ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ในยุคนี้ข้อมูลนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ แต่เมื่อมีข้อมูลจากช่องทางต่างๆ ในมือแล้วจะทำอย่างไรถึงจะใช้ประโยชน์กับข้อมูลเหล่านี้ได้มากขึ้น ดังนั้น “Data Visualization” จึงเข้ามามีบทบาทในจุดนี้ Show Data Visualization เป็นการนำ Data ต่างๆ ที่เรามีอยู่มาวิเคราะห์และแสดงผลในรูปแบบของ Chart, Table, Map และรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งการทำ Data Visualization จะทำให้เห็นภาพในมุมมองของธุรกิจที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้น เช่น กลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน, สินค้าที่ขายดีที่สุด เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว Data Visualization ยังช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะจะทำให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดในมุมมองต่างๆ ได้มากขึ้นและมีความแม่นยำสูง ทำให้สามารถนำไปทำ Business Planning วางแนวทางของธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างในการนำ Data Visualization มาใช้กับวิเคราะห์ยอดขายของธุรกิจ 1. Top 5 of Best Seller Productทำไมเราควรถึงต้องการที่จะรู้ Top 5 of best seller product นั้นเป็นเพราะว่าเราจะสามารถกำหนดแนวทางในการทำธุรกิจของเราในอนาคต เพื่อที่จะตัดสินใจว่าจะแก้ปัญหาสินค้าบางประเภทที่ขายไม่ดี และทำอย่างไรให้สินค้าที่ขายดีอยู่แล้วนั้นขายดีต่อไป 2. Grouping Customer with Sales Orderการจัดกลุ่มประเภทของลูกค้าจะทำให้เห็นกลุ่มลูกค้าของเราที่ชัดเจนมากขึ้นโดยหลักๆ จะแบ่งโดยใช้ เพศ ช่วงอายุ หรือ จังหวัด ในเมื่อเราได้ข้อมูลมาว่ากลุ่มลูกค้าของเราหลักๆ แล้วเป็นกลุ่มลูกค้าแบบไหนจะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะวางแนวทางของธุรกิจ หรือมองหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของเราเพื่อเพิ่มยอดขายก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ 3. Sales Compareการเปรียบเทียบของการขายในแต่ละช่วงเวลา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้มองเห็นภาพรวมของธุรกิจว่ากำลังเดินไปในทิศทางไหน ถ้ายอดขายตกลงจากเดือนที่แล้วก็จะได้เตรียมตัวรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเรามีข้อมูลในด้านต่างๆ สามารถนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้ยอดขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อน หรือถ้ายอดขายดีขึ้นก็จะสามารถเห็นได้ว่าปัจจัยอะไรที่เป็นผลที่ทำให้ยอดขายสามารถเพิ่มขึ้นได้ จากตัวอย่างข้างต้นนั้นแสดงให้เห็นว่าการใช้ Data Visualization นั้นทำให้เราวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ ได้ออกมาอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ สามารถกำหนดแนวทาง และ ป้องกันความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย ในปัจจุบันนี้มี Tool ที่เป็น Data Visualization มากมายไม่ว่าจะเป็น PowerBI, SAP Analytics Cloud ถ้าหากท่านใดสนใจที่จะต้องการทำ Data Visualization ให้กับธุรกิจของท่านลองปรึกษาเราสิครับ Author: Jirayu C.
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับคำแนะนำฟังก์ชันให้เหมาะสมกับธุรกิจของท่านหากเรามีข้อมูลมากมายไปหมด ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากในการหา Insight จากข้อมูล รวมถึงการใช้ข้อมูลเพื่ออธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร วิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือการทำ Data Visualization – สร้างกราฟหรือแผนภาพจากข้อมูล แต่หลาย ๆ คน
อาจจะสงสัยว่าจะเลือกกราฟหรือแผนภาพอย่างไร ให้เหมาะสมกับข้อมูลที่มีและตอบโจทย์ที่เราต้องการ แผนภาพแต่ละประเภทนั้นมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน เราจึงต้องตอบคำถามเหล่านี้ก่อน การทำ Data Visualization ก็เปรียบเสมือนการเล่าเรื่อง (Story Telling) จากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อตอบคำถามที่ผู้ชมอาจจะมี
แน่นอนว่าถ้าเรื่องราว (Story) หรือ คำถามที่จะตอบแตกต่างกัน ก็จะต้องใช้แผนภาพคนละแบบในการอธิบาย ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการตอบคำถามว่าผลิตภัณฑ์ประเภทใดที่ขายดีที่สุด ก็ควรจะใช้กราฟที่แสดงยอดขายที่แตกต่างกันของแต่ละประเภทให้เห็นชัดเจน แต่หากเราต้องการทราบว่าเวลาที่ใช้ในการจัดส่งสินค้าเป็นอย่างไร อาจจะต้องแสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของข้อมูลเวลาที่ใช้ในการจัดส่ง การทำ Data Visualization ให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มผู้บริหารควรมีรูปแบบที่ต่างออกไปจาก
Visualization ที่ทำสำหรับผู้ชมกลุ่มผู้ปฏิบัติการ เนื่องด้วยความสนใจที่แตกต่างกันระหว่างคนสองกลุ่ม นอกจากนี้ระดับความเข้าใจของผู้ชมเป้าหมายก็ส่งถึงตัวเลือกรูปแบบในการนำเสนอข้อมูล ตัวอย่างเช่น กราฟที่ดูง่าย ๆ และกระชับ เช่น แผนภูมิวงกลม (Pie Chart) อาจจะเหมาะสมกว่าการทำแผนที่ต้นไม้ (Treemap) ที่ต้องใช้เวลาดูและคิดมากกว่า ข้อมูลอาจจะละเอียดมากเกินไปเหมาะสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น 3. ข้อมูลมีจำนวนมากขนาดไหนจำนวนของข้อมูลก็ส่งผลต่อแผนภาพที่เราจะสร้าง ตัวอย่างเช่น ถ้าทำแผนภาพการกระจาย (Scatter plot) ที่บอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายและราคา หากสินค้าซึ่งแทนด้วยจุดแต่ละจุดบนแผนภาพมีจำนวนมากก็จะทำให้แผนภาพนั้นดูเข้าใจได้ยาก (ซ้าย) ตัวอย่างเช่นนี้อาจจะต้องอาศัยการรวบแถวข้อมูล (Aggregate) ก่อนเพื่อจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่ (ขวา) เป็นต้น 4. ข้อมูลเป็นประเภทอะไรโดยทั่วไปแล้วข้อมูลอาจแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ข้อมูลประเภทหมวดหมู่ (Categorical) และข้อมูลประเภทตัวเลข (Numerical) การสร้างแผนภาพสำหรับข้อมูลต่างประเภทก็จะมีความแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากต้องการเปรียบเทียบจำนวนสินค้าในประเภทผลิตภัณฑ์แตกต่างกันก็จะใช้กราฟแท่ง แต่ถ้าเปรียบเทียบจำนวนสินค้ากับผลิตภัณฑ์ราคาต่าง ๆ กัน ก็อาจจะใช้ ฮิสโตแกรม (Histogram) เพราะว่า ประเภทผลิตภัณฑ์กับราคาสินค้าเป็นข้อมูลคนละประเภทกัน 5 องค์ประกอบของแผนภาพที่ใช้สื่อถึงอะไรหลักการของการทำแผนภาพ คือให้องค์ประกอบ (Element) แทนที่ตัวเลขหรือข้อมูลของเรา ตัวอย่างเช่น ในกราฟวงกลมเราให้ สีแสดงถึงหมวดหมู่ และมุมหรือพื้นที่ของพาย แสดงถึงจำนวนในหมวดหมู่นั้น ๆ แต่ละองค์ประกอบควรจะสื่อถึงปริมาณเพียงอย่างเดียว เพื่อให้สื่อสารได้อย่างแม่นยำ การใช้สีในแผนภาพ ด้านซ้ายใช้สีในการสื่อถึงหมวดหมู่สินค้า แต่ในด้านขวาสีไม่ได้บอกถึงอะไรจึงไม่มีความจำเป็นเพราะอาจทำให้สับสนทีนี้มาดูตัวอย่างแผนภาพต่าง ๆ ที่ใช้ตอบคำถามหลากหลายรูปแบบ1. ต้องการแสดงถึงขนาดที่ต่างกัน หรือ จัดลำดับ
โดยทั้งสองแบบอาจจะใช้สีในกรณีที่ต้องการแบ่งหมวดหมู่ ขนาดที่แตกต่างกันจะทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าปริมาณในข้อมูลกลุ่มไหนมีขนาดใหญ่ที่สุด 2. ต้องการเห็นความสัมพันธ์หากต้องการหาความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปร เช่น ราคา กับ กำไร สัมพันธ์กันอย่างไร
3. ต้องการเห็นการกระจายตัว
4. ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา
5. ต้องการเห็นข้อมูลที่เบี่ยงเบนจากปกติหากต้องการเน้นว่าตัวเลขนั้นเบี่ยงเบนจากค่าอ้างอิง เช่น เป้าหมายหรือค่าเฉลี่ยมากน้อยแต่ไหน มีค่าบวกหรือลบมากน้อยเพียงใด เราสามารถใช้สีในการช่วยสื่อถึงว่าตัวเลขมีค่าสูงหรือต่ำกว่าเป้าหมายที่ต้องการแสดงเพียงใด
6. ต้องการแสดงถึงองค์ประกอบ
7. ต้องการแสดงถึงข้อมูลเชิงพื้นที่
ตัวอย่างการใช้ Proportional Symbol Map เพื่อแสดงจำนวนประชากร จะแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวได้ชัดเจนกว่าการใช้สีแสดงจำนวนประชากร
แหล่งที่มาhttps://www.tableau.com/solutions/gallery/visual-vocabulary
|