สำหรับคนอ้วนนั้น การเกิดขึ้นของน้ำหนักนั้นส่งผลต่อสภาพจิตใจ มีเพียงแค่ความตั้งใจนั้นไม่เพียงพอ ผลจากการวิจัยทางการแพทย์นั้นเปิดเผยถึงเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำหนักตัว โดยแพทย์ผู้ที่เชี่ยวชาญเป็น 5 ปัจจัยหลักดังนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในลำไส้ ซึ่งจะเป็นตัวที่ควบคุมระบบการย่อยของร่างกาย ซึ่งถ้าหากมีจุลินทรีย์เหล่านี้จะมีอยู่เป็นจำนวนมากร่างกายก็จะผอมได้ง่าย
ในกรณีที่กินอาหารที่มีกากใยหรือไฟเบอร์สูง เช่น ธัญพืชหรือผักผลไม้ จะช่วยในการสร้างจุลินทรีย์นี้ได้ ยีนเป็นส่วนหนึ่งของพันธุกรรม แม้ว่าการออกกำลังกายและการกินอาหารเพื่อสุขภาพจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเรื่องน้ำหนักตัว แต่ในบางกรณีมีบางคนที่ไม่เห็นผล นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใน มหาลัยเคมบริดจ์ ได้ทำการระบุว่า กรณีนี้อาจจะเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งจะมีการถ่ายถอดของยีนทั้งหมด 100 ชนิดที่อาจจะส่งผลต่อน้ำหนัก และ ความอยากของอาหาร และ การเผาผลาญของแคลอรี
ซึ่งยีนต่างๆของพันธุกรรมเหล่านี้จะทำให้เกิดหิวได้ง่ายๆ หรือ ไม่ก็จะอยากกินอาหารที่มีไขมันสูง เป็นอีกหนึ่งอย่างที่นักวิจัยได้ระบุถึงเหตุการณ์อย่างหนึ่งว่า ช่วงระยะเวลาในการทานอาหาร ในการทานอาหารมื้อดึกมีโอกาสในการเพิ่มของน้ำหนักตัว ยิ่งช่วงระยะเวลาตอนการคืน ร่างกายของมนุษย์จะไม่ย่อยไขมันและน้ำตาลหลังจาก 1 ทุ่ม หากลดอาหารในช่วงระยะเวลาหลังจากนั้นได้ จะทำให้การลดลงของน้ำหนักอาจจะไม่ส่งผลมากนักแต่น้ำหนักตัวจะไม่เพิ่มขึ้น และ
มื้ออาหารเช้ากินแล้วจะไม่ช่วยลดน้ำหนัก นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านพฤติกรรมได้ทำการระบุไว้อย่างหนึ่งว่า จากการประเมินในสิ่งที่กินมีคุณภาพต่ำกว่า 30-50%
ซึ่งเป็นของกินเล่นที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการกินจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก ฮอร์โมนชนิดหนึ่งภายในร่างกายเป็นตัวควบคุมความต้องการทางอาหารนักวิทยาศาสตร์ที่อิมพีเรียลคอลเลจ ของกรุงลอนดอน ทำการวิจัยถึงการ สร้างฮอร์โมนภายในลำไส้ชนิดหนึ่งขึ้นมาเพื่อควบคุมความอยากอาหาร หลังจากการผ่าตัดเพื่อที่จะทำให้ลดน้ำหนักตัวได้ การผ่าตัดลดความอ้วนนั้นจะช่วยหยุดฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกหิว
นอกจากนี้ยังมีการพิสูจน์ถึงตัวยาเพื่อควบคุมฮอร์โมนชนิดนี้ หากได้รับการยืนยันว่าปลอดภัยจะทำให้นำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม 1.การออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่ทำให้การลดนน.ได้ผลนั้นแบ่งเป็นสองส่วนที่สำคัญคือ – การออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน เช่น เวทเทรนนิ่ง, บอดี้เวทเทรนนิ่ง หรือ การฝึกต่างๆที่มีการใช้แรงต้านเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนของการฝึกด้วยแรงต้านนี้ทำให้ร่างกายปรับตัวและต้องพัฒนากล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่ม ระบบเผาผลาญ และ พัฒนาสภาพกล้ามเนื้อไม่ให้เสียไปมากในระหว่างลดพลังงานลง ซึ่งจะส่งผลให้ไม่เหี่ยวไม่ย้วยนั่นเอง -การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ หรือ แอโรบิค เช่น การวิ่งจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน การว่ายน้ำเป็นต้น การออกกำลังกายลักษณะนี้มีผลทางด้านการพัฒนาระบบหัวใจ และ เพิ่มในส่วนของการใช้พลังงานออก ทำให้เกิดสมดุลย์พลังงานที่เหมาะสมแก่การลดไขมันนั่นเอง 2.ระบบเผาผลาญ มีข้อเท็จจริงที่ว่าแม้ร่างกายคนเราจะอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ขยับตัวเลยก็ยังต้องการพลังงาน และ พลังงานเหล่านั้น สามารถมากได้ถึง 1,000 – 2,000 Kcal/วัน โดยที่ยังไม่นับรวมกิจวัตรขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆเช่น ระดับกล้ามเนื้อ ระดับพลังงานที่ทานเป็นประจำ และ การออกกำลังกาย ซึ่งระดับการเผาผลาญนี้ถูกเรียกว่า BMR หรือ Basal Metabolic Rate การที่มีระบบเผาผลาญพื้นฐานที่ดีนั้นจะทำให้ร่างกายใช้พลังงานต่อวันมากขึ้น และตรงนี้ใช้พลังงานมากกว่าการไปออกกำลังกายเสียอีก ตัวอย่างไกด์ไลน์คนปกติหนึ่งคนควรได้รับพลังงาน 2,000 Kcal/วัน ซึ่งมากกว่าเทียบกับการออกกำลังกายอย่างหนัก 1 ชม.ที่ทำได้อย่างมากแค่เพียง 700-1200 Kcal ทำให้ผู้ที่ระบบเผาผลาญดีนั้นมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการลดไขมัน และ ลดนน.มากกว่า รวมทั้งมีโอกาสถึงจุดตัน และ yoyo effect ได้น้อยกว่านั่นเอง 3.ระดับพลังงานที่ได้รับต่อวัน ประเภทของการไดเอทในปัจจุบันมีลักษณะการควบคุมอาหารที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น การทานคลีน, การควบคุมแป้งและน้ำตาลอย่างเคร่งครัด, การทานไขมันน้อยๆ, Fast5, Atkin และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละประเภทของการไดเอทนั้นมีส่วนที่ต่างกันอยู่ 2ส่วนใหญ่ๆคือ สัดส่วนสารอาหาร
ประเภทของแหล่งอาหาร
มีการศึกษา1ที่น่าสนใจศึกษาสัดส่วนของการไดเอท ระหว่างการทานคาร์บในปริมาณที่มาก ไขมันน้อย กับ การทานคาร์บน้อยๆ ไขมันมากในภาวะที่ค่าของพลังงาน Calorie เท่ากัน พบว่าทั้งการศึกษาระยะสั้น และ ระยะยาว1ปีนั้น ในด้านของการลดไขมันของทั้งสองรูปแบบการไดเอทนี้ “ไม่ต่างกัน” ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ปัจจัยที่มีผลต่อการลดไขมันที่สำคัญกว่าคือ เราได้ยินมานานมากว่า ถ้าทานน้อยกว่าใช้พลังงาน เราจะลด นน.ได้ ถ้าทานมากกว่าที่ใช้พลังงานเราจะอ้วนขึ้น ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ที่ผ่านมาคนทั่วไปมักให้ความสนใจกับรูปแบบการไดเอทและ โปรแกรมการไดเอทมากกว่าเพราะสิ่งเหล่านี้นั้นดูหวือหวาและน่าสนใจมากกว่า เช่น ต้องทานคลีนเท่านั้นถึงจะลด นน ได้ หรือต้องไม่ทานอะไรหลังออกกำลังกายไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ทำมาจะเท่ากับศูนย์ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ฝึกทานอาหารคลีนแต่ได้รับพลังงานที่ได้จากอาหารคลีนนั้นยังมากเกินกว่าที่ผู้ฝึกต้องการ ก็แน่นอนว่าก็ไม่สามารถลดไขมันลงได้ ในทางกลับกันก็หลายๆคนสามารถลดนน.ลดไขมันลงได้แม้ว่าจะทานขนม ทานก่อนนอน หรือ ทานสิ่งที่เชื่อกันว่าผู้ลด
นน.ไม่สมควรทาน นั้นก็เป็นเพราเหตุผลเดียวกัน คือ พลังงานเหล่านั้นมันน้อยกว่าที่ผู้ฝึกคนนั้นใช้ไปในแต่ละวันนั่นเอง ดังนั้นระดับสมดุลย์พลังงานก็ยังมีบทบาทสำคัญเสมอ 4.ระยะเวลา ผู้ฝึกส่วนมากสามารถเข้าโปรแกรมได้ถูกต้อง แต่ไม่นานพอ ทำให้การลดไขมันนั้นไม่ทันเห็นผล และเป็นผลให้ผู้ฝึกนั้นล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อนที่ไดเอทนั้นจะเริ่มส่งผล กระบวนการลดไขมันเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา เราไม่สามารถเปลี่ยนคนผอมเป็นคนอ้วนได้ชั่วข้ามคืน การลดไขมันก็เช่นกัน ระยะเวลาที่ผู้ฝึกควรให้ความสำคัญคือ 30-90 วันต่อหนึ่งโปรแกรมที่ไดเอท หรือ ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการไดเอท โดยที่ระยะเวลา 30-90 วันนี้ควรมีการปรับเปลี่ยนระดับพลังงานในโปรแกรม ไม่มากกว่า 2สัปดาห์ต่อครั้ง ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ ถ้าผู้ฝึกสามารถลดนน.ได้เพียง เดือนละ 3ขีด เวลาผ่านไปหนึ่งปีเท่ากับผู้ฝึกสามารถลดนน.ได้มากถึง 3.6 กก. ซึ่งอาจจะมากกว่าคนทั่วไปที่พยายามลดในการลดไขมันครั้งหนึ่งที่กินเวลาเพียง 30-60วัน ดังนั้นการลดไขมันในระยะเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องนั้นเป็นผลดีกว่า การพยายามลดเร็วๆระยะสั้นและหยุด บทสรุปของการไดเอทลดไขมันที่มีประสิทธิภาพ 1.ต้องเวทเทรนนิ่งอย่างน้อยสัปาดาห์ละ 2-3ครั้ง และ คาร์ดิโอ อย่างน้อย 120 – 140นาที/สัปดาห์ 2.ใส่ใจกับเรื่องระบบเผาผลาญ อย่าอดอาหาร อย่าอดนอน อย่าโหมออกกกำลังกาย 3.ใส่ใจกับ พลังงานที่ได้รับต่อวันเป็นอันดับแรก 4.อันดับที่สองคือควบคุมปริมาณและสัดส่วนสารอาหารให้ได้ตามประเภทของการไดเอท แทนที่จะทานอาหารคลีนแต่ไม่นับปริมาณ 5.ใช้เวลา อย่ามองการไดเอทเป็นการทำอะไรเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ให้มองระยะยาวๆ ลดช้าๆ แต่พัฒนาเสมอ ไม่หยุดลด หรือลดต่อไม่ลงก็อย่าให้นน.กลับมาเพิ่ม ในระยะยาวยังไงก็ต้องมีรูปร่างที่ดีกว่าเดิมอยู่แล้ว Jeannie Tay, BNutrDiet (Hons)?,†; Grant D. Brinkworth, PhD?; Manny Noakes, PhD?; Jennifer Keogh, MSc?; Peter M. Clifton, PhD? Grant D Brinkworth, Manny Noakes, Jonathan D Buckley, Jennifer B Keogh, and Peter M Clifton (Visited 2,683 times, 1 visits today) |