โครงงานสุขศึกษา เรื่อง ความรุนแรงในสังคมไทย
สมาชิกในกลุ่ม นางสาว อรฤดี ดีโพนพัก ม.3 เลขที่ 1 เด็กชาย ธีระยุทธ กุลาสาตร์ ม.3 เลขที่ 15 เด็กชาย ธีรศักดิ์ เฉลิมแสนม.3 เลขที่ 30 ครูที่ปรึกษา คุณครู ทัศนีย์ ไชยเจริญ โรงเรียน วัดพวงนิมิต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระแก้ว เขต 1 คำนำ รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอโครงงาน เรื่อง ความรุนแรงในสังคมไทย คณะผู้จัดทำโครงงานได้ศึกษาจาก อินเตอร์เน็ตรวบรวมข้อมูลและเก็บบันทึกข้อมูล เพื่อศึกษา ให้เยาวชนเกิดความเข้าใจ ของภัยจากความรุนแรงในการนำเสนอโครงงานชิ้นนี้ เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั่วไป
คณะผู้จัดทำ ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่3
นางสาว อรฤดี ดีโพนพัก ม.3 เลขที่ 1 เด็กชาย ธีระยุทธ กุลาสาตร์ ม.3 เลขที่ 15 เด็กชาย ธีรศักดิ์ เฉลิมแสน ม.3 เลขที่ 30
สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก บทที่ 2 บทที่ 3
สารบัญ(ต่อ)
เรื่อง หน้า บทที่ 4 บทที่ 5 สรุปผลการดำเนินงานและข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม บทคัดย่อ
โครงงานสุขศึกษา เรื่อง ความรุนแรงในสังคมไทย มีจุดมุ่งหมายใน การ สร้างคนในสังคมไทยให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของความรุนแรง และเรียนรู้ ดังนั้นโครงงานสุขศึกษาเรื่องนี้ จึงเป็นแนวทางในการ แก้ไขปัญหา ความรุนแรงในสังคมไทยเพื่อให้ประเทศชาติของเราจะได้เต็มไปด้วยความสามัคคีเป็นเมืองที่หน้าอยู่คู่กับเราไปนานๆ มีผลปรากฏในด้านความรู้ที่ได้จากการค้นคว้า คิดเป็นร้อยละ 82.66จึงเห็นได้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมควรจะนำมาใช้ให้ถูกวิธีและ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและส่งเสริม ให้เด็กไทยมีความคิดที่ดีและมีความสามัคคี
บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญ ในยุคปัจจุบันข่าวการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัวมักมีให้เห็นได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งสื่อออนไลน์ที่เข้าถึงได้ทุกผู้ทุกวัย อย่างกรณีข่าวการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว ลูกฆ่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ฆ่าลูกที่เป็นสายเลือดของตนเอง เชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแน่นอน ข่าวฆาตกรรมกันเองในครอบครัว จะเป็นเหตุที่ทำให้ประชากรในสังคมไทยมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงจะทำให้คนไทยใช้ความรุนแรงมากขึ้น เช่น ข่าวสยองขวัญ ข่าวฆาตกรรม ก็สามารถทำให้สะเทือนใจมาก ความรุนแรงนั้นจะเพิ่มมากขึ้นหรือลดลงในสังคมไทยนั้นอยู่ที่รูปแบบของความรุนแรงภายในครอบครัวมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ วัตถุประสงค์
ขอบเขตด้านเนื้อหา โรงเรียนวัดพวงนิมิตสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้วเขต 1
ขอบเขตด้านประชากร และกลุ่มตัวอย่าง ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ใช้
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.ความรุนแรงของเด็กและสตรี ตระหนักถึง ความจำเป็นเร่งด่วนในการยอมรับหลักการระดับสากลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสตรีในเรื่องสิทธิและหลักการที่คำนึงถึงความเสมอภาค ความมั่นคงปลอดภัย เสรีภาพ และความเป็นหนึ่งเดียวอันแบ่งแยกมิได้และศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ทั้งปวง พึงสังเกตว่า สิทธิและหลักการต่างๆ เหล่านี้เป็นหลักการสำคัญของกติกานานาชาติต่างๆ ประกอบด้วย ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทะทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม อนุสัญญาว่าด้วยกาขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทารุณกรรม การกระทำโหดร้ายต่างๆ อันไร้มนุษยธรรม การลงโทษและการปฏิบัติอันเลวทราม ตระหนักว่า การปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบที่มีประสิทธิภาพจะมีส่วนช่วยอย่างสำคัญต่อการขจัดความรุนแรง ต่อสตรี และปฏิญญาว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรีที่เกิดขึ้นจากมติครั้งนี้ จะช่วยให้เกิดการปฏิบัติที่เข้มแข็งและสมบูรณ์ขึ้น ห่วงใยว่า ความรุนแรงต่อสตรีเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุซึ่งความเสมอภาค การพัฒนาและสันติภาพ การปฏิบัติอนุสัญญาว่าด้วยการขจัด การเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ดังที่มีการรุบุไว้ในยุทธศาสตร์ไนโรบีเพื่อความก้าวหน้าของสตรี ซึ่งได้เสนอแนะมาตรการเพื่อขจัด ความรุนแรงต่อสตรี และความรุนแรงต่อสตรียังเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี ยืนยันว่า ความรุนแรงต่อสตรีเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของสตรี และทำให้ประโยชน์ที่สตรีจะได้รับจากสิทธิและเสรีภาพเหล่านั้น ต้องถูกทำลายหรือลดน้อยลงและคำนึงถึงความล้มเหลวที่เคยเป็นมาในการปกป้อง และส่งเสริมสิทธิเหล่านั้นและเสรีภาพเมื่อเกิดกรณี ความรุนแรงต่อสตรี ตระหนักว่า ความรุนแรงต่อสตรีเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมาของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมระหว่างบุรุษและสตรี ซึ่งนำไปสู่การครอบงำและการเลือกปฏิบัติต่อสตรีโดยบุรุษ และเป็นสิ่งที่ขัดขวางความก้าวหน้าของสตรี และตระหนักว่าความรุนแรงต่อสตรีเป็นกลไก ทางสังคมที่โหดร้ายอย่างหนึ่งที่ส่งผลให้สถานะของสตรีเป็นรองเมื่อเปรียบเทียบกับบุรุษ ห่วงใยว่า สตรีบางกลุ่ม อาทิ สตรีกลุ่มน้อย สตรีพื้นเมือง ผู้ลี้ภัยสตรี ผู้อพยพสตรีสตรีในชนบทหรือในท้องถิ่นทุรกันดาร สตรีผู้ยากไร้ สตรีในสถาน กักกัน เด็กผู้หญิง สตรีพิการ สตรีชรา สตรีในภาวะสงครามเป็นกลุ่มที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความรุนแรง ระลึกถึงว่า บทสรุปในย่อหน้าที่ 23 ในภาคผนวกของมติของสภาเศรษฐกิจและสังคม 1990/15 24 พฤษภาคม 1990 ที่ให้การยอมรับว่า ความรุนแรงต่อสตรีในครอบครัวและสังคมเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ไม่แบ่งแยกทางรายได้ ชนชั้น และวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วน และขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อขจัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และระลึกถึงมติที่ 1991/18 วันที่ 30 พฤษภาคม 1991 ของสภาเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเสนอให้มีการพัฒนาแผนงานเพื่อให้มีเครื่องมือ ระดับนานาชาติที่ระบุประเด็นความรุนแรงต่อผู้หญิงอย่างชัดเจน ยอมรับบทบาทความเคลื่อนไหวของกลุ่มสตรีที่ส่งเสริมให้เกิดความสนใจ ต่อความสำคัญ ความรุนแรง และธรรมชาติของปัญหาความรุนแรงต่อสตรี ตระหนักว่า ในสังคมสตีรีมีโอกาสที่จำกัดที่บรรลุซึ่งความเท่าเทียมทางกฎหมาย สังคม การเมือง และความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก ความรุนแรงต่อสตรีที่มีอย่างต่อเนื่อง เข้าใจตามสภาพปัญหาข้างต้นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีคำจำกัดความ “ความรุนแรงต่อสตรี” ที่ชัดเจนและสมบูรณ์ มีถ้อยแถลงที่ชัดเจนถึงสิทธิ ที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อรับประกันการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบได้ ต้องมีพันธะสัญญาที่ระบุความรับผิดชอบของรัฐ และพันธะสัญญา จากชุมชนนานาชาติทั้งมวลในการขจัดความรุนแรงต่อสตรี ตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรี และจะพยายามทุกวิถีทางที่จำทำให้คำประกาศเป็นที่รู้จักและปฏิบัติตาม ข้อที่ 1 ตามเป้าประสงค์ของปฏิญญานี้ คำว่า “ความรุนแรงต่อสตรี” หมายถึงการกระทำใดๆ ที่เป็นความรุนแรงทางเพศ ซึ่งเป็นผลหรืออาจจะเป็นผล ให้เกิดการทำร้ายร่างกาย ทางเพศหรือทางจิตใจ เป็นผลให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่สตรี รวมทั้งการขู่เข็ญ คุกคาม กีดกันเสรีภาพทั้งในที่สาธารณะ และในชีวิตส่วนตัว ข้อที่ 2 เป็นที่เข้าใจว่าความรุนแรงต่อสตรี หมายรวมถึง
ข้อ 3 สตรีควรได้รับความเท่าเทียมในการรับประโยชน์และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทุกด้านและเสรีภาพขั้นพื้นฐานด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม พลเมือง และด้านอื่นๆ สิทธิดังกล่าว คือ
ข้อ 4 รัฐควรประณามความรุนแรงต่อสตรี และไม่ควรอ้างขนบธรรมเนียมประเพณี หรือศาสนาใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงพันธะหน้าที่ในการขจัดความรุนแรง รัฐควรติดตามนโยบายเกี่ยวกับการขจัดความรุนแรงต่อสตรีโดยวิธีที่เหมาะสมทุกประการ และโดยไม่ชักช้า และเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนี้ตกลงที่จะ
ข้อ 5 ส่วนงาน และหน่วยงานเฉพาะของระบบในองค์การสหประชาชาติควรสนับสนุน ยอมรับและตระหนักในสิทธิและหลักการที่ระบุไว้ในปฏิญญา ฉบับนี้ ตามขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของตน เพื่อบรรลุความมุ่งประสงค์นี้ ตกลงที่จะ
ข้อ 6 ไม่มีข้อความใดในปฏิญญาฉบับนี้จะส่งผลต่อบทบัญญัติใดๆ ซึ่งมีส่วนส่งเสริมการขจัดความรุนแรงต่อสตรีได้มากกว่า ซึ่งอาจบรรจุอยู่ในกฎหมาย ของรัฐหรือในอนุสัญญา สนธิสัญญา หรือความตกลงระหว่างประเทศอื่นใดที่มีผลบังคับใช้ในรัฐใดรัฐหนึ่ง ความรุนแรงต่อผู้สูงอายุ ความหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมกับสภาพสังคมไทยยังไม่ปรากฏชัดเจน ส่วนใหญ่ได้นำความหมายจากต่างประเทศเข้ามาปรับใช้ในสังคมไทย ซึ่งได้แก่ ชนิดของความรุนแรง
ความรุนแรงในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุอย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกันเกิดความเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจ การขัดแย้งที่เกิดข้นในสังคมไทย ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนความเจริญของชาติ ตลอดจนความสุขของคนภายในสังคมด้วย ภาพของความขัดแย้งการแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง ที่นับวันยิ่งขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ได้นำมาซึ่งการใช้ความรุนแรงต่อกัน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา เป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมไทยได้รับรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราไปเสียแล้ว ความรุนแรงในปัจจุบันนี้ มิใช่เพียงที่เกิดขึ้นภายในสังคม ครอบครัวเท่านั้น หากแต่เป็นความรุนแรงที่ขยายไปสู่โรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่ที่อบรม สั่งสอนเยาวชนของชาติ ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน นับวันยิ่งทวีคูณมากขึ้น และเป็นที่จับตามองของทุกคนในสังคม ความรุนแรงในสมัยนี้มิได้หมายความว่า เด็กเป็นเหยื่อของความรุนแรงเพียงเท่านั้น หากแต่เกิดกับครูและบุคลากรหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดความรุนแรงในโรงเรียน ผู้เขียนได้แบ่งความรุนแรงออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ คือ ประเด็นแรกความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับครูและนักเรียน และประเด็นที่สองคือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับนักเรียนกันเอง ประเด็นแรก ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับครูและนักเรียนนั้น สาเหตุเกิดมาจากการไม่เข้าใจกันและกัน อาจเป็นเพราะว่าช่องว่างของวัยระหว่างเด็กกับครูนั้นมีมาก ครูไม่เข้าใจนักเรียน เพราะว่าเด็กเวลานี้ต้องการเหตุผล และต้องการแสดงศักยภาพที่ตนอยากแสดงออกมา ผลที่ตามมาทำให้เกิดความขัดแย้งกัน จนเลยไปถึงขั้นลงไม้ลงมือกันก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ระบบการศึกษาของไทยได้ยกเลิกการตีหรือใช้ไม้เรียวกับนักเรียนไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีอยู่บ้างในบางโรงเรียนที่ลงโทษเด็กด้วยการใช้ไม้เรียว เมื่อมองในแง่ของความถูกต้องแล้วอาจจะไม่สมควร เด็กอาจะคิดว่า ขนาดพ่อและแม่ของพวกเขา ยังไม่ลงโทษแบบนี้เลย แต่การตีเด็กก็นับเป็นวิธีที่สามารถช่วยควบคุมเด็ก ให้เชื่อฟังครูได้ในเวลานั้น แต่ในทางกลับกันการลงโทษเด็กนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น การที่ครูลงโทษเด็กที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า การที่ครูนั้นทำร้ายจิตใจของเด็กมากจนเกินไป การลงโทษเด็กต่อหน้าเพื่อนหรือหน้าเสาธง การประกาศชื่อของนักเรียนให้คนอื่นทราบ หรือแม้แต่การล้างห้องน้ำก็ตาม ซึ่งเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงทางด้านจิตใจของเด็กมากกว่าร่างกายด้วยซ้ำ นำมาซึ่งความมีอคติของนักเรียนที่มีต่อครู สังคมหรือตัวผู้ปกครองอาจมองว่าเป็นการลงโทษที่ไม่เหมาะสม นำมาซึ่งการฟ้องร้องต่างๆ แต่เป็นประเด็นที่สำคัญที่ผู้เขียนมองว่าไม่ควรเกิดขึ้นในโรงเรียนคือ ครูล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม ต่างก็ตกเป็นเหยื่อของผู้ร้ายในคราบของพ่อแม่พิมพ์ของชาติ ส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ชื่อเสียงและอนาคต อีกด้วย นอกจากนี้ ความรุนแรงมิได้เกิดขึ้นกับนักเรียนเท่านั้น มันลุกล่ามมาถึงผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “แม่พิมพ์”และ“พ่อพิมพ์” ของชาติ ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นกับครูผู้หญิงมากกว่าครูผู้ชาย เช่น ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของคมชัดลึกที่ว่า เด็กนักเรียนหญิง ปวช.2 โรงเรียนพาณิชย์ชื่อดังเมืองคอน สุดแสบ ยกพวกเกือบ 20 คน บุกโรงเรียนทำลายทรัพย์สินและพยายามทำร้ายครูฝ่ายปกครอง แถมยังข่มขู่ “เอาชีวิตครูทั้งโรงเรียน” หลังครูจับได้ว่าทะเลาะกับเพื่อนเรื่องการตัดราคาค่าตัวขาย เป็นต้น จากการสังเกตพบว่า โรงเรียนbอาชีวะส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยมีครูผู้หญิง ส่วนมากจะเป็นครูผู้ชาย เพื่อหลีกเลี่ยงจากปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับครู ประเด็นที่สอง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับนักเรียนเอง ประเด็นนี้ผู้เขียนคิดว่าเป็นประเด็นหลักที่ก่อให้เกิดความรุนแรงภายในโรงเรียนและขยายออกไปภายนอกโรงเรียน ร่วมทั้งต่างสถาบัน สาเหตุหลักของการเกิดความรุนแรงซึ่งได้แก่ ความหมั่นไส้ ไม่ชอบหน้ากัน การแย่งแฟนกัน รวมไปถึงการกระทบกระทั่งทั้งวาจาและร่างกาย เช่น การดูถูกสถาบัน ปมด้อย เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นกับเด็กเกเร เด็กดื้อเป็นส่วนมากวัตถุประสงค์
ขอบเขตด้านเนื้อหา โรงเรียนวัดพวงนิมิตสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้วเขต 1 ขอบเขตด้านประชากร และกลุ่มตัวอย่าง ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ใช้ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
บทที่3 วิธีการดำเนินงาน การศึกษาความรู้ ด้วยโครงงานสุขศึกษา เป็นการส่งเสริมวิธีการค้นหาความรู้การทำงานร่วมกันในกลุ่มเพื่อน และการนำความรู้ที่ได้รับมาสร้างเป็นความรู้ของตนเอง และสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการค้นคว้าไปเผยแพร่ให้กับผู้อื่นโดยผู้ที่จัดทำโครงงาน ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมทักษะการแสวงหาความรู้เชิงสร้างสรรค์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีขั้นตอนการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่1 ขั้นวางแผน ขั้นที่2 ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นที่3 ขั้นสรุปผลความรู้ ขั้นที่4 ขั้นนำเสนอความรู้ และประเมินผลความรู้ ขั้นตอนที่1 ขั้นการวางแผน 1.รวบรวมสมาชิกกลุ่มให้เหมาะสมกับองค์ความรู้ และแบ่งหน้าที่ให้เข้ากับการทำงาน เช่น งานเขียนให้คน ขั้นตอนที่2 ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล 1.กำหนดหัวข้อเรื่องเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต 3.ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทั่วๆไป ขั้นตอนที่3 ขั้นสรุปผลความรู้ ขั้นตอนที่4 ขั้นเสนอความรู้ การนำเสนอข้อมูลของกลุ่มข้าพเจ้าโดย การนำเอกสารไปเผยแผ่ความรู้และกรอกแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้ที่ได้รับว่าสิ่งที่กลุ่มข้าพเจ้าได้เสนอไปนั้นได้รับความรู้มากน้อยเพียงใด
บทที่ 4 ผลการดำเนินการศึกษาค้นคว้าโครงงานเรื่อง ความรุนแรงในสังคมไทย กลุ่มของข้าพเจ้าได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามานำเสนอผลการการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นวางแผน จากการประชุมกลุ่มเพื่อค้นหาเรื่องที่ต้องการศึกษาเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ ที่เกี่ยวข้องต่อสุขภาพนั้น สมาชิกในกลุ่มร่วมกันวางแผนเพื่อจะศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่สังคมพบกันบ่อยมากก็คือการความรุนแรงกลุ่มข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะศึกษาเกี่ยวกับการสาเหตุของการเกิดความรุนแรงโทษของความรุนแรงและวิธีปฏิบัติไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับความรุนแรงและวิธีการแนะนำผู้อื่นไม่ให้ไปก่อเหตุความรุนแรงผลปรากฏว่าข้อมูลที่สมาชิกในกลุ่มศึกษามานั้นมีความรุนแรงจำนวนมากทำให้มีปัญหาต่างๆตามมาเช่น การทะเลาะวิวาทในครอบครัว เป็นต้น ขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนรวบรวมข้อมูล จากการที่แบ่งหน้าที่เป็นหัวข้อกลุ่มข้าพเจ้าได้หาข้อมูลเกี่ยวกับโครงงานที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติและรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาจัดทำโครงงาน ทำให้ได้รับความรับความรู้ เกี่ยวกับสาเหตุความรุนแรง ความรู้เกี่ยวกับโทษของความรุนแรง และ ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับความรุนแรงโดยสามารถนำความรู้ที่ได้ไปแนะนำผู้อื่นไม่ให้ก่อเหตุความรุนแรงได้ ซึ่งจะทำให้พ้นจากการเกิดความรุนแรง ส่งผลต่อสังคมไทยและประเทศชาติ จะได้มีแต่ผู้คนที่ตั้งใจทำงาน ไม่ไปก่อเหตุความรุนแรง
ขั้นตอนที่3 ขั้นสรุปผลความรู้และสร้างความรู้ กลุ่มข้าพเจ้าได้ความรู้เกี่ยวกับความรุนแรงซึ่งความรุนแรงนี้สร้างปัญหามากมายในสังคมไทยทำให้ สังคมไทยเสื่อมลงมากกลุ่มข้าพเจ้าเลยอยากนำความรู้ที่ได้มาช่วยคนในสังคมไทยโดยการทำสิ่งต่างๆมา เตือนให้รู้จักโทษของความรุนแรงซึ่งความรุนแรงได้สร้างปัญหามากมาย เช่น การทำให้เกิดปัญหากับครอบครัว และยังไม่พอยังเกิดการฆ่า ทะเลาะวิวาท เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นนำเสนอความรู้และประเมินความรู้ จากการที่กลุ่มพวกข้าพเจ้าได้ไปศึกษาหาความรู้มานั้นกลุ่มของพวกข้าพเจ้าได้นำเสนอข้อมูลผ่านแผ่นพับและการทำแบบประเมินเพื่อประเมินความรู้ที่พวกข้าพเจ้าได้อธิบายไปนั้นเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับเพื่อนๆ และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเพื่อนและตัวกลุ่มข้าพเจ้าเอง
บทที่ 5 สรุปผลการดำเนินงานและการเสนอแนะจากการศึกษาค้นคว้าโครงงานเรื่อง ความรุนแรงในสังคมไทยมีผลการศึกษาค้นคว้าโครงงานดังนี้ วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า 1.เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับการความรุนแรงในปัจจุบันของคนไทยในสังคมไทย สรุปผลการทำงานศึกษาค้นคว้า เกิดความรุนแรงในสังคมไทยก่อให้เกิดความพร่องในชีวิตทั้งด้านจิตใจร่างกายสังคมหรืออาชีพอย่างรุนแรงมีผลกระทบต่อครอบครัวทั้งในแง่ความสัมพันธ์และการเงินคนทั่วไปที่การเกิดความรุนแรงกับการที่ได้เสี่ยงที่จะชนะในการที่เราได้ก่อเหตุในขณะที่บางคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองอาจจะถูกลูกหลง และจากการที่กลุ่มของข้าพเจ้าได้แจกเอกสารเผยแพร่ความรู้จากการค้นคว้าโครงงานสุขศึกษาเรื่องความรุนแรงในสังคมไทย พบว่าเพื่อนๆได้รับความรู้จากกลุ่มของข้าพเจ้า คิดเป็นร้อยละ 82.66 ข้อเสนอแนะ 1.ควรที่จะแนะนำนักเรียนเพื่อให้โรงเรียนวัดพวงนิมิตและโรงเรียนอื่นๆสถานที่ใกล้เคียงให้ปลอดภัยจากความรุนแรง |