หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

ปุจฉา : ในช่วงก่อนเข้าพรรษา ได้ฟังธรรมของพระอาจารย์ที่อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

โดย..พระอาจารย์อารยะวังโส 

เมื่อวันที่ ๑๐ ก.ค. ๒๕๕๔ มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของจิต ที่ควรหมั่นตรวจสอบ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เข้มแข็ง มั่นคง ในวิถีสังคมที่วุ่นวายอย่างนี้

กราบนมัสการพระอาจารย์

นายฤทธิวุฒิ

วิสัชนา : เพื่อสาธุชนพึงจะได้พิจารณาเจริญปัญญาเพิ่มพูนสติ ในการเดินทางของชีวิตไปข้างหน้าอย่างไม่ประมาท และอย่างไม่สูญเสียคุณความดีตามวิถีพุทธ ของสาธุชนที่ได้ติดตามอ่านอย่างพินิจพิจารณา เพื่อเสริมสร้างสติปัญญา รับเทศกาลอยู่จำพรรษา ประจำปี ๒๕๕๔ มีเนื้อหาธรรมะอย่างไร กรุณาติดตามอ่านจากเนื้อหาต่อไปนี้...

“...เป็นคนดีคือ รู้จักศีลธรรม มีศีลธรรม เป็นคนดีในวิถีของพระพุทธศาสนา รู้จักทำความดี ทำความดีเป็น เช่น เราขอขมากรรมกัน เป็นคนดีในวิถีพุทธศาสนา คือ ทำสิ่งที่ควรทำและไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ แม้การคิดการพูดก็เช่นเดียวกัน คิดสิ่งใดคิดดีก็ควรคิด คิดแล้วมีประโยชน์ คิดแล้วเราเกิดความสุขความเจริญในจิตใจ เหมือนเราเติมปุ๋ย ความคิดที่ดี ก็คือปุ๋ยชั้นดีของจิต ความคิดที่ชั่ว คือยาพิษที่ทำร้ายจิตให้ฉิบหาย!! เพราะฉะนั้นความคิดที่เราเติมทุกวันๆ มันเป็นปุ๋ย ถ้าเราเติมปุ๋ยดีๆ ก็คือ คิดดีๆ เข้าไป จิตก็เจริญเติบโตในทางที่ดี แต่ถ้าเราคิดไม่ดี มันก็เหมือนเราเติมยาพิษ เติมสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป จิตมันก็เหี่ยวเฉาตาย คือตายจากความดี...”

ความคิดเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เพราะเราไม่ทันความคิด เราจึงวิปริตในการกระทำ เราจึงต้องฝึกฝนสติเพื่อให้ทันความคิด สังเกตไหมเรามักคิดชั่วมากกว่าคิดดี ลองสังเกตพฤติจิตของตนดู ถ้าใครบอกว่าคิดดีจริงๆ ไม่คิดชั่วเลย เลิกคุยกันเลย วิถีจิตของคน หรือปุถุชน เรียกว่า มันหนา มันหยาบ ความหนาความหยาบ เรียกว่า ปุถุชน เติมอีกตัวคือ ความบาป เรียกว่าปุถุชน บาป หยาบ หนา จึงแปลว่า ปุถุชน!!

สังเกตไหมว่า ทำไมเราจึงต้องมีศีลมาค้ำไว้ ก็เพื่อจะได้เตือนจิตของเราว่าอย่าทำชั่วนะ แต่เราก็ไม่เว้นการทำชั่วอยู่นั้น ศีล ๕ ข้อเราจึงรักษาไม่ได้กันเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะข้อที่ ๔ เผลอๆ เอาแล้ว พูดเท็จ พูดส่อเสียด ติฉินนินทา พูดคำหยาบ พูดเหลวไหลไร้สาระ วจีกรรม ๔ ทุจริต สังเกตไหมว่ามันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ก็ยังเป็นอย่างนี้ จึงต้องเอาศีลมาค้ำปากไว้ จะพูดจะจาให้ศีลมาค้ำปากไว้ กำกับกลั่นกรองคำพูด ว่าพูดแล้วมันเป็นโทษหรือไม่... หากรู้ว่าเป็นโทษ ทุศีล เบียดเบียนผู้อื่น ก็ต้องกราบขอขมาลาโทษกันไปตามวิถีพุทธ เพื่อความสันติสุขของทุกๆ ฝ่าย ที่ต้องสัมพันธ์ร่วมกันในวิถีสังคม!!

การขอขมากรรมจึงเป็นการแสดงความสำนึกในทางการกระทำในเชิงสัญลักษณ์ทางสังคมต่อวิถีของความเป็นคนดีในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ผู้ดีแบบโลกยกย่อง...โลกสมมติ เมื่อเราสำนึกแล้วว่าเราจะไม่ทำความชั่ว เรารู้ว่าเป็นความเศร้าหมอง ก็ไม่ควรทำอีกต่อไป แสดงด้วยเจตนาจากจิตสำนึกของเรา นี่คือพระพุทธศาสนา ถ้าเราไม่มีความสำนึก เช้าขอ บ่ายขอ เย็นขอ เรียกว่า ลูบคลำ ยิ่งนักหนาเข้าไปอีก เราไปไหว้พระ แต่จิตเรายังบาปอยู่ เราก็ยิ่งบาปหนักเข้าไปอีก กลับกลายเป็นว่าเราไปจาบจ้วงล่วงเกินในองค์คุณอันสูง ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งให้คุณมากเท่านั้น ในทางกลับกันก็ให้โทษมหันต์ เคยมีผู้เบียดเบียนพระสงฆ์ผู้มีคุณธรรมสูงๆ ก็เห็นความฉิบหายเกิดขึ้นมากมายอย่างทันตาก็มีเยอะ อยู่ดีๆ ขึ้นมาก็เป็นมะเร็งในกระดูก ทรัพย์ก็สูญ ทุกอย่างก็ฉิบหาย อายุขัยก็สั้น บางพวกที่มีต้นทุนมามากๆ ก็ถูกเบียดเบียนไปเรื่อยๆ ด้วยกรรมของตนเอง ให้สูญสิ้นบารมีความดีที่เคยเกื้อกูลให้ตนมีความสุขไป เหมือนเทียนมันเผาตนเอง เผาไปๆ เทียนเรายาวหน่อย เรายังไม่เห็นว่ามันหมดเชื้อ

อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้
 

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก
วัตถุประสงค์ทั่วไป
       1. ทราบถึงความสำคัญของจิตสาธรณะ
       2. เข้าใจการยกตัวอย่างการมีจิตสาธารณะในการรับผิดชอบตนเองและต่อสังคม

      

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
      1. อธิบายความสำคัญของจิตสาธรณะได้
      2. อธิบายและ ยกตัวอย่างการมีจิตสาธารณะในการรับผิดชอบตนเองและต่อสังคมได้

      

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก
เนื้อหาสาระ
    
 ความเจริญทางด้านวัตถุปัจจุบัน ทำให้สังคมมีค่านิยม ให้ความสำคัญและแสวงหาเงินทองอำนาจ มากกว่า
ให้ความสำคัญด้านจิตใจ สังคมจึงกลับเสื่อมโทรมลง ปัญฆามากมาย การปลูกฝังจิตใจให้บุคคลมีความรับผิดชอบ
ต่อตนเองและสังคมจึงควรเกิดขึ้นในสังคม ด้วยเหตุนี้จึงมีการกล่าวถึงคำว่า "จิตสาธารณะ" มากขึ้นเพื่อประโยชน์
ที่จะเป็นแนวคิดต่อตนเอง อันจะสร้างประโยชน์ ก่อให้เกิดการพัฒนาแก่สังคม

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก
จิตสาธารณะ
      การปลูกฝังจิตใจให้บุคคลมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เป็นการสร้างคุณธรรมจริยธรรมซึ่งเป็นเรื่อง
ที่เกิดจากภายใน "จิตสาธารณะ" เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญในการปลูกจิตสำนึกให้คนรู้จักเสียสละ ร่วมแรง
ร่วมใจ มีความร่วมมือในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ช่วยลดปัญหารที่เกิดขึ้นในสังคม ช่วยกันพัฒนาคุณภาพ
ชีวิต เพื่อเป็นหลักการในการดำเนินชีวิต ช่วยแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สุขแก่สังคม

        ความหมายของจิตสาธารณะ

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

    

 จิตสารธารณะ (Public mind) หมายถึง จิตสำนึกเพื่อส่วนรวม เพราะคำว่า �สาธารณะ� คือ สิ่งที่มิได้
้เป็นของผู้หนึ่งผู้ใด จิตสาธารณะจึงเป็นความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของในสิ่งทีเป็นสาธารณะ ในสิทธิและหน้าที่
ที่จะดูแลและบำรุงรักษาร่วมกัน เช่น การช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการไม่ทิ้ง ขยะลงในแหล่งน้ำ
การดูแลรักษาสาธารณะสมบัติ เช่นโทรศัพท์สาธารณะ หลอดไฟที่ให้แสงสว่างตามถนนหนทาง แม้แต่การ
ประหยัดน้ำประปา หรือไฟฟ้า ที่เป็นของส่วนรวม โดยให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าตลอดจนช่วยดูแลรักษาให้ความ
ช่วยเหลือผู้ทุกข์ได้ยาก หรือผู้ที่ร้องขอความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ตลอดจนร่วมมือกระทำเพื่อให้เกิดปัญหา
หรือช่วยกันแก้ปัญหา แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนร่วม

      จิตสาธารณะเพื่อส่วนรวม
      จิตสำนึกเพื่อสวนรวมนั้นสามารถกระทำได้ โดยมีแนวทางเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
      1. โดยการกระทำตนเอง ต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและเกิดความเสียหาย
ต่อส่วนรวม

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

จิตสาธรณะเพื่อส่วนร่วมคือต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม

      2. มีบทบาทต่อสังคมในการรักษาประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อแก้ปัญหา สร้างสรรค์สังคม ซึ่งถือว่าเป็น
ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

การช่วยกันเก็บขยะ วิธีหนึ่งแสดงถึงการมีจิตสารณะส่วนร่วม

ความสำคัญของจิตสาธารณะ
       
จิตสาธารณะเป็นความรับผิดชอบที่เกิดจากภายใน คือ ความรู้สึกนึกคิด จิตใต้สำนึกตลอดจจนคุณธรรม
จริยธรรม ซึ่งอยู่ในจิตใจ และส่งผลมาสู่การกระทำภายนอก
      ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าเกิดจากการขาดจิตสำนึกของคนส่วนรวมในสังคมเป็นสำคัญ เช่น
      1. ปัญหายาเสพติด ซึ่งเกิดจากความเห็นแก่ตัวของผู้ชาย ไม่นึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไปกับสังคม

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

ผู้ขาดจิตสำนึกค้ายาเสพติดถูกตำรวจจับดำเนิคดี

      2. ปัญหามลพิษต่าง ๆ ที่เกิดจากความไม่รับผิดชอบ ขาดจิตสำนึกเช่น

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

 - การปล่อยน้ำเสียออกจากโรงงาน โดยไม่ผ่านการบำบัด

          - การจอดรถยนต์โดยไม่ดับเครื่องยนต์ ทำให้เกิดควันพิษ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่
          - ทรัพยากรป่าไม้ถูกทำลาย
          - ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้ง
          - การใช้ทางเท้าสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม
          - การทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง
          - การฉีดสารเร่งเนื้อแดงในสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุกร ซึ่งมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บในมนุษย์
เช่นโรคมะเร็งเป็นต้น
       จิตสาธารณะจึงเป็นสิ่งสำคัญในสังคม เยาวชนต้องให้ความสำคัญและตระหนักในสิ่งนี้
        ความรับผิดชอบต่อตนเอง

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

       

จิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อตนเอง นับว่าเป็นพื้นฐานต่อความรับผิดชอบ ต่อสังคม ตัวอย่างความ
รับผิดชอบ ต่อตนเองดังนี้
        1. ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหาความรู้
        2. รู้จักการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้แข็งแรงสมบรูณ์
        3. มีความประหยัดรู้จักความพอดี
        4. ประพฤติตัวให้เหมาะสม ละเว้นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย
        5. ทำงานที่รับมอบหมายให้สำเร็จ
        6. มีความรับผิดชอบ ตรงเวลา สามารถพึ่งพาตนเองได้

        ความรับผิดชอบต่อสังคม

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก

       เป็นการช่วยเหลือสังคม ไม่ทำให้ผู้อื่นหรือสังคมเดือดร้อนได้รับความ เสียหายเช่น
       1. มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว เช่น เชื่อฟังพ่อแม่ ช่วยเหลืองานบ้าน ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ
       2. มีความรับผิดชอบต่อโรงเรียน ครูอาจารย์ เช่น ตั้งใจเล่าเรียน เชื่อฟังคำสั่งสอนของครูอาจารย์
ปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยของโรงเรียน ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของโรงเรียน
       3. มีความรับผิดชอบต่อบุคคลอื่นเช่นให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำไม่เอาเปรียบเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน
       4. มีความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง เช่น ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม ปฏิบัติตามกฎหมาย รักษา
สมบัติของส่วนรวม ให้ความรร่วมมือต่อสังคมในฐานะพลเมืองดี ให้ความช่วยเหลือ

หลักธรรม เกี่ยวกับ จิตสำนึก
แนวทางการสร้างจิตสาธารณะ
       การสร้างจิตสาธารณะ เป็นความรับผิดชอบในตนเอง แม้ว่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนถ้าใจตนเองไม่ยอมรับ จิตสาธารณะก็ไม่เกิด ฉะนั้นคำว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" จึงมีความสำคัญส่วนหนึ่งในการสร้างจิตสาธารณะ
ถ้าตนเองไม่เห็นความสำคัญแล้วคงไม่มีใครบังคับได้
       นอกจากใจของตนเองแล้ว แนวทางที่สำคัญในการจิตสาธารณะยังมีอีกหลายประการถ้าปฏิบัติได้ก็จะเป็น
ประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ดังน
ี้       1. สร้างวินัยในตนเอง ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในระบบประชาธิปไตย รู้ถึงขอบเขตของสิทธิ เสรีภาพ
หน้าที่ ความรับผิดชอบ ต่อตนเองและสังคม
       2. ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ตระหนักเสมอว่าตนเอง คือส่วนหนึงของสังคมต้องมีความรับผิดชอบ
ในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องของส่วนรวม ทั้งต่อประเทศชาติ และโลกใบนี้
       3. ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคม ให้ถือว่าเป็นปัญหาของตนเอง เช่นกันอย่าง
หลีกเลี่ยง ไม่ได้ ต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ช่วยกันดำเนินการให้โรงงานอุตสาหกรรมสร้างบ่อพักน้ำทิ้งก่อน
ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
       4. ยึดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต เพราะหลักธรรมหรือคำสั่งสอนในทุกศาสนาที่นับถือ สอนให้คน
ทำความดีทั้งสิ้น ถ้าปฏิบัติได้จะทำให้ตนเองมีความสุข นอกจานี้ยังก่ิอให้เ้กิดประโยชน์ต่อสังคมด้วย
ทำให้เราสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
      ตัวอย่างหลักธรรมทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
      พระพุทธศาสนา
      หลักคำสอนในการช่วยเหลือ หรือพึ่งพาตนเอง ที่พุทธศาสนิกชนได้ยินจากพุทธสุภาษิตอยู่เสมอ คือ
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ หรือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
      คริสต์ศาสนา
      หลักคำสอนในศาสนาคริสต์ คือ ต้องรู้จักช่วยเหลือตนเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยท่าน
      ศาสนาอิสลาม
      หลักคำสอนจะคล้ายกับคริสต์ศาสนา ก็คือ ให้รู้จักช่วยตนเอง และรู้จักเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดี
เสียก่อนแล้วพระเจ้าจะช่วยท่าน