Formal กับ informal ต่างกันอย่างไร

อาทิตย์นี้ครูม่อนจะคุยเรื่อง academic writing style (เขียนเชิงวิชาการ) นะคะ ซึ่งอันนี้มันใช้ในการสอบต่างๆเช่น โทเฟล (TOEF) หรือ GRE ด้วย คือ ในการสอบวัดระดับภาษาสำหรับการเรียนต่อต่างๆ

เรื่องหนึ่งก็คือ formal language คือ academic writing จะเป็นทางการกว่าภาษาพูด ซึ่งหลักการนี้ก็น่าจะรู้ๆกันอยู่แล้ว แต่อุปสรรคคือบางทีเราไม่รู้ว่าภาษาที่เราใช้อันไหนมันไม่เป็นทางการ

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินะคะ เพราะว่าเราไม่ได้ใช้ภาษาวิชาการทุกวัน เราเรียนภาษาอังกฤษจากหนัง ทีวี เพลง หรือบทความทางอินเตอร์เนท มันก็ไม่แปลกที่เราจะไม่รู้ว่าแบบไหนที่ไม่เป็นทางการพอสำหรับacademic writing

ลองดูตัวอย่างง่ายๆ

  • Gonna –>  going to
  • Kind of, sort of –>  rather, to some extent
  • Really —> extremely, immensely, tremendously อันนี้ต้องแล้วแต่ความหมายที่เราตั้งใจจะใช้ตอนแรกด้วยเพราะว่า really  ใช้ได้หลายกรณี
  • Get (something เช่น money, score)  —> receive, acquire, attain, earn
  • Big —> major, large, significant
  • A lot —> many, a considerable number of, significantly
  • Bad —> poor, undesirable, ineffective

ซึ่งการจะเปลี่ยนคำให้formalหรือเป็นทางการมากขึ้น ก็สามารถใช้ thesuarus มาช่วยได้ค่ะ แต่ที่สำคัญคือเวลาเปลี่ยนคำให้เป็นทางการมากขึ้น ต้องให้แน่ใจว่าคำที่เราเอามาใช้แทนนั้นตรงกับความหมายที่เราต้องการด้วย

ตอนแรกที่ครูม่อนต้องแก้ให้ภาษาเป็นทางการมากขึ้ ครูม่อนก็รู้สึกว่าเสียเวลานะคะ แต่จริงๆแล้วมันมีข้อดีคือมันบังคับให้เราคิดพิจารณาว่าเราต้องการจะสื่อความหมายอะไรกันแน่ การที่ต้องมาเลือกคำทำให้เราต้องคิดให้ชัดเจนขึ้น ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อสารมากขึ้น ในการเรียนที่ถึงมีการพูดกันว่า write to help you think คือ เขียนเพื่อให้เราคิดได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ

PrevPreviousสร้างความเป็นคนชอบเรียนภาษาอังกฤษ Build your English-learning identity

Nextในการเขียนเชิงวิชาการ (academic writing) เราใช้การย่อ (abbreviation) อย่างไร?Next

More To Explore

Formal กับ informal ต่างกันอย่างไร

Academic Writing

ความสัมพันธ์ระหว่าง Paragraph และ Essay

ความสัมพันธ์ระหว่าง Paragraph และ Essay สิ่งที่ต้องรู้เวลาเขียน Academic Essay Thesis คือ สิ่งที่เราต้องการจะพูดถึง

Formal กับ informal ต่างกันอย่างไร

เทคนิคการเรียน

หนังสือ แนะนำสำหรับผู้เขียนธีสิสและวิทยานิพนธ์

👉 ดาวน์โหลด eBook หนังสือเด็ดสำหรับเขียนธีสิสและวิทยานิพนธ์ หากใครที่กำลังมองหา หนังสือ ดีๆ สำหรับเป็น Guide ในการเขียนธีสิสหรือทำวิทยานิพนธ์อยู่หล่ะก็

รู้ไหมว่าในภาษาอังกฤษก็มีระดับคำศัพท์ที่ถูกแบ่งว่าเป็นทางการและไม่เป็นทางการแบบภาษาไทยเหมือนกัน ซึ่งคนโดยทั่วไปอาจจะยังสับสนการใช้ระดับคำศัพท์ในภาษาอังกฤษบ้าง เนื่องจากไม่ได้เป็นภาษาแรกแบบภาษาไทยเรา ทั้งนี้คำศัพท์ที่ไม่เป็นทางการนั้นในภาษาอังกฤษเรียกว่า Informal สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันกันเองกับเพื่อน ครอบครัว และคนสนิท ในขณะที่ คำศัพท์ที่เป็นทางการนั้นเรียกว่า Formal คำศัพท์เหล่านนี้จะสุภาพ นิยมใช้กันมากในการเขียน สื่อสารทางอีเมล์และการติดต่อทางธุรกิจ อย่างไรก็ตามวันนี้เราได้รวบรวมคำศัพท์ที่คิดว่ามีประโยชน์กับผู้อ่านและได้ใช้บ่อยมาฝาก โดยเป็นการเขียนคำศัพท์จาก Informal ให้เป็น Informal ดังนี้

คือ ภาษาที่เรามักใช้ในการพูด หรือสื่อสารกันในที่ที่ไม่เป็นทางการ อย่างการคุยกันในกลุ่ม การโต้ตอบกันใน Social Network ต่างๆ ซึ่งคำนึงถึงการสื่อสารเป็นหลัก อาจจะสามารถใช้แกรมม่าผิด หรือคำศัพท์ได้บ้าง มีความลื่นไหลของภาษามากกว่า

 

Formal Language

คือ ภาษาที่เรามักใช้ในงานเขียน หรืองานพูดที่เป็นทางการมากๆ เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ ให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระ และประเด็นที่ต้องการจะเขียนเป็นหลัก โดยจะต้องมีความถูกต้องของทั้งคำศัพท์และแกรมม่า และยังต้องมีความสละสลวยของการใช้ภาษา มีโครงสร้างประโยคที่ถูกต้องชัดเจน รวมไปถึงโครงสร้างของชิ้นงานที่ต้องมีการเกริ่นนำ เสนอประเด็นสำคัญ เขียนสนับสนุนประเด็นนั้นๆ ไปจนถึงการสรุปสิ่งที่อธิบายมาทั้งหมดอย่างชัดเจน

 

สำหรับนักเรียนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษแบบเราๆ อาจจะคิดว่าภาษาพูดกับภาษาเขียนในภาษาอังกฤษเป็นอะไรที่คล้ายๆกัน แค่จำศัพท์ได้ ใช้ศัพท์ให้หลากหลาย ใช้แกรมม่าให้ถูกก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว Written and Spoken English มีความแตกต่างกันพอสมควร เหมือนกับเวลาที่เราพูดภาษาไทย กับการเขียนเรียงความภาษาไทยก็มีข้อแตกต่างกันอย่างมาก เช่น เวลาใช้ภาษาพูด ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เรามักจะใช้คำที่ไม่เป็นทางการในการสื่อสารได้ เราสามารถอธิบายศัพท์ที่เราคิดไม่ออก โดยใช้การอธิบายยกตัวอย่างไปเรื่อยๆ รวมถึงการสร้างประโยค และการใช้แกรมม่าที่อาจจะมีจุดผิดได้ ซึ่งเหล่านี้พอเป็นงานเขียนแล้ว จะไม่สามารถทำได้ เพราะว่าในงานเขียน เราจะต้องใช้คำศัพท์ แกรมม่า รวมถึงรูปประโยคที่ถูกต้องและชัดเจน ไม่สามารถอธิบายคำที่ไม่รู้ไปเรื่อยๆ เพราะจะทำให้งานเขียนของเราเยิ่นเย้อ ดูไม่มีน้ำหนัก และที่สำคัญ หาประเด็นสำคัญไม่ได้ ในการพูด เราคำนึงถึงการสื่อสารได้เป็นหลัก แต่ในการเขียนนั้น เราคำนึงถึงความถูกต้อง ประเด็นและใจความสำคัญเป็นหลัก

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานเขียนเชิงวิชาการ หรือ Academic Writing ที่น้องๆจะต้องใช้ใน assignment thesis dissertation ยิ่งเป็นงานเขียนที่เราต้องเขียนให้ถูกต้อง ชัดเจน ตรงประเด็น ที่สำคัญต้องมีความสละสลวยในการใช้ภาษา จะให้มาเขียนเหมือนที่เขียนตอบเพื่อนใน Facebook ก็คงจะไม่ได้คะแนนที่ดี และถ้าเราเกิดสะกดคำผิด หรือใช้แกรมม่าผิดด้วยแล้ว อาจจะโดนตัดคะแนนได้ง่ายๆ เพราะคนที่ตรวจงานเขียนของเรา จะถือว่าในงานเขียนเราสามารถกลับมาย้อนอ่านเพื่อตรวจสอบความถูกต้องการส่งงานกี่ครั้งก็ได้ ดังนั้นการเขียนผิดจึงอาจจะสื่อถึงความตั้งใจในการทำงานนั้นของเราได้เลย นี่เป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนของ Informal language กับ Formal Language

แม้ว่าเราจะไม่ใช่เจ้าของภาษา หรือไม่คุ้นเคยกับการเขียนแนว Academic writing แต่ก็สามารถทำงานเขียนออกมาได้ดีได้ ถ้าเราใช้บริการ Proofreading จากทีมงาน editor ของ Mango ที่นำทีมโดยอาจารย์ชาวอังกฤษ ผู้มีประสบการณ์ด้านการสอนภาษาอังกฤษระดับสูงมากกว่า 10 ปี รับรองว่า assignment thesis หรือ dissertation จะออกมาดี ถูกต้อง ใช้ภาษาสละสลวย ถูกใจอาจารย์ที่รอตรวจงานอยู่แน่นอน

สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อในประเทศอังกฤษ บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น โทร. 02-129-3313, 085-144-8808 หรือ LINE: @Mangolearning