เป้าหมาย การ ทํา งาน ปีหน้า

นิยามความสำเร็จในเรื่องของหน้าที่การงาน เป็นสิ่งหนึ่งและสิ่งสำคัญอย่างมากเลยล่ะที่จะทำให้เราสามารถดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ของเราได้ ซึ่งในเรื่องของความสำเร็จในการทำงานนี้ เป็นเรื่องที่เราทุกคนถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าให้เรียนหนังสือเก่งๆ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือว่าพยายามเรียนให้จบสูงๆ เพื่อที่ว่าจะได้หางานที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆที่ต้องหางานทำของเด็กเหล่านั้นที่ถูกสอนเกี่ยวกับเรื่องของความประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่แล้วก็จะลงเอยในการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แสนจะน่าเบื่อเพราะว่าด้วยการแข่งขันในเรื่องของการหางานที่สูง เมื่อเราเจองานไหนที่มีตำแหน่งว่าง เราก็เลือกที่จะสมัครไปก่อน โดยหวังอยู่ในใจลึกๆว่าอยากได้งานที่ตัวเองชอบ เงินเดือนสูงๆหรือเติบโตในสายงานนั้นให้ถึงที่สุดเพื่อเงินเดือนที่สูงที่สุด

เป้าหมาย การ ทํา งาน ปีหน้า

ด้วยความรู้สึกลึกๆของใครหลายๆคนที่อยากจะพัฒนาตัวเองให้เติบโตในสายงานนั้น พัฒนาตัวเองให้อยู่ในจุดสูงกว่าที่เคยอยู่เพื่อเงินเดือนที่มากขึ้น เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมถึงเห็นใครหลายๆคนพยายามที่จะเรียน เพื่อปรับวุฒิการศึกษา พยายามเรียนหาความรู้ หรือพยายามหาช่องทางที่จะให้ตัวเองนั้นได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ได้เงินค่าความรู้ต่างๆที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหล่ามนุษย์เงินเดือนจำนวนไม่น้อยเลยล่ะ ที่รู้สึกว่าตัวเองนั้น ไม่สามารถเติบโตในสายงานที่ตัวเองทำอยู่ได้หรือว่าอาจจะเติบโตได้ช้า อย่างเช่น พนักงานออฟฟิศ พนักงานประจำ และอื่นๆ ซึ่งจะดีกว่าหรือเปล่าล่ะถ้าเรานั้นจะวางแผนให้เราเติบโตในปีหน้าได้สำเร็จ ดังนั้นแล้วเรามีเคล็ดลับง่ายๆมาแนะนำดังนี้

สำรวจความสามารถของตัวเอง

การที่เราคิดที่จะหางานใหม่หรือว่าจะสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองนั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากเลยนั่นก็คือการสำรวจความสามารถของตัวเองนะ เราคงจะไม่อยากจะหางานใหม่โดยที่เราไม่รู้ว่าตัวเราเองชอบทำอะไร เก่งงานแบบไหน ทำอะไรได้บ้างเป็นแน่ ซึ่งด้วยประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาของใครหลายๆคน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและถือว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากเลยล่ะ เพราะด้วยงานส่วนใหญ่ที่มักจะเขียนว่า รับพิจารณาบุคคลที่เคยมีประสบการณ์มากเป็นพิเศษ หรือเขียนด้วยคำอื่นๆ และแน่นอนถ้าหากเรารู้ว่ามีสถานที่ทำงานใหม่ที่เปิดรับสมัครงานและผลตอบแทน รายได้ สูงกว่ากว่าที่ทำอยู่หรือถ้างานใหม่นี้ ทำให้เรารู้สึกว่าสามารถตอบโตในสายงานนั้นได้มากกว่า ก็ลองรีบไปสมัครดูสิ ด้วยประสบการณ์การทำงานที่เรามีจะทำให้เรามีความได้เปรียบอย่างมากเลยล่ะเมื่อเทียบกับเด็กหน้าใหม่ไฟแรงที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์นะ

สำรวจความสามารถที่ต้องการในสายงานของเรา

หลายๆครั้งด้วยความสามารถที่มีอยู่อย่างจำกัดของเรา ก็ทำให้เรานั้นทำงานได้เพียงเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาและแทบจะไม่มีโอกาสที่จะได้เติบโตสักเท่าไหร่และเคยสงสัยหรือเปล่าล่ะว่าทำไมเพื่อนร่วมงานของเราบางคนนั้น สามารถเติบโตในงานที่ตัวเองทำอยู่หรือว่าได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งแน่นอนส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพื่อนของเรานั้น มีความสามารถบางอย่างที่หัวหน้าต้องการ มีความสามารถบางอย่างที่ทำให้สามารถรับทำงานที่ยากกว่า ทำงานที่ท้าทายกว่าได้ แต่ถ้าใครหลายๆคนยังนึกไม่ออก ลองนึกถึงหัวหน้ากับลูกน้องดูสิว่ามีอะไรที่ต่างกันบ้างและแน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดก็คือ ความสามารถของทั้งสองตำแหน่ง ดังนั้นแล้วถ้าเรารู้ว่าในสายงานของเราที่เราจะเติบโต ต้องการความสามารถอะไรก็ลองทำตามข้อกำหนดเหล่านั้นให้ได้ดูสิ

พูดคุยกับเพื่อน ถามเรื่องานบ่อยๆ

หลายๆครั้งที่เราเคยรู้สึกอิจฉาเพื่อนที่ได้ทำงานที่ที่ดีกว่า ทำงานอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตามถ้าเรามัวแต่อิจฉา เราก็คงจะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ถึงไหนแน่ ดังนั้นแล้วสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ถามเรื่องงานเกี่ยวกับเพื่อนของเรา ว่ามีตำแหน่งว่างอะไรบ้าง ทำอะไรบ้างในสายงาน คุยถึงเรื่องงานกับเพื่อน แน่นอนว่าบางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เพื่อนได้คุยโวโอ้อวด แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยนะที่สามารถทำงานในตำแหน่งดีๆด้วยการฝากงานของคนรู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเพื่อนเราที่อยู่ในตำแหน่งสูงๆหรืออยู่ในจุดที่จะฝากเราเข้าทำงานอยู่ในตำแหน่งดีๆได้ เพื่อนเราก็จะฝากงานให้เราแน่นอนหากเราสนใจ และเมื่อเราทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันกับเพื่อนแล้ว ถึงแม้ว่าตำแหน่งของเราจะไม่สูงเท่าไหร่แต่มั่นใจได้เลยว่าเมื่องานมีปัญหาอะไร ก็สามารถปรึกษาเพื่อนได้เสมอนะ

‘ทักษะนี้ก็อยากเก่ง เรื่องนี้ก็อยากพัฒนา ความสัมพันธ์ก็อยากจะรักษา ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตาก็อยากจะให้เป๊ะอยู่ตลอด…’

ความรู้สึกว่าอยากเป็น “ตัวเองที่ดีกว่า” ในทุกๆ ด้านเช่นนี้ทำให้ทุกครั้งที่ต้องเริ่มต้นใหม่ (อย่าง ในช่วงปีใหม่) เราตั้งเป้าหมายต่อปีไว้มากมาย ในช่วงแรกที่เราพอมีไฟ ทุกอย่างอาจเป็นไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม กว่าเราจะรู้ตัวอีกทีว่ามันเยอะเกินไปก็เบิร์นเอาท์ไปแล้ว การพยายามทำทุกอย่างพร้อมๆ กันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน!

เพราะชีวิตจริงนั้นยากยิ่งกว่าการเล่นกายกรรมโยน-รับบอล 3 ลูกพร้อมๆ กัน แม้เราจะมีความสามารถและความตั้งใจที่แน่วแน่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถทำทั้งหมดไปพร้อมๆ กันได้

คำถามที่ตามมาคือ เราควรตั้งเป้าหมายอย่างไร?

Advertisements

มีเป้าหมายหลายข้อเกินไปไม่ดีจริงไหม?

และจะรู้ได้อย่างไรว่าเป้าหมายไหน “สำคัญ” สำหรับเราที่สุด?

ทำไมเป้าหมายเยอะเกินไปก็ไม่ดี

หากเรามีเรื่องสำคัญต้องทำพร้อมๆ กันตลอดเวลาก็อาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกท่วมท้น (Overwhelmed) ขึ้นมาจนเครียดได้ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนทุกอย่างก็สำคัญไปหมด หากเราจัดการเวลาพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจกระทบเรื่องอื่นๆ ราวกับโดมิโนที่ล้มครืนเลย หากเราฝืนทำต่อไปก็อาจจะไม่มีความสุขจนเกิดอาการเบิร์นเอาท์ ไม่ก็รู้สึกขยาดจนหันไปทำอะไรอย่างอื่นที่ให้ความ ‘สบายใจ’ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ 

บางคนอาจหันไปทำงานเล็กๆ ง่ายๆ แต่ไม่ได้สำคัญก่อน เพราะความสำเร็จที่ได้มาเร็วนั้นทำให้เรารู้สึกดีทันทีทันใด อย่างการตอบอีเมลไม่สำคัญๆ หรือการตกแต่งสไลด์สำหรับการพรีเซนต์

อีกข้อเสียของการทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันคือ “ต้นทุนในการเปลี่ยนงาน” (Task Switching Cost) ซึ่งก็คือเวลาและสมาธิที่เราต้องเสียทุกๆ ครั้งที่เราเปลี่ยนจากการทำอย่างหนึ่งไปทำอีกอย่างหนึ่ง

นักวิจัยพบว่าต้นทุนที่เราเสียไปกับการเปลี่ยนงานนั้นมีตั้งแต่ 25% ไปจนถึงกว่า 100% เลยทีเดียว ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้กว่าเราจะตั้งสมาธิทำอะไรสักอย่างใช้เวลาไปไม่น้อย หากต้องมาตั้งสมาธิเริ่มต้นทำใหม่บ่อยๆ คงจะเสียเวลากว่าเดิมอีก ดังนั้นการทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันอาจไม่ Productive เอาเสียเลย

แล้วถ้าหากเราจะเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

1. อย่าลืมว่า “เป้าหมาย = การกระทำเล็กๆ รวมกัน”

ในตอนที่เราวางแผน หลายครั้งเราคิดว่าเป้าหมายอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง เราจึงเขียนอะไรต่างๆ ลงไปมากมายและตัดสินใจทำมันเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การลดน้ำหนัก การอ่านหนังสือเดือนละเล่ม และการทำแบรนด์เล็กๆ ของตัวเอง

แต่ในความเป็นจริงนั้น เราลืมไปว่าการจะไปถึงเป้าหมายประกอบด้วย “สิ่งที่ต้องทำ” มหาศาล! อย่างเช่นในการลดน้ำหนัก ไม่ได้มีแค่ขั้นตอนเดียวซึ่งก็คือการออกกำลังกาย แต่ประกอบด้วยขั้นตอนอื่นๆ อีก เช่น

– ไม่นอนดึก พักผ่อนให้เพียงพอ

– ต้องทำงานให้เสร็จภายในชั่วโมงทำงานจะได้มีเวลาออกกำลังกาย

– ทานอาหารให้ครบทุกมื้อจะได้มีแรงออกกำลังกาย

– มีเวลาเตรียมอาหารและทำอาหารในทุกๆ วัน

จะเห็นได้ว่าแต่ละเป้าหมายมีขั้นตอนแฝงเต็มไปหมด ดังนั้นพอเราตั้งเป้าหมายจริงๆ เราควรนึกถึง “ขั้นตอน” ของมันด้วยว่าเราจะสามารถทำได้จริงหรือเปล่า 

ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนใดๆ ก็ตาม ควรคำนึงถึงระหว่างทางด้วย มิใช่แค่ปลายทางอย่างเดียว

2. ควรทำ vs อยากทำ

เป้าหมายคือสิ่งที่เราต้องการ อยากได้ หรืออยากมี แต่ท่ามกลางความต้องการนับร้อยของเรานั้น มีบางอย่างที่สำคัญกว่าอีกอย่างเสมอ ดังนั้นเราอาจเริ่มจากการจัดลำดับความสำคัญ โดยเขียนทุกอย่างลงไปในลิสต์ให้หมดก่อน จากนั้นก็ค่อยแบ่งประเภทว่า เป้าหมายไหน “ควรทำ”  ในช่วง 1 ปีนี้และอันไหนที่ “อยากทำ”

Advertisements

จากนั้นให้เลือกสิ่งที่ควรทำ (ซึ่งก็คือสิ่งที่เรามองว่าสำคัญและจะส่งผลต่อชีวิตเรามากที่สุด) มาตั้งเป็นเป้าหมาย โดยอาจเลือกมาเพียง 3-5 อย่างเท่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เยอะเกินไป

และแน่นอนว่า สิ่งที่เราอยากทำก็เป็นเรื่องจำเป็นต่อความสุขในการดำรงชีวิต (อย่างเช่น การฝึกเล่นเครื่องดนตรี 1 ชิ้น การใช้เวลากับเพื่อนให้มากขึ้น หรือการไปเที่ยวไกลๆ สักที่) ถ้าหากสิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นต่อเรามากๆ เราสามารถเลือกสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุดมาเพียงสักข้อก็ได้ เป้าหมายรายปีของเราอาจประกอบด้วยสิ่งที่ควรทำ 3 ข้อ และอยากทำ 1 ข้อ

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องใช้เวลากับตัวเอง คิดวิเคราะห์ให้ดีว่าสิ่งใดบ้างที่จะส่งผลดี สอดคล้องไปกับเป้าหมายของเราในระยะยาว เราอาจถามตัวเองด้วยคำถามที่ว่า หากเราไม่ทำมันในปีนี้ ปีหน้าเราจะเสียใจและเสียดายมากไหม จะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง 

3. โฟกัสให้ถูกที่ถูกเวลา

มีแนวคิดหนึ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “การที่เป้าหมายแข่งขันกันเอง” กล่าวคือ อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการทำเป้าหมายหนึ่งให้สำเร็จ คือ เป้าหมายอื่นๆ ที่เรามี พูดง่ายๆ ก็คือการที่เราทำบางอย่างได้ไม่สำเร็จสักที อาจเป็นเพราะเราเอาเวลา แรงกาย และสมาธิไปโฟกัสกับเป้าหมายอื่นๆ ในชีวิต

หากเรามีเพียงแค่ 1 เป้าหมายต่อปี การวางแผนและการตัดสินใจมักจะทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วกว่า โอกาสในการทำสำเร็จอาจมากกว่าด้วย หลายคนจึงนิยมทำให้สำเร็จไปทีละอย่าง

แน่นอน หากเป็นไปได้เราก็อยากแนะนำให้เลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดมา 1 อย่างและโฟกัสกับมันให้เต็มที่จนทำสำเร็จ แต่ในชีวิตจริงอาจไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เรามีสิ่งที่ควรทำเต็มไปหมด แม้จะเลือกที่สำคัญสุดๆ มาแล้วแต่ก็อาจจะมีถึง 2-3 อย่างอยู่ดี

หากเราเลือกแล้วว่าจะทำหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่ควรมีอย่างแรกคือการวางแผนที่ดี และการประเมินความสำคัญเป็นประจำ (Re-evaluate) เราจะได้โฟกัสได้ถูกจุด เพราะในการทำให้สำเร็จ อาจหมายความว่าเราต้องตัดสินใจเลือกสิ่งหนึ่ง และทุ่มเทให้กับสิ่งอื่นน้อยลง (แต่ไม่ได้หมายความว่าทิ้งมันไปเลยนะ)

ยกตัวอย่างเช่น เราอาจตัดสินใจว่าจะตั้งใจพัฒนาโปรเจกต์ที่ถืออยู่ให้เต็มที่ภายใน 3 เดือนนี้ เนื่องจากใกล้ช่วงประเมินผลการทำงาน แต่ในช่วงนั้นเราอาจต้องออกกำลังกายน้อยลงกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเป้าหมายด้านการงานและสุขภาพจะมีความสำคัญเท่าๆ กัน แต่ในช่วงเวลานั้น เป้าหมายด้านการงานมีความเร่งด่วนและจำเป็นกว่า

เมื่อเรามีอะไรมากมายหลายอย่างให้ทำ เราอาจรู้สึกว่าอยากมีเวลาว่างเยอะกว่านี้ หรืออาจถึงขั้นแอบภาวนาให้วันๆ หนึ่งมี 48 ชั่วโมงต่อวัน อย่างไรก็ตาม หากเราคิดดูดีๆ เราอาจพบว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ “ต้องการเวลา” มากขึ้น แต่เรา “ต้องเลือก” สักทีเสียมากกว่า ว่าจะลงมือทำอะไรก่อน

เป้าหมาย การ ทํา งาน ปีหน้า

การเลือกและวางแผนให้ดีเป็นสิ่งสำคัญในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ แต่ทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อคุณมีตัวช่วยที่ดี อย่าง ‘One Small Step Planner’ แพลนเนอร์ปี 2022 ที่จะช่วยให้คุณมุ่งสู่ความสำเร็จด้วยก้าวเล็กๆ วันละนิด สามารถสั่งซื้อได้เลยที่ >> https://bit.ly/2YBLOpv

และ พิเศษสุดๆ ตรงที่ พรุ่งนี้เรามี “แจกฟรี” ถึง 5 เล่ม!

ติดตามชมและลุ้นเล่นเกมชิงรางวัลรับ ‘One Small Step Planner’ ได้ในรายการ Mission To The Moon Remaster Live ในวันที่ 18 ตุลาคม 2564 เวลา 19:00-20:30 น.

แล้วมาร่วมสนุกกันนะ


เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ:

  • ‘ภาวะ Brownout’ ไม่ได้หมดแรงแต่หมดใจ ไม่อยากไปต่อกับการทำงาน
  • ‘Eisenhower Matrix’ อยากบริหารเวลาให้ได้ ต้องจัดลำดับความสำคัญให้เป็น

อ้างอิง
https://bit.ly/3jcJf43
https://bit.ly/3DLwAwQ

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

#selfimprovement

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements

Facebook

Twitter

LINE

Telegram

บทความก่อนหน้านี้ทำอย่างไรเมื่อ Primetime ไม่ตรงกันในแต่ละวัน? | 5M EP.991

บทความถัดไป7 เทคนิคดันธุรกิจให้เติบโตในปี 2022 จากมุมมองนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

Tanyaporn Thasak

ผู้โดยสารคนหนึ่งบนยาน Mission To The Moon ที่หลงใหลในวรรณกรรม ภาพยนตร์ บทกวี การอ่าน การเขียน และการนอน