ในปี 1900 นักเคมีชาวฝรั่งเศส-อิตาเลียนชื่อ Henry Louis Le Chatellier ได้เสนอกฎสมดุล (equilibrium law) ซึ่งมีประโยชน์ ในวงการอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งใช้กฎนี้ในการพยากรณ์อิทธิพลของความดันและอุณหภูมิที่มีต่อการเกิดปฏิกิริยา
J.H. van’t Hoff ชาวเนเทอร์แลนด์ ประจำปี 1901 S.A. Arrhenius ชาวสวีเดน ประจำปี 1903 W. Ostwald ชาวเยอรมัน ประจำปี 1909 F. Haber ชาวเยอรมัน ประจำปี 1918 C. Bosch + Friedrich Bergius ชาวเยอรมัน ประจำปี 1931 C.N. Hinshelwood ชาวอังกฤษ ประจำปี 1956 N.N. Semenov ชาวรัสเซีย ประจำปี 1956 M. Eigen ชาวเยอรมัน ประจำปี 1967 R.G.W. Norrish และ G. Porter ชาวอังกฤษ ประจำปี 1967 H. Taube ชาวอเมริกัน ประจำปี 1983 D.R. Herschbach ชาวอเมริกัน ประจำปี 1986 Y.T. Lee ชาวอเมริกัน-ไต้หวัน ประจำปี 1986 J.C. Polanyi ชาวแคนาดา-ฮังการี ประจำปี 1986 Ei-ichi Negishi, Akira Suzuki และ Richard Heck ชาวญี่ปุ่นและชาวอังกฤษ ประจำปี 2010
เมื่อศักยภาพและคุณประโยชน์ของตัวเร่งปฏิกิริยามีมากเช่นนี้ นักเคมีทั่วโลกจึงได้ทุ่มเทวิจัยเรื่องตัวเร่งปฏิกิริยา โดยพยายามสร้างโมเลกุลที่มีขนาดเล็กและมีโครงสร้างพอเหมาะ เพื่อให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นเร็ว บางคนใช้เทคโนโลยีนาโนสร้างตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีขนาดเล็กระดับอะตอม บางคนสนใจการเร่งปฏิกิริยาเคมีด้วยแสง หรือแม้แต่ DNA ก็ได้ถูกนำมาใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ด้านนักเคมีทฤษฎีก็สนใจการค้นหาตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดี และใช้คอมพิวเตอร์สร้างสถานการณ์จำลองขึ้นมา โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นเส้นทางลัดให้สาร A เปลี่ยนไปเป็นสาร B ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องให้ A เปลี่ยนเป็น C ก่อน แล้วเป็น D … ต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดได้ B ซึ่งต้องใช้เวลานาน นั่นคือ นักเคมีพยายามหาตัวเร่งปฏิกิริยามาทำหน้าที่เป็นรูหนอนที่เชื่อมต่อโดยตรงระหว่างหลุมดำ A กับหลุมดำ B