การ แต่งตั้ง คณะกรรมการ ชมรม

3. ป.ป.ช.ชี้มูล “ชนม์สวัสดิ์” เมื่อครั้งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนวัด 836 ล้านมิชอบ!


เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหานายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ กับพวก ร่วมกันพิจารณาและอนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปีงบประมาณ 2554-2556 โดยมิชอบ

ซึ่งต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว จากการไต่สวนพบว่า นายชนม์สวัสดิ์ กับพวก ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างปีงบประมาณ 2554-2556 รวม 68 โครงการ เป็นเงิน 836,129,125 บาท

ซึ่งการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการช่วงเวลาดังกล่าว จำนวน 20 โครงการ วงเงินงบประมาณ 338,753,750 บาท ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายปกรณ์ เนตรประภา ซึ่งมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับผู้บริหารของ อบจ.สมุทรปราการ จะแสดงตัวเป็นตัวแทนหรือคนของผู้บริหาร อบจ.สมุทรปราการไปประสานงานติดต่อกับวัดที่ขอรับเงินอุดหนุนเพื่อก่อสร้างเมรุหรือศาลาการเปรียญ มีการจัดทำคำขอ แบบแปลนและประมาณการราคานำไปให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ลงนาม และได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนำไปยื่นให้กับ อบจ.สมุทรปราการ

เมื่อ อบจ.สมุทรปราการได้รับคำขอแล้ว นายอำนวย รัศมิทัต ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2554 และนายชนม์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2555-2556 ได้ร่วมกับนายมนัส บุญอารีย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นปลัด อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2554-2555 และนายสายัณห์ รักษนาเวศ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นปลัด อบจ.สมุทรปราการในช่วงปีงบประมาณ 2556 นายวิชัย จันทร์จำรูญ ผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นายชัยยศ ตั้งจิตดำรง ผู้อำนวยการกองช่าง และนายอนุวัช ควรคิด รีบเร่งตั้งงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุน เสนอและเห็นชอบโครงการเข้าแผนพัฒนาของ อบจ.สมุทรปราการ โดยไม่ตรวจสอบรายละเอียดโครงการ รายละเอียดแบบแปลนและประมาณราคาก่อสร้างซ่อมแซมศาสนสถาน ว่ามีความถูกต้องเหมาะสมกับงบประมาณที่ขอมาหรือไม่

มีการจัดทำและประกาศใช้แผนพัฒนาของ อบจ.สมุทรปราการ ประกาศใช้ข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี จนกระทั่งมีการอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่วัดตามวงเงินที่ขอมา โดยในขั้นตอนการรับเงินอุดหนุน เมื่อ อบจ.สมุทรปราการ อนุมัติเงินแล้ว นายปกรณ์ เนตรประภา จะแจ้งให้ทางวัดทราบล่วงหน้า เพื่อนัดหมายกับเจ้าอาวาสวัดให้ไปรับเช็คเงินอุดหนุน เมื่อทางวัดไปรับเช็คมาแล้ว ในวันเดียวกัน นายปกรณ์ จะร่วมกับเจ้าอาวาสหรือผู้แทนวัด นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารพร้อมกับเบิกเงินและมอบให้นายปกรณ์ จำนวนครึ่งหนึ่งของวงเงินที่ได้รับการอุดหนุน จากนั้นบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ฯ ซึ่งมีนายปกรณ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ จะได้เข้ามาเป็นผู้รับจ้างดำเนินงานตามโครงการที่ได้รับเงินอุดหนุน

ภายหลังเมื่อ อบจ.สมุทรปราการ ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่วัด และวัดได้รับเงินแล้ว นายชนม์สวัสดิ์ ในฐานะนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก กลับไม่ตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินอุดหนุน และการดำเนินงานในแต่ละโครงการว่า ได้ดำเนินการเป็นไปตามแบบแปลนและประมาณการราคา คุ้มค่าและเหมาะสมกับงบประมาณที่อุดหนุนหรือไม่ การดำเนินโครงการแล้วเสร็จเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ทุกโครงการมีปัญหาจากการก่อสร้าง อันเกิดจากผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา มีการจ้างช่วง ทิ้งงาน อีกทั้งการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลน รายการปริมาณงานและประมาณการราคา เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อราชการ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้ว มีมติว่า การกระทำของนายชนม์สวัสดิ์ และนายอำนวย มีมูลเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และมีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157

การกระทำของนายสายัณห์, นายวิชัย, นายชัยยศ, นายมนัส และนายอนุวัช มีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และการกระทำของบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ และนายปกรณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151, 157 ประกอบมาตรา 86

ส่วนเหตุใด ป.ป.ช.เพิ่งจะมาชี้มูลคดีดังกล่าว นายนิวัติไชย ชี้แจงว่า ถ้าดูไทม์ไลน์จะเห็นว่า ป.ป.ช.ทำมาตลอด มีการขยายผล เพราะไม่ใช่วัดเดียวที่ได้รับเงินและเหตุเกิด 3 ปีงบประมาณ เงิน 800 กว่าล้าน แต่เราเจาะแค่ 200 ล้านที่ไม่สัมพันธ์กัน คือจ่ายเงินไปแล้วการก่อสร้างไม่มีประสิทธิภาพ ปล่อยปละละเลยและมีการหาผลประโยชน์ โดยมีการเสนอเข้าที่ประชุม ป.ป.ช 3 ครั้ง ซึ่งที่ประชุมก็มีมติให้มีการไต่สวนเพิ่มเติม จนได้รายละเอียดครบถ้วน ประกอบกับ ป.ป.ช. เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องสำคัญ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น การไต่สวนจึงต้องละเอียด และดำเนินการตามกลไก

4. คนไทยเฮ! ได้ดูบอลโลกครบ 64 แมตช์ หลัง กกท.ปิดดีลกับฟีฟ่าที่ 1,400 ล้าน ด้านผู้ว่า กกท. ขอบคุณ “บิ๊กป้อม-คุณหญิงปัทมา”!



ความคืบหน้าการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 พ.ย.-18 ธ.ค.นี้ ที่ประเทศกาตาร์ หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัย และพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) ให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 จำนวน 600 ล้านบาท จากที่ กกท. เสนอขอรับ 1,600 ล้านบาท ทำให้ กกท. ต้องหาภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนอีก 1,000 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานว่า มีภาคเอกชน 3 ราย พร้อมสนับสนุนรวมเป็นเงินประมาณ 400 ล้าน ทำให้ กกท. ต้องหาผู้สนับสนุนเพิ่ม ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือถึงสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เพื่อเจรจาขอลดค่าลิขสิทธิ์ลงอีก จากที่ก่อนหน้า ฟีฟ่าเคยลดให้จาก 38 ล้านเหรียญ เหลือ 36 ล้านเหรียญมาแล้ว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 พ.ย. นายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่า กกท. เผยว่า ได้เจรจากับฟีฟ่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นข่าวดีของแฟนบอลชาวไทย ที่จะได้ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก กาตาร์ 2022 ครบทั้ง 64 แมตช์ และว่า ในโอกาสนี้ ต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานบอร์ด กกท. และประธานบอร์ดกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ที่ช่วยประสานงานเรื่องงบประมาณกับ กสทช. และภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซีเมมเบอร์) ที่ช่วยพูดคุยกับ จานนี อินฟานติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในฐานะที่เป็นไอโอซีเมมเบอร์ ด้วยกัน จนทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี

ทั้งนี้ กกท. กับฟีฟ่า เจรจาจบลงที่ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 36 บาท) แต่ยังไม่ได้คิดภาษีอีก 15% รวมทั้งต้องติดตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่มีการทำธุรกรรม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจจะมีโอกาสจบที่ 1,400 ล้านบาท โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะดำเนินการในเรื่องของขั้นตอนการลงนามสัญญา เพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนเกมนัดแรกจะเริ่มวันที่ 20 พ.ย.นี้

ผู้ว่าการ กกท. เผยด้วยว่า กกท. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ประสานงานและให้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ให้ประชาชนได้ดูฟรีทุกช่องทาง ได้ปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก กสทช. ในการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 600 ล้านบาท และภาคเอกชนอีกหลายแห่ง ที่ยังได้ให้การสนับสนุน สมทบงบประมาณให้ครบ รวมถึงกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติที่ช่วยเหลืออีกด้วย

5. ธุรกิจอาหารโอด หากรัฐขึ้นค่าไฟปีหน้า ทำต้นทุนพุ่ง ต้องขึ้นราคาอาหาร ขอรัฐลดภาษีให้เอสเอ็มอี!


นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร กล่าวถึงกรณีสำรักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4.72 บาทต่อหน่วย โดยปรับขึ้นใน 3 ทางเลือกคือ อยู่ที่ระดับ 5.37 บาทต่อหน่วย ระดับ 5.70 บาทต่อหน่วย และ 6.03 บาทต่อหน่วยว่า ไม่ว่าจะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในระดับใดก็ตาม ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารจะได้รับผลกระทบทั้งหมด เนื่องจากค่าไฟฟ้าถือเป็นต้นทุนคงที่ เพราะเมื่อเปิดร้านอาหาร จะต้องมีตู้แช่อาหารสด รวมถึงร้านอาหารที่ติดเครื่องปรับอากาศจะยิ่งได้รับผลกระทบมาก

นายสรเทพ กล่าวด้วยว่า “เดิมทีค่าไฟฟ้าก่อนจะขึ้นมาที่ระดับ 4.72 บาทต่อหน่วย ที่ปรับเพิ่มจากเดิม 3 บาทกว่าๆ ซึ่งต้นทุนค่าไฟฟ้าในร้านอาหารจะอยู่ในระดับประมาณ 28-30% เมื่อเจอค่าไฟฟ้า 4.72 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 35% หรือมีผลทันที 5% และหากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอีกครั้งในงวดต้นปี 2566 จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพิ่มขึ้นอีก 5% โดยรวมจากการขึ้นค่าไฟฟ้าครั้งก่อนและครั้งใหม่จะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10% ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนนี้ผู้ประกอบการอาจจะขึ้นราคาอาหารหรือสินค้า แต่คงขึ้นระดับสูงมากไม่ได้ เนื่องจากการแข่งขันสูง และรายได้ประชาชนยังกลับมาไม่มาก การขึ้นราคาจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี”

นายสรเทพยังมีข้อเสนอให้รัฐด้วยว่า อยากให้รัฐนำไปพิจารณาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กรวมถึงรายย่อย (เอสเอ็มอี) คือ 1.อยากให้รัฐอนุญาตให้ธุรกิจเอสเอ็มอีนำส่วนต่างจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เพิ่มขึ้น 10% จากการปรับค่าไฟฟ้า สามารถหักภาษีหรือลดหย่อนภาษีได้ 10% เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบธุรกิจได้ 2.การให้สินเชื่อกับผู้ประกอบธุรกิจ ปัจจุบันรัฐมีกองทุนฟื้นฟูเศรษบกิจ ที่คาดว่ามีเงินประมาณ 4 แสนล้านบาท ขอให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินได้สะดวกขึ้น

ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าถือเป็นต้นทุนหลักของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ หากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) จะเป็นการซ้ำเติมภาคธุรกิจอย่างยิ่ง เนื่องจากในปี 2566 ตั้งแต่ต้นปี ผู้ประกอบการต้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้กับแรงงาน ค่าน้ำมัน วัตถุดิบต่างๆ ก็ยังทรงตัวอยู่ระดับสูง

นายธนิต กล่าวอีกว่า แต่อีกเรื่องที่น่ากังวลมากกว่าค่าไฟคือราคาน้ำมัน แม้ปัจจุบันรัฐบาลยังตรึงราคาน้ำมันดีเซลอยู่ แต่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า รัฐบาลจะตรึงได้อีกนานแค่ไหน อีกทั้งช่วงนี้ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หากไม่มีการต่อมาตรการเหล่านี้ ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการ รวมถึงภาคประชาชนเข้าไปอีก



  • คุณหญิงปัทมา
  • พล.อ.ประวิตร
  • ถ่ายทอดสด
  • ฟีฟ่า
  • กกท.
  • ฟุตบอลโลก
  • เงินอุดหนุนวัด
  • ชนม์สวัสดิ์
  • อบจ.สมุทรปราการ
  • ชะลอม
  • ป.ป.ช.
  • พล.อ.ประยุทธ์
  • ประชุมเอเปค
  • ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
  • น้องมายด์
  • ม็อบราษฎร
  • สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
  • ขึ้นค่าไฟ
  • ค่าเอฟที
  • เอสเอ็มอี