คำเมืองยังสามารถแบ่งออกเป็นสำเนียงล้านนาตะวันตก (ในจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน และแม่ฮ่องสอน) และสำเนียงล้านนาตะวันออก (ในจังหวัดเชียงราย, พะเยา, ลำปาง, อุตรดิตถ์, แพร่ และน่าน) ซึ่งจะมีความแตกต่างกันบ้าง คือ สำเนียงล้านนาตะวันออกส่วนใหญ่จะไม่พบสระเอือะ เอือ แต่จะใช้สระเอียะ เอียแทน (มีเสียงเอือะและเอือเพียงแต่คนต่างถิ่นฟังไม่ออกเอง เนื่องจากเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงนาสิกใกล้เคียงกับเอียะ เอีย) ส่วนคนในจังหวัดลำพูนมักจะพูดสำเนียงเมืองยอง เพราะชาวลำพูนจำนวนมากสืบเชื้อสายมาจากชาวยองในรัฐชาน จึงมีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ Show
คำเมืองมีไวยากรณ์คล้ายกับภาษาไทยกลางแต่ใช้คำศัพท์ไม่เหมือนกันและไวยากรณ์ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่เดิมใช้คู่กับอักษรธรรมล้านนาซึ่งเป็นตัวอักษรของอาณาจักรล้านนาที่ใช้อักษรมอญเป็นต้นแบบ ระบบการเขียนใช้อักษรไทยในการสื่อสารคำเมืองเป็นหลัก เนื่องจากนับตั้งแต่อดีตการศึกษาไทยในสถานศึกษาไม่เคยส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น รวมถึงอักษรธรรมล้านนาก็ไม่มีการสอนอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ผู้คนในยุคปัจจุบันแทบไม่เข้าใจอักษรธรรมล้านนา จึงอาศัยการสะกดด้วยอักษรไทยในการสื่อสารผ่านทางข้อความ รัฐไทยในช่วงรัชกาลที่ 7–9 ได้สั่งห้ามใช้อักษรธรรมล้านนาและคำเมืองในที่สาธารณะ และให้เผาตำราเรียนในภาษาล้านนา เพื่อทำลายรากเหง้าท้องถิ่นหลังผนวกล้านนาเข้ากับตน แต่คำเมืองยังคงได้รับการใช้งานในชีวิตประจำวันสืบ ๆ มา[ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้] ปัจจุบันกลับมีความพยายามจากรัฐไทยเองที่จะอนุรักษ์คำเมือง เช่น ใน พ.ศ. 2559 ราชบัณฑิตยสภาเริ่มโครงการจัดทำพจนานุกรมและรณรงค์การใช้คำเมือง เพราะเกรงภาษาถิ่นจะเลือนหาย ชื่อ[แก้]ป้ายวัดกลางเวียงที่มีการใช้อักษรธรรมล้านนาภาษาถิ่นพายัพมีชื่อเรียกหลายชื่อ โดยภาษาจากตระกูลภาษาไทต่าง ๆ มีชื่อเรียกซึ่งคล้ายคลึงหรือไม่เหมือนกัน
นอกจากภาษากลุ่มไทดังกล่าวแล้ว ภาษาอังกฤษ เรียกภาษาถิ่นพายัพว่า "Northern Thai" หรือ “Kam Mueang” พื้นที่การใช้ภาษา[แก้]สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือไว้ว่า ภาคเหนือตอนบนประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่ และน่าน ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาเหนือเป็นภาษากลาง และภาคเหนือตอนล่างประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาไทยกลาง แต่มีเขตที่พูดภาษาไทยถิ่นเหนือด้วยหลายตำบล เช่น ตาก, สุโขทัย, กำแพงเพชร, อุตรดิตถ์, พิจิตร และพิษณุโลก สมทรง บุรุษพัฒน์ ได้ระบุว่าภาษาไทยถิ่นเหนือเป็นภาษาที่พูดกันทางตอนเหนือของไทย ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, ตาก, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และบางอำเภอของจังหวัดสระบุรี กาญจนา เงารังษีและคณะ ได้สรุปผลการศึกษาภาษาถิ่นเหนือที่ใช้บริเวณภาคเหนือตอนล่าง โดยระบุว่า ภาษาเหนือเป็นภาษาถิ่นที่ใช้ในพื้นที่ 9 จังหวัด คือ กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ระบบเสียง[แก้]ระบบเสียงพยัญชนะ[แก้]พยัญชนะต้น[แก้]ริมฝีปาก ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง นาสิก[m] ᨾ ᩉ᩠ᨾ [n] ᨶ ᨱ ᩉ᩠ᨶ [ɲ] ᨿ ᨬ ᩉ᩠ᨿ [ŋ] ᨦ ᩉ᩠ᨦระเบิด tenuis[p] ᨸ ᨻ [t] ᨲ ᨴ ᨭ [t͡ɕ] ᨧ ᨩ [k] ᨠ ᨣ [ʔ] ᩋธนิต[pʰ] ᨹ ᨽ ᨷᩕ ᨸᩕ[tʰ] ᨳ ᨮ ᨵ ᨰ ᨲᩕ ᨴᩕ([t͡ɕʰ]) ᨨ ᨫ ([kʰ]) ᨡ ᨠᩕ ᨥ ᨣᩕ ก้อง[b] ᨷ [d] ᨯเสียดแทรก[f] ᨺ ᨼ [s] ᩈ ᩇ ᩆ ᨨ ᨪ ᨫ [x] ᨡ ᨢ ᨤ ᨥ ᨠᩕ ᨣᩕ ᨡᩕ[h] ᩉ ᩁ ᩌ ᩉᩕเปิด[l] ᩃ ᩁ ᩉᩖ ᩉ᩠ᩃ ᩊ [j] ᩀ [w] ᩅ ᩉ᩠ᩅ
พยัญชนะต้นควบกล้ำ[แก้]ไม่ปรากฏคำควบกล้ำเสียง ร ล มีคำควบกล้ำเฉพาะเสียง ว เท่านั้น อนึ่งเสียงรัวลิ้น "ร" และเสียงไม่รัวลิ้น "ล" ถือว่าไม่ต่างกัน ซึ่งบางครั้งเสียง "ล" จะกลายเป็นเสียง "ร" ก็ไม่ถือว่าต่างกันแต่อย่างใด คำควบกล้ำในภาษาไทยถิ่นเหนือนั้น มี 11 เสียงได้แก่
พยัญชนะสะกด[แก้]ริมฝีปาก ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง นาสิก[m] ᨾ[n] ᨶ ᨱ[ŋ] ᨦ ระเบิด[p] ᨷ ᨸ ᨻ ᨼ ᨽ[t] ᨭ ᨮ ᨯ ᨰ ᨲ ᨳ ᨴ ᨵ[k] ᨠ ᨡ ᨣ ᨥ[ʔ]เปิด[w] ᩅ[j] ᨿ
ระบบเสียงสระ[แก้]สระเดี่ยว[แก้]อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ ᩋᩡ ᩋᩣ ᩋᩥ ᩋᩦ ᩋᩧ ᩋᩨ ᩋᩩ ᩋᩪ ᩋᩮᩡ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩮᩢ) ᩋᩮ ᩋᩯᩡ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩯᩢ) ᩋᩯ ᩋᩰᩡ (เมื่อตัวสะกด: ᩋᩫ) ᩋᩰ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩰᩫ) ᩋᩰᩬᩡ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩬᩢ) ᩋᩬᩴ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩬ) ᩋᩮᩬᩥᩡ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩮᩥᩢ/ᩋᩮᩥ) ᩋᩮᩬᩥ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩮᩥ) สระประสม[แก้]อัวะ อัว เอียะ เอีย เอือะ เอือ อำ ไอ ใอ เอา ᩋ᩠ᩅᩫᩡ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋ᩠ᩅᩢ) ᩋ᩠ᩅᩫ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋ᩠ᩅ) ᩋᩮ᩠ᨿᩡ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋ᩠ᨿᩢ) ᩋᩮ᩠ᨿ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋ᩠ᨿ) ᩋᩮᩬᩥᩋᩡ/ᩋᩮᩬᩨᩋᩡ ᩋᩮᩬᩥᩋ/ᩋᩮᩬᩨᩋ (เมื่อมีตัวสะกด: ᩋᩮᩬᩥ/ᩋᩮᩬᩨ) ᩋᩣᩴ ᩋᩱ ᩋᩲ ᩋᩮᩢᩣ เสียงสระเอือะ, เอือ จะไม่พบในบางท้องถิ่น คือในถิ่นล้านนาตะวันออก ได้แก่ จังหวัดแพร่, อุตรดิตถ์, น่าน, พะเยา และลำปาง โดยจะออกเสียงเป็นสระเอียะ, เอีย เช่น คำเมือง เป็น กำเมียง (มีเสียงเอือะ และเอือเพียงแต่คนต่างถิ่นฟังไม่ออกเอง เนื่องจากเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงนาสิกใกล้เคียงกับเอียะ เอีย) นอกจากนี้ยังมีสำเนียงแบบเมืองยองซึ่งพูดกันมากในจังหวัดลำพูน โดยจะไม่มีสระประสม สระอัว กลายเป็น โอ สระเอีย กลายเป็น เอ และสระเอือ กลายเป็น เออ เช่น เมือง เป็น เมิง, เกลือ เป็น เก๋อ, สวย เป็น โสย, หมี่เกี๊ยว เป็น หมี่เก๊ว เป็นต้น ระบบเสียงวรรณยุกต์[แก้]ในตำราสอนภาษาล้านนาฉบับมิชชันนารีฉบับ พ.ศ. 2447 ภาษาล้านนาสามารถผันเสียงวรรณยุกต์ได้ถึง 8 เสียง วรรณยุกต์ (วัณณยุกต์ (ᩅᩢᨱ᩠ᨱᨿᩩᨠ᩠ᨲ᩺)) ทั้งหกของคำเมืองในพยางค์ '/law/' คือ เหลา เหล่า เหล้า เลา เล่า เล้า ตามลำดับ: เสียงวรรณยุกต์ในพยางค์เป็น[แก้]เสียงวรรณยุกต์สำเนียงเชียงใหม่มี 6 เสียง คือ เสียงจัตวา, เสียงเอก, เสียงตรีปลายโท, เสียงสามัญ, เสียงโท, และเสียงตรี เสียงวรรณยุกต์ ตัวอย่าง อักษรไทย อักษรธรรม การถอดรหัสเสียง การออกเสียง ความหมายในภาษาไทย เสียงจัตวา เหลาᩉᩮᩖᩢᩣ /lǎw/ [law˨˦]เหลา, ทำให้คม เสียงเอก เหล่าᩉᩮᩖᩢ᩵ᩣ /làw/ [law˨˩]เหล่า, ป่า เสียงตรีปลายโท เหล้าᩉᩮᩖᩢ᩶ᩣ /la᷇w/ [law˦˦ʔ]เหล้า, เครื่องดื่มมึนเมา เสียงสามัญ (อาจสูงขึ้นเล็กน้อยตอนท้างพยางค์) เลาᩃᩮᩢᩣ /lāw/ [law˧˧]งาม เสียงโท เล่าᩃᩮᩢ᩵ᩣ /lâw/ [law˦˨]เล่า, บอกเรื่อง เสียงตรี เล้าᩃᩮᩢᩢ᩶ᩣ /láw/ [law˦˥]เล้า, ที่กักไก่ เสียงวรรณยุกต์ในพยางค์ตาย[แก้]เสียงวรรณยุกต์ ตัวอย่าง อักษรไทย อักษรธรรม การถอดรหัสเสียง การออกเสียง ความหมายในภาษาไทย เสียงจัตวา หลักᩉᩖᩢᨠ, ᩉᩖᩢ/lǎk/ [lak˨˦]เสาหลัก, หลักแหลม เสียงตรี ลักᩃᩢ᩠ᨠ, ᩃᩢ/lák/ [lak˦˥]ลักขโมย, แอบ เสียงเอก หลากᩉᩖᩣ᩠ᨠ, ᩉᩖᩢᩣ/làːk/ [laːk˨˩]หลากหลาย เสียงโท ลากᩃᩣ᩠ᨠ, ᩃᩢᩣ/lâːk/ [laːk˦˨]ลาก, ดึง เสียงวรรณยุกต์บางที่มีถึง 9 เสียง ได้แก่
การพูดคำเมืองในสมัยปัจจุบัน[แก้]ป้ายจราจรบริเวณ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มีการใช้คำเมืองอักษรไทยการพูดคำเมืองที่เป็นประโยคแบบดังเดิมนั้นหายากแล้ว เนื่องจากมีการรับอิทธิพลภาษาไทยกลาง ทั้งในสำเนียง, คำศัพท์ และอักษรไทย การสื่อสารในชีวิตประจำวันโดยการเขียนจะใช้อักษรไทย ส่วนนี้จะเป็นส่วนรวบรวม ประโยค คำเมือง ดั้งเดิม คำเมือง ภาษาไทย กิ๋นข้าวแล้วก๋า กินข้าวแล้วใช่ไหม ยะอะหยั๋งกิ๋นก๋า ทำอะไรกินหรอ ไปตังใดมา ไปแถวไหนมา การพูดคำเมืองผสมกับภาษาไทยนั้น คำเมืองจะเรียกว่า ปะแล้ด (ไทยปะแล้ดเมือง) ซึ่งโดยมากแล้วมักจะพบใน คนที่พูดคำเมืองมานาน แล้วพยายามจะพูดไทย หรือ คนพูดภาษาไทยพยายามจะพูดคำเมือง เผลอพูดคำทั้ง 2 ภาษามาประสมกัน อนึ่งการพูดคำเมืองมีการแยกระดับของความสุภาพอยู่หลายระดับ ผู้พูดต้องเข้าใจในบริบทการพูดว่าในสถานการณ์นั้น ๆ ต้องพูดระดับภาษาอย่างไรให้เหมาะสมและมีความสุภาพ เพราะมีระบบการนับถือผู้ใหญ่ คนสูงวัยกว่า เช่น
ภาษาไทยถิ่นเหนือนอกเขตภาคเหนือ[แก้]ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ปี พ.ศ. 2347 ได้มีการเทครัวชาวยวนลงมาในเขตภาคกลาง เช่น อาทิ จังหวัดสระบุรี (โดยเฉพาะอำเภอเสาไห้), จังหวัดราชบุรี (มีมากที่อำเภอเมือง, อำเภอบ้านโป่ง และอำเภอจอมบึง), จังหวัดนครปฐม (โดยเฉพาะอำเภอกำแพงแสน), จังหวัดกาญจนบุรี (โดยเฉพาะอำเภอไทรโยค), จังหวัดลพบุรี (ที่อำเภอชัยบาดาล) และจังหวัดนครราชสีมา (เฉพาะอำเภอสีคิ้ว) โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรีมีชาวยวนราว 70,000-80,000 คน และมีชาวยวนแทบทุกอำเภอ ยกเว้นเพียงแต่อำเภอดำเนินสะดวกกับวัดเพลงเท่านั้น ซึ่งภาษาไทยวนทุกจังหวัดมีหน่วยเสียง พยัญชนะและหน่วยเสียงสระเหมือนกัน รายละเอียดในวรรณยุกต์แทบไม่แตกต่างกัน ยกเว้นภาษายวนลพบุรีที่มีหน่วยเสียงแตกต่างจากอีก 4 จังหวัดเพียงหน่วยเสียงเดียว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชาวยวนลพบุรีได้อาศัยปะปนอยู่กับหมู่บ้านชาวลาว อาจทำให้หน่วยเสียงเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามภาษาไทยวนเหล่านี้ กำลังตกอยู่ในสภาวะใกล้สูญจากการแทรกแซงของภาษาและวัฒนธรรมภาคกลาง อีกทั้งลูกหลานของชาวยวนเองไม่สามารถพูดภาษายวน หรืออ่านอักษรธรรมได้อีก ภาษาไทยถิ่นเหนือในต่างประเทศ[แก้]นอกจากนี้พื้นที่การใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือนอกเขตประเทศไทยนั้น ก็ยังมีการใช้ในหมู่บ้านของชาวยวนที่เข้ามาตั้งรกราก ได้แก่ เมียวดี ประเทศพม่า เนื่องจากในช่วงรัชกาลที่ 4-5 สมัยเชียงใหม่ยังมีเจ้าเมืองปกครอง ได้มีการเปิดทำการค้าขายเมืองเส้นทางทะเลกับอาณานิคมอังกฤษ เมืองท่าเรือใกล้เคียงที่สุดคือเมืองมะละแหม่ง เนื่องจากเมืองเมียวดีเป็นทางผ่าน ทำให้ระหว่างเส้นทางได้มีชาวยวนตั้งรกรากในที่แห่งนี้และ เมืองที่มีชาวยวนตั้งรกราก ได้แก่ ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า, ห้วยหราย และ เมืองต้นผึ้ง ประเทศลาว เนื่องจากเมืองทั้งสามนั้น ในอดีตเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ติดอยู่กับแหล่งที่อยู่ของชาวยวนกระจุกกัน เช่น อำเภอแม่สาย ,เชียงแสน ,เชียงของ และ เวียงแก่น จึงไม่แปลกใจนักที่ผู้คนบริเวณนั้น จะข้ามฟากแม่น้ำโขง, แม่น้ำสาย และ แม่น้ำรวก ไปมาหาสู่กันและตั้งรกรากอีกด้วย คำศัพท์[แก้]คำเมืองในจังหวัดอื่น[แก้]คำเมืองในจังหวัดอื่น เช่น จังหวัดลำปาง, แพร่, น่าน, เชียงราย, พะเยา และอุตรดิตถ์ (ในบางอำเภอ) ก็มีการใช้คำบางคำที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะสื่อสารกันเข้าใจในกลุ่มคนเหนือ เช่น ภาษาไทยกลางมาตรฐาน ภาษาไทยถิ่นเหนือ สำเนียงเชียงใหม่ สำเนียงจังหวัดอื่น อักษรไทย อักษรธรรม อักษรไทย อักษรธรรม พ่อ, แม่ ป้อ, แม่ ᨻᩬᩴ᩵, ᨾᩯ᩵ ป้อ, แม่ ᨻᩬᩴ᩵, ᨾᩯ᩵ พี่ชาย อ้าย ᩋ᩶ᩣ᩠ᨿ ปี้ ᨻᩦ᩵ พี่สาว ปี้ ᨻᩦ᩵ ปี้, เอ้ย, เย้ย, เย้, ใย้ ᨻᩦ᩵, ᩋᩮᩥ᩠᩶ᨿ, ᨿᩮᩥ᩠᩶ᨿ, ᨿᩮ᩶, ᨿᩲ᩶ อา, น้า อา, น้า ᩋᩣ, ᨶ᩶ᩣ อาว , อา ᩋᩣ᩠ᩅ, ᩋᩣ ฝรั่ง (ผลไม้) บะก้วยก๋า ᨷᩡᨠ᩠ᩅ᩶ᨿᨠᩣ บะแก๋ว , บะมัน , มะเปา ᨷᩡᨠᩯ᩠ᩅ, ᨷᩡᨾᩢ᩠ᨶ, ᨾᩡᨻᩮᩢᩣ ผักชี หอมป้อม ᩉᩬᨾᨸᩬ᩶ᨾ หอมน้อย, หอมหน้อย ᩉᩬᨾᨶᩬ᩶ᨿ, ᩉᩬᨾᩉ᩠ᨶᩬ᩶ᨿ มะละกอ บะก้วยเต้ด ᨷᩡᨠᩖ᩠ᩅ᩶ᨿᨴᩮ᩠ᩆ บะเต้ด ᨷᩡᨴᩮ᩠ᩆ ช้าง จ๊าง ᨩ᩶ᩣ᩠ᨦ จ้าง น้ำ น้ำ ᨶᩣᩴ᩶ น่าม เที่ยว แอ่ว ᩋᩯ᩠᩵ᩅ แอ่ว ᩋᩯ᩠᩵ᩅ นอกจากนี้ สำเนียงในของคำเมืองในกลุ่มนี้จะออกสั้นและห้วนกว่า โดยที่เห็นได้ชัดคือเสียงตรีในเชียงใหม่ ลำพูน จะเป็นเสียงโทในจังหวัดอื่น เช่น บ่ะฮู้ แปลว่า ไม่รู้ เป็นสำเนียงเชียงใหม่ แต่จะออกเสียงว่า บ่ะฮู่ ในสำเสียงอื่น, กิ๋นน้ำ ที่แปลว่า ดื่มน้ำ จะออกเสียงเป็น กิ๋นน่ำ, สามร้อย/สามฮ้อย ออกเสียงเป็น สามร่อย/สามฮ่อย เป็นต้น ความแตกต่างจากภาษาไทยกลาง[แก้]ความแตกต่างทางด้านระบบเสียง[แก้]โดยมากแล้วภาษาไทยกลางและคำเมืองมักมีเสียงที่เหมือนกันยกเว้นบางครั้ง ที่ไม่เหมือนแต่คล้ายกันได้แก่ เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำมักตรงกับเสียงสิถิล (unaspirate) เช่น จาก "ท" เป็น "ต" (ᨴ) (เช่น "ทาง" เป็น "ตาง" (ᨴᩤ᩠ᨦ)), "ช" เป็น "จ" (ᨩ) (เช่น "ช้อน" เป็น "จ๊อน" (ᨩᩬ᩶ᩁ)), "พ" เป็น "ป" (ᨻ) (เช่น "แพง" เป็น "แปง" (ᨻᩯ᩠ᨦ)), "ค" เป็น "ก" (ᨣ) (เช่น "คำ" เป็น "กำ" (ᨣᩤᩴ)) เป็นต้น โดยมักจะคงเสียงวรรณยุกต์เดิม (เช่น "ใช้" เป็น "ใจ๊" (ᨩᩲ᩶)) อย่างไรก็ตาม เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำที่ตรงกับเสียงโฆษะบาลีมักมีเสียงที่ตรงกันในทั้งสองภาษา เช่น ภาพ เป็น ภาพ (ᨽᩣ᩠ᨻ) และ ธรรม เป็น ธัมม์ (ᨵᩢᨾ᩠ᨾ᩺) (ไม่มี ร หัน) เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว เสียงธนิต (aspirate) ของอักษรต่ำที่ตามด้วย ร ควบกล้ำในไทยกลางมักตรงกับเสียงธนิตแต่ไม่มี ร ตามในคำเมือง เช่น คราว เป็น คาว (ᨣᩕᩣ᩠ᩅ), ครั้ง เป็น คั้ง (ᨣᩕᩢ᩠᩶ᨦ), และ พระ เป็น พะ (ᨻᩕᩡ) นอกจากนี้แล้ว ยังมีความแตกต่างที่อื่นด้วย ได้แก่ เสียง ร ในไทยกลางมักตรงกับเสียง ฮ และ ล (ᩁ) เป็นบางคำ คำเมือง (เช่น "เรา" เป็น "เฮา" (ᩁᩮᩢᩣ)) เสียง ย ที่สะกดด้วย ทั้ง ย และ ญ ในภาษาไทยมักตรงกับเสียง ย นาสิก (ᨿ/ᨬ) ซึ่งไม่มีในภาษาไทยกลาง และถิ่นใต้ (เช่น "หญ้า" เป็น "หญ้า (นาสิก)" (ᩉ᩠ᨿ᩶ᩣ) นอกจากความแตกต่างทางด้านพยัญชนะแล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างทางด้านเสียงวรรณยุกต์อีกด้วย คำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรกลาง (ยกเว้น ด (ᨯ), บ (ᨷ), อย (ᩀ), และ อ (ᩋ)) ในคำเป็นภาษาไทยที่มีเสียงสามัญมักตรงกับเสียงจัตวาในคำเมือง (เช่น "ตัว" เป็น "ตั๋ว" (ᨲ᩠ᩅᩫ), "ใจ" เป็น "ใจ๋" (ᨧᩲ)) แต่ในคำพ้องเสียงของภาคกลาง ในภาษาเหนือนั้นอาจจะออกเสียงไม่เหมือนกัน ส่วนในคำตายนั้นเสียงเอกมักตรงกับเสียงจัตวาในคำเมือง (เช่น "หัก" เป็น "หั๋ก" (ᩉᩢ᩠ᨠ/ᩉᩢ)) อักษรไทย ประเภทในภาษาไทยกลาง เสียงคำเมือง ตัวอย่าง ความหมาย ก, จ, ต/ฏ, ป อักษรกลางอโฆษะ ก (ᨠ), จ (ᨧ), ต/ฏ (ᨲ/ᨭ), ป (ᨸ) ตามลำดับ ก๋า (ᨠᩣ), จ๋าน (ᨧᩣ᩠ᨶ), ต๋า (ᨲᩣ), ป๋า (ᨸᩖᩣ) ตามลำดับ กา, จาน, ตา, ปลา ตามลำดับ ด/ฎ/ฑ, บ, อย, อ อักษรกลางโฆษะ และ อ ด, บ, อย, อ ตามลำดับ ด้าว, บ่าว, อย่า, อาว ตามลำดับ ด้าว, บ่าว, อย่า, อาผู้ชาย (อาว) ตามลำดับ ค, ช, ท, พ อักษรต่ำโฆษะบาลี ก, จ, ต, ป ตามลำดับ ก้า, จ๊าง, ตาง, ปา ตามลำดับ ค่า, ช้าง, ทาง, พา ตามลำดับ ฅ, ซ, ฟ อักษรต่ำเสียดแทรก ค, ซ, ฟ ตามลำดับ คืน, ซ้ำ, ฟ้า ตามลำดับ กลับคืน, ซ้ำ, ฟ้า ตามลำดับ ฆ, ฌ, ธ/ฒ (ยกเว้น "เฒ่า"), ภ อักษรต่ำธนิต ค, ซ, ท , พ ตามลำดับ ข, ฉ, ถ/ฐ, ผ, ฝ อักษรสูงธนิต ข, ส, ถ, ผ, ฝ ตามลำดับ ขา, สัตร, ถง, ผ้า, ฝา ตามลำดับ ขา, ร่มฉัตร, ถุง, ผ้า, ฝา ตามลำดับ ศ/ษ/ส อักษรสูงเสียดแทรก ส สาย สาย กร, ตร, ปร อักษรกลาง + ร ข, ก, ผ ตามลำดับ ขาบ, กง, ผาสาท ตามลำดับ กราบ, ตรง, ปราสาท ตามลำดับ คร, พร อักษรต่ำ + ร ค, พ ตามลำดับ คั้ง, พ้า ตามลำดับ ครั้ง, พร้า ตามลำดับ ย, ร, ล/ฬ , ว, ฮ อักษรต่ำกึ่งสระ และ ฮ ญ (นาสิก), ฮ (บางครั้ง ล ในคำภาษาบาลี), ล , ว, ฮ ตามลำดับ ญาว (นาสิก), เฮือ, ลอง , ว่า, ฮิ ตามลำดับ ยาว, เรือ, ลอง, ว่า, พยายาม ตามลำดับ ง, ญ, น/ณ, ม อักษรต่ำนาสิก ง, ญ (นาสิก), น, ม ตามลำดับ งู, ใหญ่ (นาสิก), นา, ม้า ตามลำดับ งู, ใหญ่, นา, ม้า ตามลำดับ ห, หง, หย/หญ, หน, หม, หร/หล, หว อักษรต่ำ ห และ ห นำ ห, หง, หญ (นาสิก), หน, หม, หล, หว ตามลำดับ หา, เหงา, หญ้า (นาสิก), หนู, หมู, หลาน, แหวน ตามลำดับ หา, เหงา, หญ้า, หนู, หมู, หลาน, แหวน ตามลำดับ อ้างอิง[แก้]
|