การจัดการเรื่อง ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน สำหรับกิจการที่มีการจ้างแรงงาน ทางสรรพากรกำหนดการจ้างแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา เบี้ยเลี้ยง โบนัส จัดอยู่ประเภทเงินได้พึงประเมินมาตรา 40(1) และ 40(2) แล้วแต่กรณี ต้องคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามอัตราก้าวหน้า Show
ดังนั้น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน กิจการจำเป็นต้องหักไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายค่าจ้าง โดยต้องเป็นไปตามเกณฑ์การหักภาษี ณ ที่จ่ายที่กฎหมายกำหนด เช่น หากมีรายได้จากงานประจำเพียงทางเดียว ถ้ามีฐานเงินเดือนดังต่อไปนี้ จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และเสียภาษีประจำปี – เงินเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องยื่นภาษี – เงินเดือนไม่เกิน 25,833.33 ต้องยื่นภาษี แต่ไม่ต้องเสียภาษี – เงินเดือนเกิน 25,833.33 บาท ต้องยื่นภาษี หักภาษี ณ ที่จ่าย และต้องเสียภาษี – หากไม่ได้จ่ายประกันสังคม และเงินเดือนไม่เกิน 25,833.33 บาท ต้องยื่นภาษี แต่ไม่ต้องเสียภาษี – หากไม่ได้จ่ายประกันสังคมและเงินเดือนเกิน 25,833.33 บาท ต้องยื่นภาษี หักภาษี ณ ที่จ่าย และต้องเสียภาษี โดยเจ้าของกิจการมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ “การจัดทำ หนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่าย” และยังมีการจ้างแรงงานประเภทอื่นๆ ที่ต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งหากเข้าเงื่อนไขแต่ไม่ทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือไม่ส่งข้อมูล รวมถึงส่งไม่ครบถ้วน อาจโดนโทษปรับและเสียภาษีในส่วนนี้เองด้วย
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน ต้องหักเท่าไหร่ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน คือการเสียภาษีรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผู้รับจะถูกหักเงินไว้ส่วนหนึ่งทันที ณ ตอนที่มีการจ่ายเงิน โดยผู้จ่ายที่จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล จะต้องหักไว้ก่อนจ่ายค่าจ้างแรงงาน ซึ่งค่าจ้างแรงงานประกอบด้วย – ค่าจ้างแรงงาน ค่าจ้าง เงินเดือน คือเงินที่จ่ายให้แก่คนทำงานเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน รวมถึงลูกจ้างที่มาทำงานเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะจ่ายเป็นงวดรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน รายชั่วโมง หรือรายชิ้น หักภาษี ณ ที่จ่าย คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามอัตราก้าวหน้า – ค่าตอบแทนแรงงานอื่นๆ เช่น เงินโบนัส ค่าล่วงเวลา เงินพิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากเงินโบนัสและค่าล่วงเวลา คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน ตามอัตราก้าวหน้า หลักการคำนวณ คือ… Step 1 Step 2 – การจ้างแรงงานประเภทอื่น เช่น จ้างเหมาเขียนงานเป็นรายชิ้น หรือจ้างทำบัญชีของกิจการ ให้เจ้าของกิจการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน หัก 3% ของค่าจ้าง
หน้าที่ของผู้หักภาษี ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงานเจ้าของกิจการผู้จ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแรงงาน ต้องทำการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งภาษี ดังนี้ – กรณีหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินเดือนประจำ จะออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ให้กับพนักงานในช่วงสิ้นปี – การจ้างแรงงานประเภทอื่น ให้ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย – ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.1 ภายใน 7 วัน นับจากวันสิ้นเดือนที่มีการจ่ายเงินเดือนและค่าแรงงาน (ยกเว้นพนักงานที่มีเงินได้ฯ ไม่ถึงเกณฑ์ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ต้องแสดงรายการจ่ายในแบบฯ) – ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.1 ก ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี โดยแสดงรายการหักภาษีตลอดปีภาษีของพนักงานทุกคน – กรณีพนักงานออกจากงานในระหว่างปีภาษี เจ้าของกิจการผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ของปีถัดจากปีภาษีหรือภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่พนักงานออกจากงานในระหว่างปีภาษี
ไม่หัก-ไม่ส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน มีผลเสียอย่างไรอาจไม่เป็นผลดีทั้งผู้หักภาษี ณ ที่จ่าย และผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หากมีการจ้างแรงงานแต่ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงานไว้ หรือว่าส่งข้อมูลให้สรรพากรไม่ครบ อาจทำให้ผู้จ้างมีโทษปรับและต้องเสียภาษีย้อนหลังในส่วนนี้ ส่วนผู้รับเงินหากรายได้เกิน 120,000 บาท ต้องยื่นภาษี และเสียภาษีเมื่อมีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท แต่ถ้าไม่ยื่นภาษีประจำปีแก่สรรพากร เมื่อสรรพากรตรวจสอบพบว่ามีภาษีต้องชำระเพิ่ม อาจถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1.ความรับผิดของผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 1.1 กรณีผู้จ่ายเงินไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ในจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนที่ไม่ได้หัก และไม่ได้นำส่งให้ผู้จ่ายและผู้มีเงินได้จะต้องรับผิดร่วมกัน 1.2 กรณีผู้จ่ายหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ไม่ครบถ้วน จึงนำส่งภาษีขาดไปกว่าจำนวนที่ต้องเสีย ให้ผู้จ่ายเงินได้และผู้มีเงินได้ร่วมรับผิดด้วยกัน 1.3 กรณีผู้จ่ายเงินได้หักภาษีไว้ แต่ไม่ได้นำส่งหรือนำส่งไม่ครบจำนวนผู้มีเงินได้ ซึ่งต้องเสียภาษีพ้นความรับผิดที่ต้องชำระเท่าจำนวนที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายได้หักไว้แล้ว ให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายรับผิดชำระเงินภาษีนั้นแต่ฝ่ายเดียว 1.4 กรณีผู้หักนำส่งไม่ครบ หรือขาดจำนวน หรือไม่ส่งเลยหรือล่วงเลยเวลาที่กำหนด ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ไม่ครบ หรือขาด หรือไม่ส่ง หรือล่งเลยกำหนดเวลาอีกส่วนหนึ่งอีกด้วย แต่เงินเพิ่มดงกล่าวต้องไม่เกินจำนวนภาษีที่จะต้องนำส่ง 1.5 กรณีผู้จ่ายเงินได้ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ต่อมาผู้เสียภาษีได้นำภาษีไปชำระ เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกเก็บเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายแต่ผู้เดียว โดยไม่จำเป็นต้องเรียกเก็บจากผู้มีเงินได้ก่อนได้ 1.6 หากไม่ยื่นรายการนำส่งภาษี ต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย 1.7 ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ที่หักภาษีตามประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่จัดทำบัญชีพิเศษตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท 2.ความรับผิดของผู้มีหน้าที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 2.1 ยื่นคำร้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีเงินได้ 2.2 ผู้มีเงินได้ประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง มีหน้าที่แจ้งรายการหักลดหย่อนต่อผู้จ่ายหรือนายจ้าง 2.3 ผู้มีเงินได้ถึงเกณฑ์ ต้องยื่นแบบแสดงรายการ และชำระค่าภาษี มีสิทธินำภาษีที่ถูกหักไว้มาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระตามปกติได้ โดยแนบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี 2.4 ผู้มีเงินได้ที่ถูกหักภาษีไว้มากเกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระ มีสิทธิขอคืนภาษีได้ภายในกำหนดเวลา 2.5 กรณีผู้มีเงินได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว แต่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี เจ้าพนักงานจะประเมินภาษีที่ต้องเรียกเก็บ โดยคำนวณภาษีพร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเป็นจำนวนตามกฎหมายก่อน แล้วจึงนำภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายและนำส่งมาหักออก (ข้อมูลจาก : เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม)
สรุปดังนั้น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงาน ผู้จ้างหรือนายจ้างมีหน้าที่หักไว้ สำหรับพนักงานที่มีเงินได้สุทธิทั้งปีเกิน 150,000 บาท โดยใช้วิธีการคำนวณเหมือนการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากนั้นจึงนำภาษีที่ต้องเสียมาหาร 12 เพื่อหาภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงานแต่ละเดือน ส่วนจ้างแรงงานประเภทอื่นๆ ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 3% พร้อมกับออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) และนำส่งข้อมูลแก่สรรพากร แต่ถ้าหากกิจการจ้างสำนักงานรับทำบัญชี ทางสำนักงานบัญชีจะจัดการเรื่องเอกสารและยื่นแบบ ส่งข้อมูลให้กับสรรพากรแทนกิจการอยู่แล้ว ก็จะหมดห่วงเรื่องเอกสาร การทำบัญชี และการยื่นภาษี แต่เจ้าของกิจการที่มีนักบัญชีต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ดังที่กล่าวไปแล้วอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงโทษปรับและอาจต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ค่าจ้างแรงงานเอง PrevPreviousล้มละลาย อยากจดบริษัททำได้หรือไม่ OUR STORYเรามีชื่อในการช่วยเหลือเจ้าของธุรกิจในเรื่องบัญชีและภาษีเพื่อให้เจ้าของธุรกิจมั่นใจว่าบัญชีและภาษีที่ทำออกมานั้นถูกต้องอีกทั้งเรายังให้คำแนะนำกับเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจที่กำลังเติบโต ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องจำนวนคนหรือเวลาที่มีน้อยกว่าบริษัทระดับ Corporate หรือความรู้ในการบริหารจัดการภาษีซึ่งเราก็มีผู้ตรวจสอบบัญชี CPA คอยให้คำแนะนำกับเจ้าของธุรกิจทุกท่าน บริษัทไม่ หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้ ไหมเงินภาษีที่หักไว้ ณ ที่จ่าย ถ้าไม่หักหรือหักแล้วไม่นำส่งภายในกำหนด 7 วันนับแต่วันจ่ายเงินหรือภายใน 7 วันนับแต่สิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงิน ผู้จ่ายเงินต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของภาษีที่ต้องนำส่ง แต่เงินเพิ่มดังกล่าวต้องไม่เกินจำนวนภาษีที่นำส่ง
ใครเป็นผู้รับผิดในกรณี ไม่ได้ หักภาษี ณ ที่จ่ายกรณีที่ ไม่ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนำส่ง หรือหักและนำส่งไว้แล้วแต่ยังไม่ถูกต้อง ครบถ้วน ผู้จ่ายเงินได้ต้องร่วมรับผิดกับผู้มีเงินได้ในจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่ยังหักและนำส่งไว้ไม่ครบถ้วนนั้น
ใครเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายสรุปได้ว่า ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือเงินภาษีที่ผู้จ่ายเงินจะหักออกจากเงินที่จะจ่ายให้กับผู้รับ โดยผู้จ่ายเงินมีหน้าที่นำเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย นำส่งให้กับสรรพากร ส่วนผู้รับเงินก็จะได้รับหนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่าย จากผู้จ่าย เพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบภาษีกับสรรพากรว่าได้ชำระภาษี ในรูปแบบของภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ทยอยจ่าย ...
ค่าจ้าง แรงงาน ต้องหัก ณ ที่จ่าย ไหมการจ้างแรงงาน เจ้าของกิจการผู้จ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแรงงาน ต้องทำการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งภาษี ดังนี้ - ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ภายใน 7 วัน นับจากวันสิ้นเดือนที่มีการจ่ายเงินเดือนและค่าแรงงาน (ยกเว้นพนักงานที่มีเงินได้ฯ ไม่ถึงเกณฑ์ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ต้องแสดงรายการจ่ายในแบบฯ)
|