พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ที่ตั้ง พระราชประวัติ ทรงมีสมเด็จพระเชษฐภคินีพระองค์หนึ่ง คือ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา ประสูติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาในภายหลัง และมีสมเด็จพระราชอนุชาพระองค์หนึ่ง คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระราชสมภพ ณ วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงตามเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนีไปประทับยังต่างประเทศจนพระชนมายุ 3 พรรษา จึงได้เสด็จกลับ ประเทศไทยประทับ ณ วังสระปทุม กรุงเทพมหานคร และเมื่อทรงพระชนมายุ 4 พรรษา สมเด็จพระบรมราชชนกก็เสด็จทิวงคต การอบรมอภิบาลจึงอยู่ในพระองค์ของสมเด็จพระบรมราชชนนีแต่เพียงพระองค์เดียว เมื่อพระชนมายุ 7 พรรษา ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีแล้วจึงทรงย้ายไปเข้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ สภาพบ้านเมืองในระหว่างนี้มีความผันผวนทางการเมือง และเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คณะราษฎร์ก่อการปฏิวัติเข้ายึดอำนาจเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะส่งพระราชนัดดาทั้งสามพระองค์ไปศึกษาต่อยังประเทศที่เหมาะสม ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทรงมีพระพลานามัยที่ไม่แข็งแรงมาตลอด จึงทรงไปเพื่อเป็นการรักษาพระพลานามัยของพระนัดดาด้วย สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเลือกเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นสถานที่ประทับ ความเป็นอยู่ของพระองค์เป็นไปอย่างธรรมดาเรียบง่ายท่ามกลางความสุข ตราบจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปประทับรักษาพระเนตรที่อังกฤษ และได้ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ด้วยการสืบราชสมบัติตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ซึ่งเป็นไปตามนัยแห่งกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 และด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติอัญเชิญ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์สืบราชสันติราชวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 8 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ 8 พรรษา 5 เดือน 13 วัน เสด็จนิวัติพระนครครั้งแรก เมื่อเรือมีโอเนียออกจากปีนังเข้าสู่น่านน้ำไทยและเทียบจอดทอดสมอที่เกาะสีชัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จจากเรือมีโอเนียประทับเรือหลวงศรีอยุธยาเรือพระที่นั่ง แล่นข้ามสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่กรุงเทพมหานครในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 มีพระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐบาล คณะทูตานุทูต ข้าราชการและพลเรือน ตลอดจนประชาชนมารอรับเสด็จ ณ ท่าราชวรดิษฐ์ อย่างเนืองแน่น ต่างพากันชื่นชมโสมนัสเมื่อเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์น้อยทรงงามพร้อมไปทุกสิ่ง ทั้งพระรูปโฉม พระวาจา พระอิริยาบถ บางคนถึงกับปีติยินดีจนน้ำตาไหลเมื่อได้เห็นธงมหาราชอันสง่างามปลิวไสวอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จจากประเทศไทยไปเมื่อ พ.ศ. 2477 ระหว่างที่ประทับอยู่ในพระนคร ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย อาทิ เสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลอานันทมหิดล ที่จังหวัดลพบุรี เสด็จพระราชทานธงประจำกองแก่ยุวชนทหารที่ท้องสนามหลวง เสด็จงานสมคานักเรียนเก่าอังกฤษ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ เสด็จเยี่ยมพระบรมวงศ์ชั้นสูง เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรวัดสำคัญๆ อาทิ วัดพระเชตุพน วัดเบญจมบพิตร วัดสระเกศ วัดอรุณราชวราราม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดบวรนิเวศ วัดสุทัศน์ และวัดเทพศิรินทร์ เป็นต้น ทรงเสด็จกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2482 ระยะเวลาเพียง 2 เดือนที่ประทับอยู่ในประเทศไทยได้ทรงผูกพันจิตใจของประชาชนคนไทยไว้อย่างมั่นคงและแน่นแฟ้น เสด็จนิวัติประเทศไทยครั้งที่สอง พระองค์เสด็จถึงสนามบินดอนเมืองซึ่งเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ไปรอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์สักหลาดสีเทาก้าวพระบาทจากบันไดเครื่องบินลงเหยียบผืนแผ่นดินไทยพร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระอนุชา ดวงใจทุกดวง ณ ที่นั้นเต็มตื้นและชื่นชม มีความจงรักภักดีเปี่ยมล้นเมื่อได้เห็นว่า พระองค์มิใช่พระมหากษัตริย์องค์น้อยดังที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน แต่เป็นพระมหากษัตริย์หนุ่มที่สง่างามทั้งพระรูปโฉมเป็นที่เจริญตา พระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณปรากฏชัดในแววพระเนตรและสีพระพักตร์ ทั้งสามพระองค์เสด็จพระราชดำเนินจากดอนเมืองโดยขบวนรถไฟพระที่นั่งจนถึงสถานีหลวงสวนจิตรลดาและเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนรถยนต์พระที่นั่งจนถึง พระบรมมหาราชวัง ท่ามกลางประชาชนที่มาเฝ้าชมพระบารมีอย่างเนืองแน่น นับจากวันนั้น คนไทยมีเรื่องกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตนมิเว้นแต่ละวัน การไปเฝ้ารับเสด็จตามที่ต่างๆ ที่ทราบว่าจะเสด็จพระราชดำเนิน เป็นความสุขอย่างยิ่ง
เสด็จในงานพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 เสด็จเปิดสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ยังทรงเสด็จเยี่ยมสถานที่ต่างๆ อีกมากมาย เช่น วัดสำคัญในพระนครและต่างจังหวัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระราชวังโบราณอยุธยา พระราชวังบางปะอิน กรมอู่ทหารเรือ เสด็จเยี่ยมราษฎรอย่างใกล้ชิดทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง โดยที่พระราชกรณียกิจสุดท้ายคือ ทรงหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวลงไว้แก่แผ่นดิน เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชาวเกษตรบางเขน เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ข่าวที่ว่า “ ในหลวงสวรรคต” สะเทือนใจคนไทยทั้งแผ่นดินยังความเศร้าโศกเสียใจไปทั่วประเทศ มีการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับและอยู่ในความสนใจของหลายประเทศ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพมีขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 29 มีนาคม พ.ศ. 2493 ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง ท่ามกลางพสกนิกรที่จงรักภักดีและเทิดทูนบูชาอย่างเนืองแน่นมืดฟ้ามัวดิน และวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงอัญเชิญพระบรมราชสริรางคารสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชมาประดิษฐานในผ้าทิพย์พุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนี พระพุทธปฏิมาประธานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศน์เทพวราราม ประดุจดังพระราชดำรัสที่เคยกล่าวไว้ว่า “ (วัดสุทัศน์) ที่นี่เงียบสงบน่าอยู่จริง”
กระบวนเชิญพระโกศพระบรมศพโดยพระยานมาศสามลำคาน จากพระบรมมหาราชวังไปยังพระมหาพิชัยราชรถ หน้าวัดเชตุพนฯ (29 มีนาคม 2493) พระโกศพระบรมศพประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถ แห่เชิญจากหน้าวัดพระเชตุพนฯไปยังพระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง (29 มีนาคม 2493) วัดพระเชตุพน ไปยังพระเมรุมาศท้องสนามหลวง (29 มีนาคม 2493)
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ลักษณะทางศิลปกรรมที่สำคัญ
พระบรมราชานุสาวรีย์ตั้ง ณ บริเวณลานประทักษิณชั้นล่างมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระวิหารหลวง วัดสุทัศน์เทพวราราม พระบรมรูปหล่อด้วยสำริดขนาดเท่าพระองค์จริง ทรงฉลองพระองค์ชุดจอมทัพ ประทับยืนบนแท่นหินอ่อนยกพื้นสูง มีแผ่นทองเหลืองจารึกเกี่ยวกับกำหนดการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ เบื้องหลังเป็นแผ่นหินอ่อนวงโค้ง ประดิษฐานพระปรมาภิไธยย่อ "อปร" ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ |