พนักงานขาย ภาษาอังกฤษ pantip

ถ้าหากว่าคุณกำลังวางแผนจะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมสักใบ แน่นอนว่าคนที่สามารถให้ข้อมูลที่ดีที่สุดก็คือพนักงานประจำร้านบูติค สำหรับแบรนด์ Luxury Fashion แล้วย่อมมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพนักงานขาย หรือ SA ที่มีความพิเศษมากกว่าพนักงานธรรมดาทั่ว ๆ ไป ซึ่ง ไม่ใช่ใครก็ได้ ที่จะมาเป็น SA เพราะถือว่าพนักงานเหล่านั้นคือภาพลักษณ์ของแบรนด์ และในครั้งนี้ SA ของแบรนด์แฟชั่นเฮ้าส์หรูหราอย่าง Chanel จะมาเปิดเผยถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้คุณได้รับรู้

พนักงานขาย ภาษาอังกฤษ pantip

Sales Associate

SA หรือ (Sales Associate) พนักงานที่อยู่ในตำแหน่งนี้ จะต้องทำหน้าที่เสนอขายสินค้าให้กับลูกค้า โดยในการเสนอขายนั้น พนักงานจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวสินค้าและแบรนด์เป็นอย่างดี เพราะต้องแนะนำสินค้า ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโปรดักส์ต่าง ๆ ของแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังต้องพยายามพรีเซนต์สินค้าในแง่ดีให้มากที่สุด และต้องพูดความจริงอยู่เสมอ ห้ามโกหกลูกค้าเป็นเด็ดขาด

พนักงานขาย ภาษาอังกฤษ pantip

Sales Associate Qualifications

คุณสมบัติของพนักขาย (Sales Associate) ที่จะมาปฏิบัติหน้าในร้านบูติคของแบรนด์หรูต่าง ๆ นั้นจะต้องมีคุณสมบัติคร่าว ๆ ดังนี้

  • Multilingual : ผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นพนักงานขายได้ ต้องสามารถพูดได้หลายภาษา ยกตัวอย่างเช่น ภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษ ถึงจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะบางบริษัทอย่าง Balenciaga, Chanel, Hermes และ Cartier มีการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด
  • Sales Experience : ส่วนใหญ่แล้วคนที่จะมาทำหน้าที่พนักงานขายประจำร้านบูติคของแบรนด์หรูต่าง ๆ จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ หรือผ่านงานด้านการขายมาก่อน เช่น SA ของแบรนด์ Chanel จะไม่ค่อยมีนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่มาทำงานในตำแหน่งนี้

พนักงานขาย ภาษาอังกฤษ pantip

  • Performing Well Under Pressure : สำหรับการทำงานในตำแหน่งพนักงานขาย หรือ SA จะต้องมีความอดทน สามารถทำงานภายใต้แรงกดดันได้ และยังต้องมีไหวพริบสำหรับการแก้ไขสถานกาณณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น Hermes ที่แบรนด์เน้นการเติบโตแบบยั่งยืน ไม่ได้ขยายตลาดใหญ่ นั่นหมายความว่า พนักงานขายจะต้องอยู่ร่วมกับทีมและทนต่อความกดดันต่าง ๆ ได้
  • Product Specialization : พนักงานขายของแต่ละแบรนด์จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในสินค้าต่าง ๆ ของแบรนด์อย่างละเอียด และต้องบอกได้ว่าสินค้าชนิดไหนมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง เพราะพนักขายจะต้องให้คำปรึกษาและตอบคำถามต่าง ๆ ของลูกค้าได้

พนักงานขาย ภาษาอังกฤษ pantip

สิ่งกล่าวมาข้างต้นนี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของพนักงานขาย ไม่ว่าจะทำงานประจำอยู่ที่ร้านบูติคของแบรนด์ไหนก็ตาม โดยสิ่งที่จะบ่งบอกถึงความแตกต่างของพนักงานขายของแต่ละแบรนด์นั่นก็คือ คาแร็กเตอร์ พนักงานขายของแต่ละที่จะมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างคร่าว ๆ เช่น คุณอาจจะพบพนักงานที่มีบุคลิกดูสุขุม ลึกลับ ได้ที่ร้านของ Hermes

พนักงานขาย ภาษาอังกฤษ pantip

ส่วนพนักงานขายอยู่ที่ร้านของ Balenciaga ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัยหนุ่มสาวซึ่งมีการแต่งตัวลุคสตรีท และพนักงานร้านของ Dior อาจจะมีลุคเป็นสาวสวย หนุ่มหล่อที่มีรูปร่างดี นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ๆ แบรนด์ที่เน้นเรื่องบุคลิกภาพของพนักงานขาย ให้มีความภูมิฐาน น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็น Cartier, Louis Vuitton ไปจนถึง Chanel

SA คือบุคคลที่เป็นตัวขับเคลื่อน เป็นฟันเฟืองชิ้นที่สำคัญของวงการแฟชั่น เพราะพวกเขาไม่เป็นเพียงแต่พนักงานขายสินค้าเพียงเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องมีความรู้ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวตัวแบรนด์และสินค้า เพื่อที่จะนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ออกมาให้ลูกค้าได้เห็น นอกจากนี้ ยังต้องมีทักษะทางด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาท้องถิ่น หรือภาษาสากลเพื่อใช้ในการสื่อสารกับลูกค้า

พนักงานขาย ภาษาอังกฤษ pantip

และ SA ยังต้องทำหน้าที่บริการลูกค้า อำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ เมื่อลูกค้าเข้ามาที่ร้าน สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากคุณเข้าไปที่ร้านเพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนม คุณควรเลือกพนักงาน SA ที่สร้าง First Impression ให้กับคุณด้วยการบริการที่ดีเยี่ยม ให้คำแนะนำในเรื่องของสไตล์ แฟชั่น และอย่าลืมที่จะมองหาพนักงานดี ๆ สักคน ไม่ใช่ใครก็ได้ ที่จะมาเป็น SA ประจำตัวของคุณ เพราะเขาจะเป็นผู้ช่วยในการหาสินค้าที่คุณต้องการได้

มาต่อกันที่พาร์ท 2 ของการ "ตอบคำถามปราบเซียน สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ" สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านพาร์ทแรกคลิกตรงนี้ได้เลย 10 คำถามปราบเซียน สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (PART 1) งั้นมาเริ่มกันเลยกับคำถามในพาร์ทที่สองครับ...

- Why do you want this job? -

- ทำไมถึงอยากได้งานนี้ -

คำแนะนำ : คุณควรรู้จักบริษัทที่คุณสมัคร และรู้ถึงข่าวสารล่าสุดที่บอกถึงทิศทางที่บริษัทกำลังจะไป และที่สำคัญคุณต้องรู้ว่าตำแหน่งคุณต้องเข้ามาแก้ปัญหาในด้านไหน

สำหรับการตอบคำถามให้ตอบว่า “ทำไมคุณถึงเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้” คุณจะเข้ามาช่วยสร้างอะไรให้กับบริษัท และคุณจะได้อะไรตอบแทนที่นอกเหนือจากตัวเงิน เช่น ความต้องการพิสูจน์ตัวเอง เป็นต้น

“I want this job because it emphasizes sales and marketing, two of my greatest skill sets. I know I could bring my ten years of sales and marketing experience to this company, and help you continue your years of growth.”

ดิฉันต้องการงานตำแหน่งนี้เพราะมันจะช่วยต่อยอดทักษะด้ายการขายและการตลาดซึ่งเป็นสองทักษะที่ดีที่สุดของดิฉัน ดิฉันเชื่อว่าดิฉันสามารถนำเอาประสบการณ์การขายและการตลาดกว่า 10 ปีที่ดิฉันมีมาใช้กับที่นี่ได้ และช่วยให้บริษัทของคุณมียอดขายเติบโตในทุกๆปีค่ะ

“I understand that this is a company on the rise. As I’ve read on your website and in various press releases, you are planning to launch several new products in the coming months. I want ​to be a part of this business as it grows, and I know my experience in product development would help your company as you roll out these products.”

ดิฉันเชื่อว่าบริษัทอยู่ในช่วงขาขึ้นนะคะ จากที่ดิฉันได้อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์และข่าวต่างๆ ทางบริษัทของคุณมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายรายการในเดือนที่จะมาถึงนี้ ดิฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของบริษัทค่ะ และดิฉันรู้ว่าประสบการณ์ทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดิฉันมี จะช่วยบริษัทของคุณในเรื่องของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่านี้ได้ค่ะ

“This job is a good fit for what I've been doing and enjoying throughout my career. It offers a mix of short-term projects and long-term goals. My organizational skills allow me to successfully multitask and complete both kinds of projects.”

งานนี้เหมาะเจาะกับสิ่งที่ดิฉันทำและดิฉันสนุกกับมันในอาชีพของดิฉันค่ะ มันสร้างโอกาสให้ดิฉันได้ทำโปรเจ็คระยะสั้นและระยะยาวผสมผสานกัน ทักษะการจัดการที่ดิฉันมีนั้นจะช่วยให้ดิฉันสามารถทำทั้งสองอย่างได้สำเร็จลุล่วงค่ะ

ข้อควรระวัง : ถึงแม้การตอบว่าเงินเดือนดี สวัสดิการดี หรือบ้านใกล้จะเป็นคำตอบที่แท้จริงในใจคุณ แต่มันไม่ได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ตัวคุณ อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์ต้องการวัดทัศนคติในการเรียนรู้ และความมุ่งมั่นในการทำงานของคุณด้วย ฉะนั้นอย่าลืมตอบให้ดู “มีไฟ” ด้วยนะครับ

- Why are you leaving or have left your job? -

- ทำไมคุณถึงลาออกหรือกำลังจะลาออกจากงานเก่า -

คำแนะนำ : หลายๆบริษัทมักจะถามคุณอยู่แล้วว่าทำไมคุณกำลังจะออกจากงาน หรือคุณออกจากที่เก่าเพราะอะไร ทั้งนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณลาออกมาเองหรือถูกให้ออกจากงานเนื่องจากความผิดพลาดในการทำงานบางอย่างหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม คำตอบของคุณควรจะทำให้คุณดูดีอยู่ดี ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลอะไรก็ตามนะครับ

“จงโฟกัสที่ปัจจุบันและอนาคต มากกว่าประสบการณ์ในอดีต”

สิ่งที่คุณสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการหลีกเลี่ยงคำตอบตรงๆ ในเรื่องประสบการณ์การทำงานที่เก่าก็คือการพูดถึง “แพสชั่น” หรือความคาดหวังส่วนตัวของคุณที่มีต่อชีวิตการทำงาน โดยโฟกัสว่างานใหม่นี้จะมอบโอกาสทางการทำงานให้คุณอย่างไรได้บ้างนั่นเอง

มาดูตัวอย่างคำตอบกันนะครับ

คุณกำลังมองหาความท้าทาย --- “I found myself bored with the work and looking for more challenges. I am an excellent employee, and I didn't want my unhappiness to have any impact on the job I was doing for my employer.” ผมพบว่าผมเบื่องานเดิมและต้องการมองหาความท้าทายใหม่ๆ ผมเป็นลูกจ้างที่ดีนะครับ และผมไม่ต้องการให้ “ความรู้สึกไม่มีความสุข” ของผมนั้นมากระทบกับงานที่ทำที่บริษัทเดิมครับ

คุณกำลังมองหาความก้าวหน้า --- “There isn't room for growth with my current employer, and I'm ready to move on to a new challenge.” ผมไม่มีโอกาสได้ก้าวหน้าในที่ทำงานเดิมเลยครับ และผมเองพร้อมแล้วที่จะเจอความท้าทายใหม่ๆ

คุณโดนเลย์ออฟมา --- “I was laid off from my last position when our department was eliminated due to corporate restructuring.” ผมถูกให้ออกเพราะแผนกที่ผมทำงานอยู่ถูกยุบ เนื่องจากบริษัทนั้นได้ทำการปรับโครงสร้างองค์กรครับ

คุณมีเหตุผลส่วนตัว --- “I'm relocating to this area due to family circumstances and left my previous position in order to make the move.” ผมย้ายมายังที่นี่เนื่องจากสถานการณ์ทางด้านครอบครัวของผมครับ ผมจึงต้องลาออกจากงานเดิมมา

คุณคิดว่างานเก่าไม่ใช่งานในฝัน --- “I've decided that my current work role is not the direction I want to go in my career and my current employer has no opportunities in the direction I'd like to head.” ผมคิดว่างานเก่านั้นไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ผมต้องการจะเติบโต และนายจ้างก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้กับทิศทางที่ผมต้องการจะไปครับ

คุณเพิ่งเรียนจบ --- “I recently received my degree, and I want to utilize my educational background in my next position.” ผมเพิ่งได้รับปริญญามา และผมต้องการใช้ความสามารถจากพื้นฐานการศึกษาที่ผมมีกับงานใหม่นี้ครับ

คุณเบื่อการเดินทาง --- “I was commuting to the city and spending a significant amount of time each day on travel. I would prefer to be closer to home.” ผมเคยต้องเดินทางเข้าเมืองและใช้เวลาอย่างมากมายในการเดินทาง ผมจึงอยากที่จะได้ทำงานใกล้บ้านมากขึ้นน่ะครับ

คุณโดนให้ออก --- “The company was cutting back and, unfortunately, my job was one of those eliminated.” บริษัทเก่าลดต้นทุน และโชคร้ายที่งานของผมก็เป็นหนึ่งตำแหน่งที่โดนโละครับ

ข้อควรระวัง : อย่าด่าเจ้านายเก่า! เพราะโลกธุรกิจนั้นเชื่อมโยงกันไปหมด เผลอๆบริษัทเก่าที่คุณลาออกมา กลับกลายเป็นลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์เจ้าสำคัญของบริษัทใหม่ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นได้ ซึ่งผู้สัมภาษณ์คงไม่อยากจ้างคนที่ด่า “ลูกค้าคนสำคัญ” ของเขาอย่างเสียๆหายๆใช่ไหมล่ะครับ

- How do you handle stress and pressure? -

- คุณรับมือกับความเครียดและความกดดันอย่างไรบ้าง -

คำแนะนำ : คำถามข้อนี้ สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์อยากรู้มากที่สุดคือ “ความเครียดปริมาณมากแค่ไหน ที่จะส่งผลต่อการทำงานของคุณ” และคุณจะจัดการมันได้อย่างไรโดยไม่กระทบกับการทำงานในแต่ละวัน คุณสามารถตอบโดยเล่าถึงสถานการณ์ในอดีตว่าคุณเคยจัดการกับปัญหาที่สร้างความเครียดให้คุณอย่างไรบ้าง คุณอาจบอกว่าเคสที่คุณเล่านั้นได้ทำให้คุณเครียด แต่ความเครียดปริมาณดังกล่าวทำให้คุณรู้สึกตั้งใจทำงานมากขึ้น และทำให้คุณรู้สึกท้าทาย เป็นต้น

ถ้าความเครียดที่เคยเกิดขึ้นกับคุณเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นโดยปกติตามเนื้องาน (ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้) คุณไม่ควรกล่าวถึงมันนะครับ เช่น ถ้าคุณสมัครงานตำแหน่งพนักงานขาย แต่คุณบอกผู้สัมภาษณ์ว่าคุณเครียดเวลาต้องคุยกับคนเยอะๆ (อ้าว...) หรือคุณสมัครเป็นโปรเจ็คแมเนเจอร์ แต่ดันไปบอกว่าเครียดเวลาทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน (เอ๊ะ!) แบบนี้คงหมดโอกาสได้งานกันพอดีจริงไหมครับ

ตัวอย่างการตอบที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ก็คือ...

“I actually work better under pressure, and I've found that I enjoy working in a challenging environment.” จริงๆแล้วดิฉันสามารถทำงานได้ดีขึ้นภายใต้ความกดดันนะคะ ดิฉันพบว่าดิฉันนั้นชอบทำงานในสภาวะที่ท้าทายความสามารถค่ะ”

“I find that when I'm under the pressure of a deadline, I can do some of my most creative work.” ดิฉันพบว่าเมื่อดิฉันอยู่ในสภาวะที่ถูกกดดันด้วยวันเด้ดไลน์ ดิฉันจะสามารถทำงานได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด

หรือจะบอกว่า “I react to situations, rather than to stress. That way, the situation is handled and doesn't become stressful.” ดิฉันเลือกที่จะจัดการกับสถานการณ์นั้นมากกว่าจะมานั่งเครียดกับมันนะคะ ด้วยวิธีนี้ทำให้ดิฉันควบคุมสถานการณ์นั้นไว้ได้และไม่เกิดเป็นความเครียดค่ะ

โดยคุณอาจยกตัวอย่างให้ผู้สัมภาษณ์ฟัง โดยใช้คำว่า “For example”

“For example, when I deal with an unsatisfied customer, rather than feeling stressed, I focus on the task at hand. I believe my ability to communicate effectively with customers during these moments helps reduce my own stress in these situations and also reduces any stress the customer may feel.”

เมื่อดิฉันต้องดูแลลูกค้าที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับสินค้า แทนที่ดิฉันจะเครียด ดิฉันกลับมาโฟกัสที่งานที่ดิฉันต้องแก้ไขมากกว่า ซึ่งดิฉันเชื่อมั่นว่าความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับลูกค้าของดิฉันนั้น จะช่วยลดความเครียดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และยังทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกเครียดไปด้วย