผู้รับจะนำ message มาเรียงต่อกันตามลำดับเป็นข้อมูลตัวเดิม TCP ยังมีความสามารถในการควบคุมการไหลของข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ส่ง ส่งข้อมูลเร็วเกินกว่าที่ผู้รับจะทำงานได้ทันอีกด้วย

      โปรโตคอลการนำส่งข้อมูลแบบที่สองเรียกว่า UDP (User Datagram Protocol) เป็นการติดต่อแบบไม่ต่อเนื่อง (connectionless) มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแต่จะไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่ง จึงถือได้ว่าไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มีข้อดีในด้านความรวดเร็วในการส่งข้อมูล จึงนิยมใช้ในระบบผู้ให้และผู้ใช้บริการ (client/server system) ซึ่งมีการสื่อสารแบบ ถาม/ตอบ (request/reply) นอกจากนั้นยังใช้ในการส่งข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหวหรือการส่งเสียง (voice) ทางอินเทอร์เน็ต

1.      UDP : (User Datagram Protocol)

        เป็นโปรโตคอลที่อยู่ใน Transport Layer เมื่อเทียบกับโมเดล OSI โดยการส่งข้อมูลของ UDP นั้นจะเป็นการส่งครั้งละ 1 ชุดข้อมูล เรียกว่า UDP datagram ซึ่งจะไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างดาต้าแกรมและจะไม่มีกลไกการตรวจสอบความ สำเร็จในการรับส่งข้อมูล

         กลไกการตรวจสอบโดย checksum ของ UDP นั้นเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลที่อาจจะถูกแก้ไข หรือมีความผิดพลาดระหว่างการส่ง และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ปลายทางจะได้รู้ว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แต่มันจะเป็นการตรวจสอบเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น โดยในข้อกำหนดของ UDP หากพบว่า Checksum Error ก็ให้ผู้รับปลายทางทำการทิ้งข้อมูลนั้น แต่จะไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่งแต่อย่างใด การรับส่งข้อมูลแต่ละครั้งหากเกิดข้อผิดพลาดในระดับ IP เช่น ส่งไม่ถึง, หมดเวลา ผู้ส่งจะได้รับ Error Message จากระดับ IP เป็น ICMP Error Message แต่เมื่อข้อมูลส่งถึงปลายทางถูกต้อง แต่เกิดข้อผิดพลาดในส่วนของ UDP เอง จะไม่มีการยืนยัน หรือแจ้งให้ผู้ส่งทราบแต่อย่างใด

สาเหตุที่ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันเลือกใช้โปรโตคอล UDP มากกว่า โปรโตคอล TCP เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้

      1.       ไม่มีการสร้างเส้นทางเชื่อมต่อ (No Connection Establishment)

      2.       ไม่มีการควบคุมอัตราการส่งข้อมูล (No Flow Control)

      3.       ไม่มีการเก็บสถานะของการเชื่อมต่อ (No Connection State)

      4.       มีขนาดของ Header เล็กกว่า TCP (Packet Header Overhead)

โครงสร้างของ UDP

Transport layer ทําหน้าที่อะไร

มีรายละเอียดดังนี้

•  Source Port Number : หมายเลขพอร์ตต้นทางที่ส่งดาต้าแกรมนี้

•  Destination Port Number : หมายเลขพอร์ตปลายทางที่จะเป็นผู้รับดาต้าแกรม

•  UDP Length : ความยาวของดาต้าแกรม ทั้งส่วน Header และ data นั่นหมายความว่า ค่าที่น้อยที่สุดในฟิลด์นี้คือ 8 ซึ่งเป็นขนาดของ Header

•  Checksum : เป็นตัวตรวจสอบความถูกต้องของ UDP datagram และจะนำข้อมูลบางส่วนใน IP Header มาคำนวณด้วย


ข้อดีและการนําโปรโตคอล UDP ไปประยุกต์ใช้งาน

-          มีการทาํงานที่ไม่ซับซ้อน เหมาะสําหรับการรับ-ส่งข้อมูลสั้นๆ ระหว่าง Client-Server

-          เหมาะสําหรับการส่งข้อมูลแบบ Broadcasting หรือ Multicasting

-          ใช้ในการปรับปรุงข้อมูลของ Routing โดยใช้กับโปรโตคอล Simple Network Management Protocol (SNTP)

-          ใช้ในการส่งข้อมูลแบบ Real –Time Multimedia โดยร่วมกับโปรโตคอล Real-Time Transport Protocol (RTP)


2.       TCP : (Transmission Control Protocol)

          อยู่ใน Transport Layer เช่นเดียวกับ UDP ทำหน้าที่จัดการและควบคุมการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีความสามารถและรายละเอียดมากกว่า UDP โดยดาต้าแกรมของ TCP จะมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน และมีกลไกควบคุมการรับส่งข้อมูลให้มีความถูกต้อง (reliable) และมีการสื่อสารอย่างเป็นกระบวนการ (connection-oriented)


Transport layer ทําหน้าที่อะไร



มีรายละเอียด ดังนี้

•  Source Port Number : หมายเลขพอร์ตต้นทางที่ส่งดาต้าแกรมนี้

•  Destination Port Number : หมายเลขพอร์ตปลายทางที่จะเป็นผู้รับดาต้าแกรม

•  Sequence Number : ฟิลด์ที่ระบุหมายเลขลำดับอ้างอิงในการสื่อสารข้อมูลแต่ละครั้ง เพื่อใช้ในการแยกแยะว่าเป็นข้อมูลของชุดใด และนำมาจัดลำดับได้ถูกต้อง

•  Acknowledgment Number : ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Sequence Number แต่จะใช้ในการตอบรับ

•  Header Length : โดยปกติความยาวของเฮดเดอร์ TCP จะมีความยาว 20 ไบต์ แต่อาจจะมากกว่านั้น ถ้ามีข้อมูลในฟิลด์ option แต่ต้องไม่เกิน 60 ไบต์

•  Flag : เป็นข้อมูลระดับบิตที่อยู่ในเฮดเดอร์ TCP โดยใช้เป็นตัวบอกคุณสมบัติของแพ็กเก็ต

TCP ขณะนั้นๆ และใช้เป็นตัวควบคุมจังหวะการรับส่งข้อมูลด้วย ซึ่ง Flag มีอยู่ทั้งหมด 6 บิต แบ่งได้ดังนี้

Type

Description

URG

ใช้บอกความหมายว่าเป็นข้อมูลด่วน และมีข้อมูลพิเศษมาด้วย (อยู่ใน Urgent Pointer)

ACK

แสดงว่าข้อมูลในฟิลด์ Acknowledge Number นำมาใช้งานได้

DSH

เป็นการแจ้งให้ผู้รับข้อมูลทราบว่าควรจะส่งข้อมูล Segment นี้ไปยัง Application ที่กำลังรออยู่โดยเร็ว

RST

ยกเลิกการติดต่อ (Reset) เนื่องจากในกรณีที่เกิดการสับสนขึ้นด้วยเหตุผลต่างๆ เช่นโฮสต์มีปัญหา ให้เริ่มสื่อสารใหม่

SYN

ใช้ในการเริ่มต้นขอติดต่อกับปลายทาง

FIN

ใช้ส่งเพื่อแจ้งให้ปลายทางทราบว่ายุติการติดต่อ


ความน่าเชื่อถือของการส่งข้อมูลโดยใช้ TCP

การนําข้อมูลจากชั้น Transport layer ไปยังชั้น Network layer จะใช้บริการ ของ Internet Protocol (IP) ทําให้ข้อมูลนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากโปรโตคอล IP ทำงานแบบ Connectionless

ดังนั้น โปรโตคอล TCP จึงต้องเพิ่มวิธีในการตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่า ข้อมูลที่ส่งไปนั้น ถึงผู้รับอย่างถูกต้อง

การควบคุมการไหลของข้อมูล (Flow Control)

เป็นกลไกควบคุมการส่งข้อมูล เพื่อปรับอัตราการส่งข้อมูลของผู้ส่งให้เหมาะสมกับผู้รับ ป้องกันไม่ให้ผู้ส่ง ส่งข้อมูลมากเกินจนผู้รับไม่สามารถรับข้อมูลเพื่อนําไป ประมวลผลได้ทัน

โครงสร้างการทำงานของ Flow Control


ข้อมูลของพื้นที่ว่างบน Buffer = พื้นที่ Buffer – (ข้อมูลที่รับเข้ามา – ข้อมูลทีถูกอ่านไป)

ตัวอย่างเช่น host A ส่ง file ขนาด 80 bytes มาที่ host B ซึ่งมี buffer ขนาด 100 bytes
host B ได้รับข้อมูลเข้ามาไว้ที่ buffer แล้ว 50 bytes และ application layer ของ host B ก็ได้เข้ามาอ่านข้อมูลจาก buffer ไปแล้ว 30 bytes อยากทราบว่าจะเหลือพื้นที่ว่างบน Buffer เท่าใด

ข้อมูลที่ยังค้างอยู่ใน buffer = 20  bytes (รับเข้ามา 50 – ถูกอ่านไป 30)

ข้อมูลของพื้นที่ว่างบน buffer = 80 bytes (พื่นที่ 100 – ข้อมูลที่ยังค้าง 20)

ดังนั้น พื้นที่ว่างบน Buffer = 80 bytes

การจัดการเชื่อมต่อ TCP (TCP Connection Management)

          การเชื่อมต่อเพื่อส่งข้อมูลโดยใช้ TCP นั้น จะเริ่มจากการสร้างเส้นทางเพื่อใช้ในการส่งข้อมูล ตามวิธีการของ Connection-Oriented โดยการสร้างเส้นทางเชื่อมต่อจะเริ่มจาก Application ของฝั่งผู้รับต้องการข้อมูลจึงเริ่มการสร้างเส้นทางเพื่อขอข้อมูลจากอีกฝั่ง หนึ่ง เรียกกระบวนการสร้างเส้นทางเพื่อขอข้อมูลดังกล่าวว่า  “Three-Way Handshake”




TCP และ UDP แตกต่างกันอย่างไร

          TCP และ UDP ต่างก็เป็น PROTOCOL สําคัญที่อยู่ใน TRANSPORT LAYER PROTOCOL ซึ่งถูก ออกแบบให้มีคุณสมบัติหน้าที่การทํางานที่เหมาะกับงานที่แตกต่างกัน คุณสมบัติของทั่งสอง PROTOCOL ดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

TCP

UDP

Reliable

Unreliable

Connection – oriented

Connectionless

Flow control

No Flow control

Congestion control

No congestion control


CONNECTION-ORIENTED SERVICE คือ ในการติดต่อระหว่าง PROCESS ด้วย TCP ข้อมูลจะต้องถูกส่งถึงปลายทางได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์โดยไม่เกิดข้อผิดพลาด เนื่องจากระหว่างการส่งข้อมูลจะมีการตรวจสอบข้อผดิพลาด อย่างต่อเนื่อง

CONNECTIONLESS คือ ไม่มีการรับประกันความถูกต้องสมบูรณ์ ของข้อมูลที่ส่งมาจากต้นทางไปยังปลายทาง (UNRELIABLE DATA TRANSFER) จะให้ ความสําคัญกับความเร็วในการส่งข้อมูลเท่านั้

การควบคุมการไหลของข้อมูล (Flow Control) เป็นกลไกควบคุมการส่งข้อมูล เพื่อปรับอัตราการส่งข้อมูลของผู้ส่งให้เหมาะสมกับผู้รับ ป้องกันไม่ให้ผู้ส่ง ส่งข้อมูลมากเกินจนผู้รับไม่สามารถรับข้อมูลเพื่อนําไป ประมวลผลได้ทัน

ควบคุมความคับคั่ง (Congestion control) ในความหมายของระบบเครือข่ายหมายถึง ควบคุมปริมาณการใช้งานระบบเครือข่ายไม่ให้มากเกินไปจนทำให้การรับส่งข้อมูลทำได้ช้า

Transport ทําหน้าที่อะไร

การขนส่ง (Transportation) หมายถึง การเคลื่อนย้ายคน (People) สินคัา(Goods) หรือบริการ (Services) จากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง และการขนส่งผลิตผลในประเทศไทยส่วนมากยังคงใช้ระบบการขนส่งด้วยรถธรรมดา และมีการขนส่งด้วยรถห้องเย็น ซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ เช่น การขนส่งผลิตผลพืชสวนจากเชียงใหม่มายังกรุงเทพมหานคร ...

Transport Layer ถูกนำไปใช้ในส่วนใด

Transport Layer (ทรานสโพทเลเยอร์) มีหน้าที่ในการแบ่งข้อมูลในเลเยอร์บนให้มีความเหมาะในการจัดส่งไปในเลเยอร์ล่างในการแบ่งข้อมูลนี้เรียกว่า Segmentation (เซเมินเทเชิน) มีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลต่างๆที่ได้มาจากเลเยอร์ล่างและยังให้บริการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดข้อผิดพลาดในระหว่างการจัดส่งข้อมูล ยังทำหน้าที่ในการ ...

Application Layer มีหน้าที่อะไรบ้าง

หน้าที่ของ Application Layer คือ เป็นชั้น Layers(เลเยอร์) ชั้นบนสุดซึ่งติดต่อกับ User โดยตรง ทำหน้าที่ตรวจสอบความเป็นไปได้ในการสื่อสาร และทำการติดต่อสื่อสารกับคู่สื่อสาร ดูเเลให้ Application ต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้

Transport Layer มีการส่งข้อมูลแบบใด

ชั้นสื่อสารนำส่งข้อมูล (Transport Layer) มีหน้าที่ส่ง message ของ Application layer ระหว่าง client และ server ของแอพพลิเคชั่น โดยใน Transport Layer นั้นจะมี protocol ที่ใช้งานอยู่ 2 Protocol ด้วยกันคือ TCP และ UDP ซึ่งทั้งคู่ก็ทำหน้าที่ส่ง message เหมือนกัน ต่างกันที่ว่า TCP เป็น Connection-Oriented Service ที่รวมถึง ...