สงครามเมืองเชียงกราน พ.ศ. 2081 ไม่ได้เป็นสงครามครั้งแรกระหว่างอยุธยากับพม่า (ราชวงศ์ตองอู) ดังที่เคยเข้าใจกันมา ดังที่ ศาสตราจารย์ ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ ยืนยัน โดยอธิบายไว้ว่า กว่าที่พระเจ้าตะเบงชะเวตี้จะยึดเมืองหงสาวดี ก็ล่วง พ.ศ. 2082 กว่าที่จะยึดเมืองเมาะตะมะ ก็ล่วง พ.ศ. 2084 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยึดเมืองเชียงกรานก่อนยึดครองเมืองหงสาวดีและเมืองเมาะตะมะ Show กรณีเมืองทวายการปะทะกันระหว่างสองอาณาจักรน่าจะเกิดขึ้นที่เมืองทวาย เมืองนี้อยู่ถัดลงมาจากเมือเมาะตะมะ พงศาวดารไทยไม่ได้ระบุถึงเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายหงสาวดีกับฝ่ายอยุธยาในดินแดนชายฝั่งอ่าวเมาะตะมะเลย ในขณะที่พงศาวดารพม่าแทบทุกฉบับกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้อย่างชัดเจน “พงศาวดารฉบับอูกาลา” และ “มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (นายต่อ แปล) อธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกันว่า เมื่อพระเจ้าตะเบงชเวตี้กำลังทำสงครามกับอาณาจักรยะไข่ เมื่อ พ.ศ. 2089-2090 พระมหาจักรพรรดิมีพระบัญชาให้เจ้าเมืองกาญจนบุรีและเจ้าเมืองตะดอกะยกกองทัพโจมตีเมืองทวาย จนถูกตีแตก เมื่อความทราบถึงพระเจ้าตะเบงชเวตี้ พระองค์จึงโปรดให้แต่งกองทัพไปชิงเมืองคืน ฝ่ายอยุธยาเห็นไพร่พลของพระเจ้าตะเบงชเวตี้ยกมามหาศาลจึงถอยทัพ ฝ่ายหงสาวดีจึงยึดเมืองทวายคืนได้สำเร็จ จากนั้นฝ่ายหงสาวดีรุกไล่โจมตีไปถึงเมืองทองผาภูมิ ตีกองทัพฝ่ายอยุธยาแตกพ่ายกลับไปหมด ได้ทรัพย์สินไพร่พลจำนวนมาก กระทั่ง พ.ศ. 2091 พระเจ้าตะเบงชเวตี้จึงโปรดให้ยกทัพโจมตีกรุงศรีอยุธยา ขณะที่ “ประวัติศาสตร์พม่า” (หม่องทินอ่อง) ระบุว่า พระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งกรุงศรีอยุธยา โจมตี “ชายแดนพม่า” เป็นการทำสงครามเพื่อเพิ่มพูนพระบารมี ทว่า พระเจ้าตะเบงชเวตี้ทรงเริ่มเบื่อหน่ายการสงครามแล้ว จึงทรงมีพระราชประสงค์เจรจาอย่างสันติกับกรุงศรีอยุธยา ทูลขอให้พระมหาจักรพรรดิส่งช้างเผือกมาถวายเป็นบรรณาการ ตามวิธีการทูตแบบยื่นคำขาดของพม่า แต่ฝ่ายอยุธยาปฏิเสธจึงนำมาสู่สงคราม ใน พ.ศ. 2091 ขณะที่หลักฐานฝ่ายไทย ไม่ได้ระบุถึงการยกกองทัพไปโจมตีดินแดนพม่า ที่แปลกกว่านั้นคือ “พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)” กล่าวถึงการยกกองทัพมาโจมตีกรุงศรีอยุธยาของพระเจ้าตะเบงชเวตี้ถึง 2 ครั้ง ขณะที่หลักฐานไทยกล่าวไว้เพียงครั้งเดียว “พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)” ระบุว่า แผ่นดินอยุธยาปรากฏเป็นทุรยุคจลาจลนับแต่พระไชยราชาธิราชสวรรคต ความทราบถึงพระเจ้าตะเบงชเวตี้ จึงทรงมีพระราชดำริว่า “ถ้าพระนครศรีอยุธยาเป็นดังนี้จริง เห็นว่าหัวเมืองขอบขัณฑสีมาและเสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวง จะกระด้างกระเดื่องมิปกติ ถ้ายกกองทัพรุดไปโจมตีเอา เห็นจะได้พระนครศรีอยุธยาโดยง่าย” พงศาวดารระบุต่อไปว่า เมื่อยึดเมืองกาญจนบุรีได้แล้วทราบข่าวว่า เหตุการณ์ในกรุงศรีอยุธยากลับเป็นปกติแล้ว พระมหาจักรพรรดิครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาสืบต่อ พระเจ้าตะเบงชเวตี้จึงตรัสว่า “ได้ล่วงเกินมาถึงนี่แล้ว จะกลับเสียนั้นไม่มีเกียรติยศเลย จะเข้าไปเหยียบให้ถึงชานเมืองพอเห็นพระนครแล้วจะกลับ ประการหนึ่งจะได้ดูมือทหารกรุงศรีอยุธยา ผู้ใดจะออกรับทัพเราบ้าง” ตรัสแล้วก็ยกกองทัพโจมตีเมืองสุพรรณบุรี พระมหาจักรพรรดิตกพระทัย ตรัสเร่งให้ไพร่พลเข้าป้องกันรักษาพระนครเป็นโกลาหล พระเจ้าตะเบงชเวตี้ตั้งกองทัพอยู่ที่ลุมพลี 3 วัน ทอดพระเนตรกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งปราสาทราชมณเฑียรแล้ว ก็เลิกทัพกลับกรุงหงสาวดี สมัยพระเจ้าตะเบงชเวตี้สงครามที่ฝ่ายหงสาวดียกเข้ามาประชิดพระนครกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกคือ สงครามพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ เมื่อ พ.ศ. 2091 “มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (นายต่อ แปล) อธิบายว่า ใน พ.ศ. 2091 พระเจ้ามางตราตะบิงสอยตี หรือพระเจ้าตะเบงชเวตี้ โจมตีกรุงศรีอยุธยาโดยเดินทัพผ่านเมืองกาญจนบุรีและเมืองราชบุรี ทำการรบพุ่งกับฝ่ายอยุธยาที่ออกมารับศึกนอกพระนคร แต่สองฝ่ายต่างก็เสียไพร่พลไปมาก กองทัพของพระเจ้าตะเบงชเวตี้มิอาจตีหักเอาเมืองมาได้ เนื่องจากฝ่ายอยุธยาป้องกันเมืองสุดความสามารถ ทหารฝ่ายหงสาวดีปีนกำแพงเมืองไม่ได้ คูเมืองลึก กว้าง มีคูน้ำล้อมรอบ และกำแพงเมืองก็สูง จึงได้แต่ล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ราวเดือนหนึ่ง พระเจ้าตะเบงชเวตี้จึงตัดสินพระทัยว่า หากล้อมเมืองอยู่อย่างนี้จะเสียเวลาเปล่า จึงถอยทัพไปตีหัวเมืองเหนือ เช่น กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก ให้ได้เสียก่อน “เมื่อได้หัวเมืองเหล่านี้แล้วกรุงศรีอยุทธยาก็จะไม่พ้นเงื้อมมือเราเปนแน่” ขณะที่ “ประวัติศาสตร์พม่า” (หม่องทินอ่อง) ได้ให้รายละเอียดว่า พระเจ้าตะเบงชเวตี้ยกกองทัพโจมตีกรุงศรีอยุธยาผ่านด่านพระเจดีย์สามองค์ ระหว่างทางถูกโจมตีทำให้เสียเวลาไปมาก ทำให้ฝ่ายอยุธยามีเวลาจัดเตรียมกำลังตั้งรับป้องกันเมือง กองทัพของพระเจ้าตะเบงชเวตี้มิอาจตีหักเอาเมืองมาได้ จึงล้อมอยุธยาไว้ แต่กองทัพของพระองค์มีจำนวนไม่มากพอที่จะล้อมให้ได้ผล จึงตัดสินพระทัยถอยทัพเพื่อมิให้เสียหายไปมากกว่านั้น ฝ่ายอยุธยาได้ส่งกองทัพติดตาม แต่เสียทีแก่ฝ่ายหงสาวดี ซึ่งจับได้ตัว “พระอนุชาและพระราชบุตรเขยของกษัตริย์” ฝ่ายอยุธยาจึงเจรจายอมสงบศึก ฝ่ายหงสาวดีขอให้ส่งช้างเผือก 2 ช้าง และของมีค่าอื่น ๆ กับให้ส่งช้างให้อีกปีละ 30 ช้าง เงินและภาษีอีกจำนวนหนึ่ง หม่องทินอ่อง ระบุว่า นี่เป็น “ชัยชนะทางเทคนิค” ของพระเจ้าตะเบงชเวตี้ “มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (นายต่อ แปล) กล่าวถึงบุคคลที่ถูกฝ่ายหงสาวดีจับตัวไว้คือ “ออกยาลครอินท์” เป็นพระราชบุตรเขย “พระอนุชา” และ “พระราชบุตร” ของกษัตริย์อยุธยารวมอีก 2 พระองค์ ซึ่งฝ่ายอยุธยาได้รุกไล่ติดตามฝ่ายหงสาวดีมาถึงบริเวณเมืองกำแพงเพชร (ซึ่งกลายเป็นเมืองร้างไปแล้วเพราะชาวบ้านหนี้เข้าป่าไปหมด) ขณะที่ฝ่ายหงสาวดีกำลังจะเข้าตีหัวเมืองเหนืออื่น ๆ (แต่ภายหลังพระเจ้าตะเบงชเวตี้ปรึกษากับขุนนางแล้วเห็นควรให้ถอยทัพกลับ ให้ยกมาโจมตีครั้งหน้าด้วยยุทธวิธีที่พร้อมกว่านี้) ฝ่ายอยุธยาจึงส่งขุนนางมาเจรจาและยอมสวามิภักดิ์ ถวายบรรณาการเป็นช้างต้น 2 ช้าง ช้างลักษณะงามอีก 2 ช้าง รวม 4 ช้าง พร้อมราชบรรณาการอื่น ๆ ทั้งนี้ ยังจะถวายบรรณาการทุก ๆ ปี เป็นช้างศึกปีละ 30 ช้าง เงิน 300 กับภาษีเก็บได้จากท่าเรือสำเภาเมืองตะนาวศรีทุกปี พระเจ้าตะเบงชเวตี้ก็รับพระราชไมตรี จากนั้นจึงเสด็จกลับกรุงหงสาวดี “พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)” กล่าวถึงสงครามครานี้ว่าเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2086 สืบเนื่องมาจากครั้งก่อนที่พระเจ้าตะเบงชเวตี้ยกกองทัพมาทอดพระเนตรกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าตะเบงชเวตี้ทรงมีพระราชดำริว่า “ครั้งก่อนเรายกทัพรุดไปพระนครศรีอยุธยา พลแต่ 30,000 ล่วงเข้าตั้งถึงชานเมืองตำบลลุมพลี หามีผู้ใดปะทะมือไม่” ครั้งนี้พระองค์จึงรวบรวมไพร่พลให้มากกว่าครั้งก่อน 10 เท่า แล้วโจมตีกรุงศรีอยุธยา สงครามครั้งนี้ “พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)” ระบุว่าพระนาม “พระสุริโยทัย” คือผู้ที่กระทำยุทธหัตถีและสิ้นพระชนม์ในการครั้งนั้น พงศาวดารฉบับนี้อธิบายว่า การเลิกทัพของพระเจ้าตะเบงชเวตี้มีปัจจัย 2 ประการคือ เสบียงอาหารของกองทัพขาดแคลน และกองทัพหัวเมืองเหนือ ซึ่งมีสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบุตรเขยของพระมหาจักรพรรดิยกกองทัพมาช่วย ซึ่งอาจตีกระหนาบกองทัพของพระเจ้าตะเบงชเวตี้ พงศาวดารฉบับนี้ระบุต่อไปว่า พระราเมศวรกับพระมหินทราธิราชถูกฝ่ายหงสาวดีจับตัวไว้ ทำให้พระมหาจักรพรรดิทรงตกพระทัย แต่งพระราชสาส์นขอเจริญพระราชไมตรี ทรงขอให้ปล่อยพระราชโอรส และอย่าได้มีอาฆาตจองเวรอีกต่อไป พระเจ้าตะเบงชเวตี้จึงปล่อยตัวทั้งสองพระองค์ แลกกับช้างเผือก 2 ช้าง แต่เมื่อนำช้างมาถวาย ช้างตกใจไม่คุ้นเสียงควาญ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้จึงรับสั่งให้ถวายช้างคืนกลับไป แล้วเสด็จกลับกรุงหงสาวดีผ่านด่านแม่ละเมา “พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ” กล่าวถึงสงครามครานี้ว่า เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2091 ระบุเพียงสั้น ๆ ว่า เมื่อพระมหาจักรรพรรดิครองราชย์ได้ 7 เดือน “พญาหงษาปังเสวกี” หรือพระเจ้าตะเบงชเวตี้ยกกองทัพโจมตีกรุงศรีอยุธยา ผู้ที่กระทำยุทธหัตถีจนสิ้นพระชนม์คือ “สมเด็จพระอัครมเหสี” และ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราชบุตรี” ต่อมา ฝ่ายหงสาวดีได้ตัวพระราเมศวรและพระมหาธรรมราชา ฝ่ายอยุธยาจึงเอาช้างต้นไปแลก นำไปถวายพระเจ้าตะเบงชเวตี้ที่เมืองกำแพงเพชร แล้วจึงได้ตัวทั้งสองพระองค์กลับคืน “คำให้การชาวกรุงเก่า” กล่าวถึงมูลเหตุสงครามระหว่างพระเจ้าตะเบงชเวตี้กับพระมหาจักรรพรรดิว่า เนื่องมาจากพระมหาจักรรพรรดิได้ช้างเผือก 7 ช้าง จนกิตติศัพท์ลือเลื่องไปถึงกรุงหงสาวดี พระเจ้าตะเบงชเวตี้ส่งพระราชสาส์นขอช้างเผือก แต่พระมหาจักรรพรรดิส่งพระราชสาส์นตอบปฏิเสธ พระเจ้าตะเบงชเวตี้จึงจัดกองทัพไพร่พลโจมตีกรุงศรีอยุธยา แต่ทั้งสองฝ่ายสู้รบบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จึงเจรจาจะกระทำยุทธหัตถี แต่เมื่อถึงวันนัดหมาย พระมหาจักรรพรรดิทรงพระประชวร “พระบรมดิลก” พระราชธิดาวัย 16 พรรษา จึงกระทำยุทธหัตถีแทน จนเสียทีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าตะเบงชเวตี้เห็นว่า ทรงชนช้างกับสตรีทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศ จึงยกทัพกลับ สมัยพระเจ้าบุเรงนองพระเจ้าตะเบงชเวตี้สวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2093 พระเจ้าบุเรงนองครอบราชสมบัติกรุงหงสาวดีสืบต่อ จนเมื่อ พ.ศ. 2106 จึงยกกองทัพโจมตีกรุงศรีอยุธยา “มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (นายต่อ แปล) เล่าว่า พ.ศ. 2106 พระเจ้าบุเรงนองทรงมีพระราชดำริว่า “เมื่อครั้งพระเจ้าตะบิงสอยตีซึ่งเปนพระอนุชาเสวยราชสมบัติกรุงหงษาวดีนั้น กรุงศรีอยุทธยามีเสวตร์กุญชรถึง 4 ช้าง ถ้าเราขอได้สักช้างหนึ่ง พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยากับเราก็จะเปนไมตรี…ตราบเท่ากัลปาวะสาร” พระเจ้าบุเรงนองจึงส่งพระราชสาส์นไปขอช้างเผือกช้างหนึ่ง ฝ่ายอยุธยามีพระราชสาส์นตอบปฏิเสธ พระเจ้าบุเรงนองจึงยกกองทัพโจมตีกรุงศรีอยุธยา “ประวัติศาสตร์พม่า” (หม่องทินอ่อง) อธิบายว่า เมื่อพระเจ้าเชษฐาธิราช กษัตริย์ล้านช้าง เป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา ซึ่งหมายต่อต้านพระราชอำนาจของพระเจ้าบุเรงนอง ดังนั้น จึงทรงเรียกร้องช้างเผือกเป็นบรรณาการ โดยอ้างจากการที่กรุงศรีอยุธยาเคยส่งบรรณาการให้พระเจ้าตะเบงชเวตี้มาก่อน แต่ฝ่ายอยุธยาปฏิเสธ ส่งสาส์นถึงพระเจ้าบุเรงนองว่า “ราชมิตร ช้างเผือกนั้นเกิดขึ้นแต่เฉพาะกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองไพร่ฟ้าด้วยความยุติธรรม กษัตริย์พม่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจและปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าพระองค์อาจจะเป็นเจ้าของช้างเผือกในเวลาอันสมควรได้” พระเจ้าบุเรงนองไม่พอพระทัยพระราชสาส์นนั้นจึงตระเตรียมกองทัพโจมตีกรุงศรีอยุธยา แผนการครั้งนี้ “มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (นายต่อ แปล) ฉายให้เห็นว่า ฝ่ายหงสาวดีโจมตีหัวเมืองเหนือก่อน ผิดกับสงครามคราวก่อนที่มุ่งโจมตีกรุงศรีอยุธยาโดยตรง หลังจากยึดเมืองกำแพงเพชรได้แล้ว ขุนนางกราบทูลพระเจ้าบุเรงนองว่า “เวลานี้ขอพระองค์ทรงเสด็จยกไปตีเมืองศุโขทัย พิศณุโลกย์ สวรรคโลกย์ พิไชย เมืองตะนาวศรี เสียจึงจะควร ถ้าพระองค์ทรงเสด็จตีหัวเมืองเหล่านี้ได้แล้ว พระเจ้าอยุทธยาก็สิ้นกำลังดุจสกุณาปีกหลุดเปนแน่” “มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (นายต่อ แปล) และ “ประวัติศาสตร์พม่า” (หม่องทินอ่อง) อธิบายในลักษณะเดียวกันว่า เมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกกองทัพประชิดกรุงศรีอยุธยา ต่างฝ่ายต่างทำการรบพุ่งบาดเจ็บล้มตายไปมาก แลเห็นชาวบ้านสมณชีพราหมณ์เดือดร้อน จึงเจรจากับพระมหาจักรพรรดิเพื่อยุติสงครามและเจริญพระราชไมตรีสืบไปภายหน้า โดยฝ่ายอยุธยาต้องส่งบรรณาการรายปี ประกอบด้วยช้าง 30 ช้าง เงินและภาษีอีกจำนวนหนึ่ง (“มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (นายต่อ แปล) ระบุว่า ฝ่ายอยุธยาถวายช้างเผือก 4 ช้าง บรรณาการรายปี เป็นช้างศึกปีละ 30 ช้าง เงิน 300 กับภาษีเก็บได้จากท่าเรือสำเภาเมืองตะนาวศรีทุกปี) พระเจ้าบุเรงนองทรงแต่งตั้งพระมหิทราธิราชปกครองกรุงศรีอยุธยา ส่วนพระมหาจักรพรรดิถูกนำตัวไปยังกรุงหงสาวดี ในฐานะ “เจ้านายเชลยศึก” และปรากฏในกาลต่อมาว่า พระมหาจักรพรรดิได้รับอนุญาตให้ทรงผนวชได้ และขออนุญาตกลับไปจำวัดที่กรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งสุดท้าย ให้เหตุผลว่า เพราะทรงพระชราแล้ว หลังจากถวายคำสัตย์ปฏิญาณและสัญญาว่าจะกลับมายังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองก็ทรงอนุญาต แต่กาลหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อพระมหาจักรพรรดิเสด็จกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาก็สึกลาผนวช และวางแผนกับพระราชโอรสจปลดแอกกรุงศรีอยุธยาจากกรุงหงสาวดี “พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ” กล่าวว่า พ.ศ. 2106 “พระเจ้าหงษานีพัตร” หรือพระเจ้าบุเรงนอง ยกกองทัพโจมตีหัวเมืองเหนือทั้งปวง ก่อนจะยกพลลงมายังกรุงศรีอยุธยา แล้วระบุว่า “ครั้งนั้นฝ่ายกรุงพระมหานครศรีอยุธยาออกเปนพระราชไมตรี แลสมเด็จพระมหากษัตริย์เจ้าทั้งสองฝ่ายเสด็จมาทำสัตยาธิษฐานหลั่งน้ำทักษิโณทก… แล้วจึงพระเจ้าหงษาขอเอาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวรเจ้า แลช้างเผือก 4 ช้างไปเมืองหงษา” “คำให้การชาวกรุงเก่า” ระบุว่า เมื่อถึง พ.ศ. 2104 พระเจ้าบุเรงนอง ยกกองทัพไพร่พลกว่า 900,000 คน โจมตีกรุงศรีอยุธยา กระทำการรบพุ่งกันดุเดือดแต่ไม่อาจหักเอาชัยชนะมาได้เด็ดขาด จึงตกลงเจรจาหย่าศึกและเจริญพระราชไมตรีต่อกัน พระมหาจักรพรรดิถวายช้างเผือกให้พระเจ้าบุเรงนองช้างหนึ่ง สงครามคราวนี้จึงเป็นอันยุติ “พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)” ระบุว่า เมื่อพระมหาจักรพรรดิทรงได้ช้างเผือกสำคัญมาอีกหลายช้าง จนสมเด็จพระสังฆราชพระราชาคณะ เสนาอำมาตย์ ราชปุโรหิต ถวายพระนามให้พระมหาจักรพรรดิว่า “พระเจ้าช้างเผือก” จนกิตติศัพท์ลือเลื่องว่า อยุธยามีช้างเผือกถึง 7 ช้าง พระเจ้าตะเบงชเวตี้จึงทรงขอช้างเผือก 2 ช้าง แต่ฝ่ายอยุธยาปฏิเสธ จึงนำมาสู่สงคราม ถึงปลาย พ.ศ. 2091 พระเจ้าบุเรงนองรวมกองทัพจากเมืองขึ้นต่าง ๆ ได้กว่า 900,000 คน โจมตีกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองยกกองทัพโจมตีเมืองพิษณุโลกกวาดต้อนเอาหัวเมืองเหนือทั้งปวงมาเป็นกำลังของฝ่ายหงสาวดีได้จำนวนมาก แล้วยกกองทัพประชิดกรุงศรีอยุธยาตั้งค่ายรายล้อมพระนคร พระมหาจักรพรรดิมีพระราชดำริว่า “ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เห็นเหลือมือกำลังทหารจะกู้พระนครไว้ได้ ถ้าเรามิออกไป สมณชีพราหมณ์ประชาราษฎรไพร่ฟ้าข้าทาสขอบขัณฑสีมา จะถึงแก่พินาศฉิบหายสิ้น…” จากนั้นจึงทำการเจรจาหย่าศึกระหว่างทั้งสองฝ่าย พระเจ้าบุเรงนองทรงขอช้างเผือกเพิ่มอีก 2 ช้าง รวม 4 ช้าง และขอตัวพระราเมศวรไปเลี้ยงเป็นพระราชโอรสที่กรุงหงสาวดีด้วย เบื้องแรกพระมหาจักรพรรดิมิทรงยินยอม ทรงขอตัวพระราเมศวรไว้สืบพระราชวงศ์ แต่พระเจ้าบุเรงนองตรัสว่า พระมินทราธิราชผู้น้องก็สืบพระราชวงศ์ได้ หากเมื่อพระมหาจักรพรรดิสวรรคตวันใด พี่น้องก็จะทะเลาะกัน พระมหาจักรพรรดิจึงต้องทรงยอมตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าบุเรงนอง เห็นได้ชัดว่า หลักฐานไทยฉายให้เห็นว่า ฝ่ายหงสาวดีเป็นผู้รุกรานก่อน กลับกันหลักฐานพม่าก็ฉายให้เห็นว่า ฝ่ายอยุธยาเป็นผู้รุกรานก่อน ซึ่งสงครามระหว่าง 2 อาณาจักร มีปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การแย่งชิงอำนาจในดินแดนชายฝั่งอ่าวเมาะตะมะ ปัญหาในดินแดนล้านช้าง-ล้านนา-ไทยใหญ่ ซึ่งส่งผลมาถึงทั้ง 2 อาณาจักร แต่ประการหนึ่งที่สำคัญคือ คติ “พระเจ้าจักรพรรดิราช” “พระเจ้าจักรพรรดิราช” เป็นราชาในอุดมคติที่ปกครองโดยอาศัยธรรมเป็นที่ตั้ง และทรงมีบุญญาบารมีมากถึงกับแผ่ขยายพระราชอำนาจไปทั่วทั้งชมพูทวีปและอีก 3 ทวีปใหญ่ที่เหลือ แนวความคิดนี้ส่งผลต่อกษัตริย์ในอุษาคเนย์ทั้งหลายอาณาจักร รวมถึงกรุงหงสาวดีและกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระมหากษัตริย์ปรารถนาที่จะเป็นพระจักรพรรดิราชแต่เพียงพระองค์เดียว จึงต้องทำสงครามเพื่อขยายปริมณฑลแห่งอำนาจ พระเจ้าบุเรงนองยึดกรุงศรีอยุธยาอย่างเบ็ดเสร็จ ใน พ.ศ. 2112 (เสียกรุงฯ ครั้งที่ 1) และได้แต่งตั้งพระมหาธรรมราชา เป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา ตลอดช่วงสงครามนับแต่สมัยพระเจ้าตะเบงชเวตี้ถึงพระเจ้าบุเรงนองนี้ ศาสตราจารย์ ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ ชี้ว่า ส่งผลดีต่อการสร้างเสถียรภาพภายในกรุงศรีอยุธยา เพราะถอนรากถอนโคนขุนนางที่สนับสนุนพระมหาจักรพรรดิ และช่วยขจัดผู้นำทางการเมืองของราชวงศ์สุพรรณภูมิออกไปได้เด็ดขาด คือ พระราเมศวร ซึ่งถูกนำไปเป็นองค์ประกันตั้งแต่สงครามเมื่อ พ.ศ. 2106 พระมหาจักรพรรดิที่เสด็จสวรรคตก่อนเสียกรุงฯ ไม่นาน และพระมหินทราธิราชก็ถูกนำไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีหลังเสียกรุงฯ เหล่านี้ทำให้กลุ่มอำนาจใหม่ที่มีราชวงศ์สุโขทัยเป็นผู้นำนั้น กลายเป็นกลุ่มการเมืองที่ทรงพลังกลุ่มเดียว มีอำนาจเด็ดขาดเหนือกรุงศรีอยุธยา อ้างอิง : พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสิรฐ คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด. (2553). นนทบุรี : ศรีปัญญา. นายต่อ (ผู้แปล). (2545). มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า. กรุงเทพฯ : มติชน. สุเนตร ชุตินธรานนท์. (2562). พม่ารบไทย. พิมพ์ครั้งที่ 15. กรุงเทพฯ : มติชน. หม่องทินอ่อง. เพ็ชรี สุมิตร (ผู้แปล). (2551). ประวัติศาสตร์พม่า. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. การเสียกรุงครั้งที่ 1 มาจากสาเหตุใดโดยสรุปสาเหตุของการเสียกรุงครั้งที่ 1 นั้นมาจาก 3 สาเหตุหลักคือ 1. เกิดความแตกสามัคคีกันระหว่างสมเด็จพระมหินทราธิราชกับพระมหาธรรมราชา เนื่องมาจากการยุยงของข้าศึก 2. ไทยขาดกำลังใจต่อสู้เนื่องจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิสวรรคตในขณะบัญชาการศึก 3. พระยาจักรี (ออกญาจักรี) ซึ่งเป็นแม่ทัพไทยเป็นไส้ศึกให้แก่พม่า
ใครทำให้เสียกรุงครั้งที่1การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรตองอูและอาณาจักรอยุธยา อันเป็นผลมาจากความต้องการของพระเจ้าบุเรงนองซึ่งต้องการได้กรุงศรีอยุธยาเป็นประเทศราช และอาจถือได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากสงครามช้างเผือก ในปี พ.ศ. 2106 ที่ทรงตีกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จ
อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 1 และ 2 เมื่อ พ.ศ.ใดราชวงศ์บ้านพลูหลวง กรุงศรีอยุธยาสูญเสียเอกราชให้แก่พม่า 2 ครั้ง ครั้งแรกใน พ.ศ. 2112 สมเด็จพระนเรศวร มหาราช ทรงกู้เอกราชคืนมาได้ใน พ.ศ.2127 และเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ทรงกอบกู้เอกราชได้ในปลายปีเดียวกัน แล้วทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่กวาดต้อนผู้คนจาก
เสียกรุงครั้งที่ 2 ปีไหนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง. |