ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมเจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะทางความรู้ด้านต่าง ๆ มีการรื้อฟื้นวิทยาการสาขาต่าง ๆ ของกรีกและโรมัน

ทำให้เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การประดิษฐ์แท่นพิมพ์ขึ้นใช้ได้ผลเป็นครั้งแรกในยุโรป เมื่อ ค.ศ. 1454

ทำให้มีการอ่านหนังสือกันอย่างกว้างขวาง

เศรษฐกิจของยุโรปขึ้นอยู่กับการเกษตรตามบริเวณลุ่มแม่น้ำ

ซึ่งเป็นเศรษฐกิจเกษตรกรรมแบบพึ่งตัวเอง

ซึ่งเป็นเศรษฐกิจเกษตรกรรมแบบพึ่งตัวเอง

เศรษฐกิจในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5–11

เป็นระบบเศรษฐกิจแบบแมนเนอร์ (Nanorial System)

ซึ่งเป็นเศรษฐกิจเกษตรกรรมแบบพึ่งตัวเอง

ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยม

ที่ตั้งและสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีผล ต่อพัฒนาการของประเทศ

ทวีปยุโรปตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือ ประกอบด้วยที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง เทือกเขา และมีคาบสมุทรจำนวนมาก จึงได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งคาบสมุทร

หากจะย้อนกลับไปถึงความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ยุคอดีตทวีปยุโรปจัดเป็นทวีปที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดเลยก็ว่าได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนสืบทอดต่อกันมาเป็นลายลักษณ์อักษรที่มีความชัดเจนไม่ใช่การปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ทวีปยุโรปในยุคก่อนหน้าจึงมักมีพัฒนาการในด้านต่างๆ ไปได้รวดเร็วมากกว่าคนในทวีปอื่นๆ เช่นเดียวกับเรื่องของการปกครองที่มีความน่าสนใจเกี่ยวกับพัฒนาการของทวีปยุโรปอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะพัฒนาการการปกครองของยุโรปนั้นส่งผลถึงระบอบการปกครองในปัจจุบันนี้ด้วยเช่นกัน

ทำความเข้าใจกับประวัติการปกครองในภาคพื้นยุโรป

ตั้งแต่อดีตนั้นดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปจะมีกษัตริย์ที่คอยปกครองดินแดนบริเวณดังกล่าวอยู่ โดยกษัตริย์แต่ละพื้นที่จะถือเป็นประมุขสูงสุด สมัยโรมันจะเรียกกษัตริย์ว่า ซีซาร์หรือจักรพรรดิ เมื่อถึงเวลาที่อาณาจักรโรมันล่มสลายก็ได้เข้าสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า ยุโรปยุคกลาง ก่อเกิดขึ้นมาเป็นการปกครองระบอบฟิวดัล ระบอบการปกครองแบบฟิวดัล หรือ ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ถือว่าเป็นระบอบการปกครองยุโรปในสมัยกลางที่มีการกระจายอำนาจทั่วไปสู่ท้องถิ่น มีอิทธิพลในด้านการดำรงชีวิต ความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมของทวีปยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางฝั่งตะวันตกไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม พัฒนาการการปกครองของยุโรปยุคกลางตอนปลายเริ่มต้นมีการปกครองระบบกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่ทรงไม่มีบทบาททางการเมืองพร้อมกับทรงอยู่ในขอบเขตของกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่ได้มีการบัญญัติขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบมีลายลักษณ์อักษรหรือไม่มีลายลักษณ์อักษรก็ตาม อย่างไรก็ตามในทวีปยุโรปหลายประเทศก็ยังคงมีรูปแบบการปกครองเฉพาะตัวต่างกันออกไป ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายมากๆ โดยในปัจจุบันนี้หากแบ่งการปกครองของภาคพื้นยุโรปออกก็จะมีการแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

ชาวกรีกได้สร้างอาณาจักรของตนขี้น ประกอบด้วย นครรัฐเล็กๆ หลายแห่งในคาบสมุทรบอลข่าน อาณาจักรของชาวกรีกเจริญรุ่งเรืองมาก ระหว่าง 200 ปีก่อนพุทธกาลจนถึงต้นพุทธกาล ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่นักเดินเรือและพ่อค้าชาวกรีกออกไปทำการค้า และสร้างอาณานิคมขึ้นอย่างกว้างขวางตามบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของทวีปยุโรป เอเซีย และแอฟริกา

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

ชาวกรีกได้พัฒนาการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยราษฏรมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายกครองหรือสมาชิกสภาบริหาร โดยเฉพาะการปกครองของนครรัฐเอเธนส์ ซึ่งเป็นนครรัฐที่มีชื่อเสียงมากของกรีก ถือกันว่าเป็นแม่แบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ชาวยุโรปได้รับการถ่ายทอดมาจากชาวกรีก

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

ชาวกรีกได้สร้างศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีความงดงาม นอกจากนี้ยังมีวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ซึ่งเคารพบูชาเทพเจ้าต่างๆ มีพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า โดยการแสดงละคร ซึ่งเป็นแบบฉบับการละครของชาวยุโรปในสมัยต่อมา รวมทั้งการแข่งขันกีฬาระหว่างนครรัฐ เพื่อบูชาเทพเจ้าที่ภูเขาโอลิมปัส ก็ได้กลายมาเป็นธรรมเนียมการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศที่เรียกว่า กีฬาโอลิมปิคในปัจจุบัน

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

ชาวกรีกเป็นนักคิด รักความมีเหตุผล จึงทำให้เกิดแนวความคิดทางปรัชญาแก่ชาวยุโรป นักปรัชญากรีกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ เพลโต และอริสโตเติล ซึ่งถือเป็นผู้วางรากฐานปรัชยาให้แก่ชาวยุโรป

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

ชาวโรมันได้สร้างอาณาจักรของตนขึ้นในคาบสมุทรอิตาลี และมีอำนาจขึ้นแทนที่กรีกในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 4 จนถึงตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 11 จึงเสื่อมอำนาจลง ในขณะที่โรมันมีอำนาจอย่างเต็มที่ได้แผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในยุโรป และตอนเหนือของแอฟริกา ปัจจุบันยังคงมีซากโบราณสถานปรากฏอยู่ในประเทศต่างๆ ที่แสดงถึงการแผ่อำนาจของโรมันโบราณ เช่น กำแพงเมือง ป้อมปราการ ถนน เป็นต้น

ในวันนี้ StartDee เลยอยากชวนนั่งไทม์แมชชีน ไปดูพัฒนาการทางการเมืองของทวีปยุโรปกันบ้าง โดยเราจะขอเน้นกันที่ช่วงสมัยใหม่และสมัยปัจจุบันเป็นหลัก

แต่ถ้าเพื่อน ๆ อยากลงลึกไปที่พัฒนาการด้านการเมืองของยุโรปตั้งแต่สมัยโบราณและสมัยกลาง ก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน StartDee ก่อนนะ จากนั้นก็คลิกเข้าไปในวิชาประวัติศาสตร์ แล้วเลือกประวัติศาสตร์โลก ตามด้วยทวีปยุโรปได้เลย

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

พัฒนาการทางการเมืองของยุโรปในสมัยใหม่

เมื่อผ่านสมัยกลางที่มีระบบฟิวดัล (Feudal system) สู่สมัยใหม่ การเมืองการปกครองในยุโรปเริ่มมีลักษณะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ประชาชนเริ่มรู้จักสิทธิเสรีภาพของตนเอง คู่ขนานกันไปกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์มีอำนาจ ไปเรียนรู้พัฒนาการทางประชาธิปไตยและสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุโรปกันเลย

 

พัฒนาการของประชาธิปไตยในยุโรป :

ในช่วงที่มีระบบฟิวดัลนั้น ได้มีการออกมหากฎบัตร (Magna Carta) ใน ค.ศ. 1215 อันเกิดจากเหล่าขุนนางชาวอังกฤษ ได้กดดันพระเจ้าจอห์น (John, King of England) ให้ทรงลงนามในมหากฎบัตรนี้ เนื่องมาจากพระองค์ดูแลปกครองบ้านเมืองอย่างไม่เป็นธรรมนัก โดยทรงแต่งตั้งพระญาติเข้ามากุมอำนาจในตำแหน่งสำคัญ ขึ้นภาษี และยึดที่ดินจากบาทหลวงที่ขัดขืน

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

มหากฎบัตร (Magna Carta) ขอบคุณรูปภาพจาก The 101.World

แม้ว่ามหากฎบัตรจะช่วยให้พระเจ้าจอห์นยอมรับอำนาจของเหล่าขุนนางมากขึ้น แต่ก็แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะมีขุนนางหลายคนที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ยอมปฏิบัติตาม อีกทั้งพระเจ้าจอห์นยังได้ยื่นอุทธรณ์ต่อองค์พระสันตะปาปา จนเป็นเหตุทำให้เกิดสงครามกลางเมือง แต่ก็ถือว่ามหากฎบัตร (Magna Carta) เป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตยในสมัยต่อมา

นอกจากนั้น การมีมหากฎบัตร (Magna Carta) ยังทำให้เกิดการก่อตั้งรัฐสภาอังกฤษขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยแบ่งออกเป็นสภาขุนนาง และสภาสามัญซึ่งมาจากตัวแทนประชาชน การมีรัฐสภานี้ ถือเป็นการท้าทายอำนาจของกษัตริย์เป็นอย่างมาก จนนำไปสู่เหตุการณ์ “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ค.ศ. 1688” ที่รัฐสภามีชัยชนะเหนือกษัตริย์อังกฤษ ที่แม้ว่ากษัตริย์จะไม่ได้ถูกล้มล้าง แต่สถาบันกษัตริย์ก็จำต้องยอมรับอำนาจของรัฐสภาอังกฤษอย่างสมบูรณ์ โดยมีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง ค.ศ. 1689 (Bill of Rights 1689) สำหรับเป็นตัวแทนของสิทธิเสรีภาพของพลเมือง

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกหนึ่งประการ คือ การเชิญเจ้าชายวิลเลียม สมาชิกราชวงศ์ออเรนจ์แห่งเนเธอร์แลนด์ (The House of Orange-Nassau) เสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์อังกฤษ เป็นพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ร่วมกับสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ถือเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของราชวงศ์อังกฤษภายใต้รัฐสภา ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับรูปแบบการปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) 

 

พัฒนาการของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุโรป :

แม้ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศอังกฤษนั้น ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลง แต่ในประเทศอื่น ๆ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นเฟื่องฟูมาก โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV) แห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช แห่งปรัสเซีย (Frederick II Frederick the Great of Prussia) ซึ่งก็พัฒนามาเป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ความรุ่งเรืองของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยังแพร่กระจายสู่จักรวรรดิรัสเซีย โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช (Peter The Great) ซึ่งครองราชย์ในช่วงค.ศ. 1682-1725 และพระนางแคทเธอรีนมหาราชินี (Catherine The Great) ซึ่งครองราชย์ในช่วงค.ศ. 1762-1796 โดยพระองค์ถือเป็นผู้ปกครองหญิงที่มีอำนาจสุงสุดในประวัติศาสตร์รัสเซีย

 

พัฒนาการทางการเมืองของยุโรปที่ส่งผลต่อมาสู่ปัจจุบัน

พัฒนาการทางการเมืองของยุโรปนั้น ได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติฝรั่งเศส  ค.ศ. 1789 ซึ่งเกิดจากการที่ประชาชนไม่พอใจที่สถาบันกษัตริย์ปกครองดูแลบ้านเมืองได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เรียกว่าเป็นยุคตกต่ำในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (Louis XVI) เลยก็ว่าได้

การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ทำให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีอำนาจขึ้นมา ซึ่งนำพาฝรั่งเศสให้เป็นมหาอำนาจในเวลาต่อมา แต่หลังจากหมดยุคของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 กลับเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1848 และในคราวนี้เกิดการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ลงไปอย่างสมบูรณ์ ฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนการปกครอง เป็นระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบ “สาธารณรัฐ” จนถึงปัจจุบัน

หลังจากนั้น ทั่วโลกต้องประสบกับภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I) ระหว่าง ค.ศ. 1914-1918 ส่งผลให้เกิดการล่มสลายของราชวงศ์หลายแห่งในยุโรป และหลายประเทศปรับเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย

ในขณะเดียวกันแนวคิดคอมมิวนิสต์ของคาร์ล มากซ์ (Karl Marx) ก็แผ่ขยายอิทธิพลไปหลายประเทศ ที่สำคัญ คือ นำไปสู่การปฏิวัติในจักรวรรดิรัสเซียเมื่อปีค.ศ. 1917 ก่อให้เกิดการสถาปนาสหภาพโซเวียต (Soviet Union) ที่ปกครองในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรกของโลก ตั้งแต่ค.ศ. 1917-1991 

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต
คาร์ล มากซ์ ขอบคุณรูปภาพจาก Britannica

ในช่วงเวลาที่ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เฟื่องฟู ยังมีอีกระบอบหนึ่งที่รุ่งเรืองไม่แพ้กัน นั่นคือระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ (Fascist) ที่มีแนวคิดสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ และยึดถือตัวผู้นำเป็นศูนย์กลางในการปกครองประเทศ โดยผู้นำที่เพื่อน ๆ น่าจะรู้จักกันดีคือ เบนิโต มุสโสลินี (ฺBenito Mussolini) แห่งอิตาลี และอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) แห่งเยอรมนี ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่นำประเทศในยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ที่กินระยะเวลาตั้งแต่ค.ศ. 1939-1945 อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ระบอบการปกครองแบบฟาสซิสต์ก็ล่มสลายตามไปด้วย

หลังจากสงครามจบลงไป ทวีปยุโรปก็เข้าสู่สมัยปัจจุบัน เกิดการเดินหน้าเข้าสู่การรวมประเทศผ่าน “สหภาพยุโรป” (EU) ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญหน้าหนึ่งเลยทีเดียว

 

Did you know ? รู้จักกับประโยคดัง "ก็กินเค้กแทนสิ !"

ในบทความนี้ เราพูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสค.ศ. 1789 ที่เกิดจากการที่ประชาชนไม่พอใจการทำงานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กันไปแล้ว StartDee จึงอยากให้เพื่อน ๆ ทำความรู้จักกับสมาชิกราชวงศ์ที่สำคัญอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ มารี อ็องตัวแน็ต ราชินีแห่งฝรั่งเศส ผู้เป็นภรรยาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 นั่นเอง (ดูรีวิวภาพยนตร์เรื่อง Marie Antoinette ได้ที่นี่)

ด้านการปกครองของทวีปยุโรปในอดีต

จากซ้าย เจ้าหญิงมารี-เตแรซ, พระนางมารี อ็องตัวแน็ต, เจ้าชายหลุยส์-ชาร์ล, เจ้าชายหลุยส์-โฌแซ็ฟ (ขอบคุณรูปภาพจาก biography.com)

มารี อ็องตัวแน็ตถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของวลีเด็ด "Qu’ils mangent de la brioche" น่าจะมาจากเจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง (The Great Princess) ทำให้ประชาชนฝรั่งเศสที่ได้อ่านเอกสารฉบับนี้ ลือกันไปว่าเจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่ ก็คือมารี อ็องตัวแน็ตนี่แหละ แต่แท้จริงแล้วในขณะที่ผู้เขียนเขียนหนังสือเล่มนี้ มารี อ็องตัวเน็ตเพิ่งจะอายุ 11 ปีเท่านั้น ยังไม่ได้แต่งงานเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่ามารี อ็องตัวเน็ตเป็นผู้พูดประโยคดังกล่าวได้นั่นเอง