ผู้ประกันตนมาตรา 33 คือ กลุ่มลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการ และหน่วยงานราชการ เช่น พนักงานออฟฟิศ พนักงานโรงงาน เป็นต้น ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ Show แต่เมื่อจ่ายเงินสมทบไปแล้ว จะได้รับความคุ้มครองอะไรบ้างนั้น มีข้อมูลดังนี้ 1.) ประสบอันตราย หรือ เจ็บป่วย เมื่อประสบอันตราย หรือ เจ็บป่วย ผู้ประกันตนจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ เช็กสิทธิผู้ประกันตน ม.39 ในระบบประกันสังคม ได้รับความคุ้มครองอะไรบ้าง เช็กสิทธิผู้ประกันตน ม.40 จ่ายเงินสมทบแล้ว คุ้มครองอะไรบ้าง และเมื่อต้องหยุดงานตามคำสั่งแพทย์ หากหมดสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้างในวันลาป่วยตามกฎหมายแล้ว จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้าง (สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) โดยระยะเวลาในการจ่ายนั้น จะได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน (เว้นแต่กรณีโรคเรื้อรังจะจ่ายไม่เกิน 365 วัน) นอกจากนั้น การใช้สิทธิในกรณีเจ็บป่วยจะต้องไม่ใช่กลุ่ม 13 โรคที่ประกันสังคมไม่ได้ครอบคลุม ได้แก่ โรคหรืออาการที่เกิดจากสารเสพติด, การบำบัดทดแทนไต กรณีไตวายเรื้อรัง, การศัลยกรรมที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์, การรักษาที่ยังอยู่ระหว่างการค้นคว้าทดลอง, การรักษาภาวะมีบุตรยาก, การตรวจเนื้อเยื่อเพื่อการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ, การตรวจใด ๆ ที่เกินกว่าความจำเป็นในการรักษาโรค, การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ, การเปลี่ยนเพศ, การผสมเทียม, การบริการระหว่างรักษาตัวแบบพักฟื้น, ทันตกรรมที่นอกเหนือจากการถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าตัดฟันคุด และแว่นตา
2.) ทันตกรรม กรณีอุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด จะได้รับค่าบริการทางการแพทย์ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 900 บาทต่อราย/ปี โดยไม่ต้องสำรองจ่าย แต่ในกรณีที่ผู้ประกันตนเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับสำนักงานฯ ให้ผู้ประกันตนจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ เฉพาะส่วนเกินจากสิทธิที่ได้รับ กรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน จะได้รับค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียมเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ใส่ฟันเทียม ตามหลักเกณฑ์ดังนี้
กรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ทั้งปาก เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,400 บาท ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ใส่ฟันเทียมตามหลักเกณฑ์ดังนี้
โดยหากขูดหินปูนต้องเว้นระยะห่าง 6 เดือนถึงจะมีสิทธิเบิกครั้งต่อไปได้ และในกรณีที่ปวดฟันจนส่งผลต่อระบบร่างกาย เช่น ทำให้ปวดศีรษะ คางทูม เหงือกบวม สามารถใช้สิทธิโรงพยาบาลตามสิทธิที่เลือก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
3.) คลอดบุตร เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันคลอดบุตร จะได้รับเงินจากประกันสังคม ดังนี้
4.) สงเคราะห์บุตร เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือนภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน จะได้รับ เงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่าย เดือนละ 800 บาทต่อบุตร 1 คน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปีบริบูรณ์ ครั้งละไม่เกิน 3 คน 5.) การตรวจสุขภาพ ผู้ประกันตนสามารถตรวจสุขภาพได้ทุกโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถตรวจร่างกายได้ดังนี้
6.) ว่างงาน ผู้ประกันตน จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงาน จะได้รับเงินจากประกันสังคม ดังนี้
7.) ทุพพลภาพ เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนทุพพลภาพ จะได้รับเงินจากประกันสังคม ดังนี้ กรณีทุพพลภาพระดับความสูญเสียไม่รุนแรง ได้รับเงินทดแทนไม่เกินร้อยละ 30 ของค่าจ้างรายวัน ตลอดระยะที่ไม่สามารถทำงานได้ ไม่เกิน 180 เดือน กรณีทุพพลภาพระดับความสูญเสียรุนแรง ได้รับเงินทดแทนร้อยละ 50 ของค่าจ้างตลอดชีวิต ค่าบริการทางการแพทย์
ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ เหมาจ่ายเดือนละ 500 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ทุพพลภาพ ตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์กำหนด 8.) ชราภาพ ผู้ประกันตน เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ มีสิทธิในการยื่นรับสิทธิบำเหน็จหรือบำนาญ ดังเงื่อนไขต่อไปนี้ การเกิดสิทธิบำนาญ : มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง และจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน การเกิดสิทธิบำเหน็จ : มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง และจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน โดยในแต่ละกรณีจะมีรูปแบบการจ่ายประโยชน์ทดแทนที่แตกต่างกัน โดยการจ่ายในรูปแบบบำนาญนั้น จะจ่ายในรูปแบบรายเดือนในทุก ๆ เดือนหลังสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน ส่วนบำเหน็จนั้น จะเป็นการจ่ายประโยชน์เป็นเงินก้อนเพียงครั้งเดียว โดยมีรูปแบบในการคำนวนดังนี้ การจ่ายบำนาญ :
การจ่ายบำเหน็จ :
9.) เสียชีวิต ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนถึงแก่ความตาย โดยได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีตาย ดังนี้ ประกันสังคมม.33หักกี่เปอร์เซ็นประกันสังคม มาตรา 33. ผู้ประกันตน มาตรา 33 คือ ลูกจ้างหรือพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป ซึ่งโดยปกติต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม ในอัตรา 5% ของค่าจ้าง แต่ในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 จะได้ปรับลดเหลือ 3% ของค่าจ้าง
ประกันสังคม ม.33 ลดกี่เดือนประกันสังคมลดเงินสมทบ ผู้ประกันตน ม.33,ม.39 เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม-ธันวาคม 2565.
มาตรา 33 ได้รับสิทธิอะไรบ้างสิทธิประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง (ผู้ประกันตนตามมาตรา 33) สามารถเบิกเงินกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย คลอดบุตร ชราภาพ สงเคราะห์บุตร และว่างงาน. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดา. ปู่ ย่า ตา ยาย. ลุง ป้า น้า อา. กรณีใดเป็นสิทธิประกันสังคมตามมาตรา 33 ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ- มีสิทธิได้รับค่ารถพยาบาล หรือค่าพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ เหมาจ่ายไม่เกินเดือนละ 500 บาท - มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายในกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ทุพพลภาพทางร่างกาย จิตใจและอาชีพ ตามประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์อัตราค่าฟื้นฟูของผู้ทุพพลภาพ
|