ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศ ลีลาศนั้นมีมานับเป็นพัน ๆ ปีแล้ว แต่เพิ่งมีหลักฐานแน่ชัดเมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1400 ซึ่งได้อธิบายถึงการก้าวเดิน และดนตรี การเต้นรำแบบบอลรูม เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างชาติและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ถึงแม้ว่าชาวตะวันตกจะนิยมกันอย่างมาก แต่การเต้นรำแบบบอลรูมก็เป็นที่ยอมรับของชนทุกชาติ ประวัติการลีลาศหรือเต้นรำ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับเต้นรำแบบอื่นๆ มาก เช่น การเต้นระบำบัลเล่ย์การเต้นรำพื้นเมือง ฯลฯ จึงขอสรุปโดยแบ่งยุคการเต้นรำออกเป็น 6 ยุคดังนี้

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศ ยุคก่อนประวัติศาสตร์

การเต้นรำถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการแสดงออกของบุคคล ศิลปะการเต้นรำในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้ถูกค้นพบจากภาพวาดบนผนังถ้ำ ในแอฟริกาและยุโรปตอนใต้ ซึ่งศิลปะในการเต้นรำได้ถูกวาดมาไม่น้อยกว่า 20,000 ปีมาแล้ว อีกทั้งพิธีกรรมทางศาสนา จะรวมการเต้นรำ การดนตรี และการแสดงละคร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก พิธีกรรมเหล่านี้อาจเป็นการบวงสรวงเทพเจ้าเทพธิดา หรือจากการฉลองที่ล่าสัตว์มาได้ หรือการออกศึกสงคราม นอกจากนี้อาจมีการเฉลิมฉลองการเต้นรำด้วยเหตุอื่น ๆ เช่น ฉลองการเกิด การหายจากอาการเจ็บป่วย หรือการไว้ทุกข์ เป็นต้น

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

การเต้นรำทางศาสนา เป็นส่วนสำคัญในการกำเนิดการละครของกรีก ระหว่าง 500 ปี ก่อนคริสตกาล การละครของกรีกเรียกว่า Tragidies ซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวดในโบสถ์และการเต้นรำเพื่อสรรเสริญเทพเจ้าดิโอนิซุส (God Dionysus) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น การเต้นรำแบบ Emmeieia เป็นการเต้นรำที่สง่า ภูมิฐาน ได้ถูกนำมาใช้ในละคร Tragedies โดยครูสอนเต้นรำจะต้องบอกเรื่องราว และชี้แนะท่าทางที่ต้องแสดงเพื่อให้จดจำได้ การแสดงตลกขบขันสั้น ๆ ของกรีกที่เรียกว่า Satyrs ก็จัดอยู่ในการเต้นรำของกรีกด้วย

เมื่อโรมันรบชนะกรีก เมื่อ 197 ปี ก่อนคริสตกาล โรมันได้ปรับปรุงวัฒนธรรมการเต้นรำของกรีกให้ดีขึ้น การเต้นรำของโรมันคล้ายกับของกรีกที่เต้นรำเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า หญิงชาวโรมันก็จะถูกฝึกให้เต้นรำ แม้แต่ชาวต่างชาติ หรือพวกข้าทาสที่อยู่ในโรมันก็มีการเต้นรำด้วยเช่นกัน ชาวโรมันมีการเต้นรำหลังจากการเพาะปลูก หรือกลับจากการทำสงคราม เพื่อแสดงความกล้าหาญ หรือยินดีในชัยชนะเหนือข้าศึก ในยุคนี้มีนักเต้นรำของโรมันที่มีชื่อเสียงมาก คือ ซิซีโร (Cicero : 106-43 B.C.) ซึ่งเป็นผู้คิดและปรับปรุงลักษณะท่าทางการเต้นรำของโรมันให้ดีขึ้น

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศ ยุคกลาง (ค.ศ. 400 – 1500)

ประวัติลีลาศ ยุคกลาง เป็นยุคที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย สังคมไม่สงบสุข โบสถ์มีอิทธิพลต่อการเต้นรำของยุโรปมาก โบสถ์มีข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการเต้นรำ ทั้งนี้เป็นเพราะการเต้นรำบางอย่างถือว่าต่ำช้าและเพื่อกามารมณ์ อย่างไรก็ดีผู้ที่ชอบการเต้นรำมักจะหาโอกาสจัดงานเต้นรำขึ้นในหมู่บ้านของตนอยู่เสมอ ในปี ค.ศ. 300 บรรดาผู้ใช้แรงงานฝีมือ ได้จัดละครทางศาสนาขึ้นและมีการเต้นรำรวมอยู่ด้วย โดยในระหว่างปี ค.ศ. 300 กาฬโรคซึ่งถูกเรียกว่า ความตายสีดำ ระบาดในยุโรป ทำลายชีวิตผู้คนไปมากมายจนทำให้ผู้คนแทบเป็นบ้าจากความกลัวและความโศกเศร้า โดยผู้คนจะร้องเพลงและเต้นรำคล้ายกับคนวิกลจริตที่หน้าหลุมศพ ซึ่งเชื่อว่าการแสดงของเขานั้น จะช่วยขับไล่สิ่งเลวร้าย และขับไล่ความตายให้หนีไปจากชีวิตความเป็นอยู่ของเขาได้

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศ ยุคฟื้นฟู (ค.ศ. 1400 – 1600)

ประวัติลีลาศ ยุคฟื้นฟู เป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ยุคฟื้นฟูเริ่มในอิตาลีเมื่อปี ค.ศ. 300 ในช่วงปลายสมัยกลางแล้วแผ่ขยายไปในยุโรป

ในปี ค.ศ. 300 ที่อิตาลี ขุนนางที่มีความมั่นคงตามเมืองต่างๆ จะจ้างครูเต้นรำอาชีพมาสอนในคฤหาสน์ของตน เรียกการเต้นรำสมัยนั้นว่า Balli หรือ Balletti ซึ่งเป็นภาษาอิตาลี แปลว่า การเต้นรำ นั่นเอง

ในปี ค.ศ. 1588 พระชาวฝรั่งเศส ชื่อ โตอิโน อาโบ (Thoinnot Arbeau: ค.ศ. 1519 – 1589) ได้พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเต้นรำ ชื่อ ออเชโซกราฟี (Orchesographin) ในหนังสือได้บรรยายถึงการเต้นรำแบบต่าง ๆ หลายแบบ เป็นหนังสือที่มีคุณค่ามาก บันทึกถึงการเต้นรำที่นิยมใช้กันในบ้านขุนนางต่างๆ

การเต้นรำแบบบอลรูม เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 (ค.ศ. 1558 – 1603) ซึ่งสมัยนั้นคลั่งไคล้การเต้นรำที่เรียกว่า โวลต้า (Volta) ซึ่งมีการจับคู่แบบวอลซ์ ในปัจจุบันการเต้นแบบโวลต้านั้นฝ่ายชายจะช่วยให้ฝ่ายหญิงกระโดดขึ้นในอากาศด้วย

ในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 16 งานเลี้ยงฉลองได้ถูกจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆ เช่น งานวันเกิด งานแต่งงาน และงานต้อนรับแขกที่มาเยือน ในงานจะรวมพวกการเต้นรำ การประพันธ์ การดนตรี และการแสดงละครด้วย ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ Lorenzo de Medlci ได้จัดงานขึ้นที่คฤหาสน์ของตน โดยตกแต่งคฤหาสน์ด้วยสีสันต่างๆ และจัดให้มีการแข่งขันหลายอย่าง รวมทั้งการเต้นรำสวมหน้ากาก (Mask Dance) ซึ่งต้องใช้จังหวะดนตรีประกอบการเต้น

พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิซี (Catherine de Medicis) พระราชินีในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 เดิมเป็นชาวฟลอเรนซ์แห่งอิตาลี พระองค์ได้นำคณะเต้นรำของอิตาลี มาเผยแพร่ในพระราชวังของฝรั่งเศส ซึ่งถูกเรียกเป็นสำเนียงฝรั่งเศสว่า คองเทร ดองเซ่ (Conterdanse) และเป็นจุดเริ่มต้นของระบำบัลเล่ย์ พระองค์ได้จัดให้มีการแสดงบัลเล่ย์ โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้ปรับปรุงและพัฒนาการบัลเล่ย์ใหม่ และได้มีการตั้งโรงเรียนบัลเล่ย์ขึ้นเป็นแห่งแรก ชื่อ Academic Royale de Dance จนทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของยุโรป พระองค์คลุกคลีกับวงการบัลเล่ย์มาไม่น้อยกว่า 200 ปี โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย บทบาทที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุดคือ บทเทพอพอลโลของกรีก จนพระองค์ได้รับสมญานามว่า พระราชาแห่งดวงอาทิตย์ การบัลเล่ย์ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์มาก ซึ่งการเต้นระบำบัลเล่ย์ในพระราชวังนี้ เป็นพื้นฐานของการลีลาศ

ในสมัยศตวรรษที่ 17 การเต้นรำมีแบบแผนมากขึ้น จอห์น วีเวอร์ และ จอห์น เพลฟอร์ด (John Weaver & John Playford) เป็นนักเขียนชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง เพลฟอร์ด ได้เขียนเกี่ยวกับ การเต้นรำแบบเก่าของอังกฤษ ซึ่งรวบรวมได้ถึง 900 แบบอย่าง

การเต้นรำในปี ค.ศ. 1700 ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ Gavotte, Allemande และ Minuet รูปแบบการเต้นจะประกอบด้วยการก้าวเดิน หรือวิ่ง การร่อนถลา การขึ้นลงของลำตัว การโค้ง และถอนสายบัว ภายหลังได้แพร่หลายไปสู่ทวีปยุโรปและอเมริกา เป็นที่ชื่นชอบของ ยอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกามาก การเต้นรำในอังกฤษที่เรียกว่า Country Dance ซึ่งเป็นการเต้นรำพื้นเมือง ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรป ภายหลังได้แพร่หลายไปสู่อาณานิคมตอนใต้ของอเมริกา

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศ ยุคโรแมนติค

ประวัติลีลาศ ยุคโรแมนติค เป็นยุคที่มีการปฏิรูปเรื่องบัลเล่ย์ ในยุคนี้ นักเต้นรำมีความอิสระในการเคลื่อนไหว และการแสดงออกของบุคคล สมัยก่อนการแสดงบัลเล่ย์ มักจะแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้าเทพธิดา แต่ยุคนี้มุ่งแสดงเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดาสามัญ เรื่องทั่ว ๆ ไป รวมถึงใส่จินตนาการ ลงไปในบางครั้งด้วย

ในสมัยที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศส (ค.ศ. 1789) ได้มีการกวาดล้างพวกกษัตริย์และพวกขุนนางไป ทำให้เกิดความรู้สึกใหม่คือความมีอิสระเสรีเท่าเทียมกัน และเกิดการเต้นวอลซ์ ซึ่งรับมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากการเต้น Landler การเต้นวอลทซ์ได้แพร่หลายไปสู่ประเทศที่เจริญแล้วในยุโรปตะวันตก แต่เนื่องจากการเต้นวอลซ์อนุญาตให้ชายจับมือ และ เอวของคู่เต้นรำได้ จึงถูกคณะพระคริสประณามว่า ไม่เหมาะสมและไม่สุภาพเรียบร้อย

ในช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 การเต้นรำใหม่ๆ ที่เป็นที่นิยมกันมากในยุโรปและอเมริกา จะเริ่มต้นจากคนธรรมดาสามัญโดยการเต้นรำพื้นเมือง พวกขุนนางเห็นเข้าก็นำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับราชสำนัก เช่น การเต้น โพลก้า วอลซ์ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมมากของชนชั้นกลางและชนชั้นสูง

ในสมัยพระนางเจ้าวิคตอเรีย (The Victorian Era 1830 – 80) การไปงานราตรีสโมสรหนุ่มสาวจะไปเป็นคู่ๆ ต้องต่างคนต่างไป และฝ่ายชายจะขอลีลาศกับหญิงคนเดิมมากกว่า 4 ครั้งไม่ได้ หญิงโสดก็จะต้องมีพี่เลี้ยงไปด้วย ฝ่ายหญิงจะมีบัตรเล็กๆ สีขาว จดบันทึกไว้ว่า เพลงใดมีชายขอจองลีลาศไว้บ้าง

ในอเมริการูปแบบใหม่ในการเต้นรำที่นิยมมากในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพ พวกที่ยากจน และคนผิวดำ คือ การเต้น Tap-Danced หรือ ระบำย่ำเท้า โดยรวมเอาการเต้นรำพื้นเมืองในแอฟริกา การเต้นแบบจิ๊ก ( jig) ของชาวไอริส และการเต้นรำแบบคล๊อก (Clog) ของชาวอังกฤษผสมเข้าด้วยกัน โดยคนผิวดำมักจะเต้นไปตามถนนหนทางต่าง ๆ

ก่อนปี ค.ศ. 1870 การเต้นรำได้ขยายไปสู่เมืองต่างๆ ในอเมริกา ผู้หญิงที่ชอบร้องเพลงประสานเสียงจะเต้นระบำแคน-แคน (Can-Can) โดยใช้การเตะเท้าสูงๆ เพื่อเป็นสิ่งบันเทิงใจแก่พวกโคบาลที่อยู่ตามชายแดนอเมริกา ระบำแคน-แคน มีจุดกำเนิดมาจากฝรั่งเศส

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศ ยุคปัจจุบัน (ค.ศ. 1900)

จังหวะวอลซ์จากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 17 แต่มิได้เผยแพร่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1816 จังหวะวอลซ์ได้ถูกนำมาเผยแพร่ ต่อที่ประชุมโดยพระเจ้ายอร์ชที่ 4 แม้จะไม่สมบูรณ์นักในขณะนั้น แต่ก็จัดว่า จังหวะวอลซ์เป็นจังหวะแรกของการลีลาศแท้จริง เพราะคู่ลีลาศสามารถจับคู่เต้นรำได้

  • ในราวปี ค.ศ. 1840 การเต้นรำบางอย่างกลับมาเป็นที่นิยมอีก อาทิ โพลก้า จากโบฮิเมีย ซึ่งเป็นที่นิยมมากในเวียนนา ปารีส และ ลอนดอน จังหวะมาเซอก้า (Mazuka) จากโปแลนด์ก็เป็นที่นิยมมากในยุโรปตะวันตก
  • ในราวกลางศตวรรที่ 19 การเต้นรำใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นอีกมาก อาทิ การเต้นมิลิทารี่ สก๊อตติช (Millitary Schottische) การเต้นเค็กวอล์ค (Cakewalk) ซึ่งเป็นการเต้นรำแบบหนึ่งของพวกนิโกรในอเมริกา การเต้นทูสเตป (Two-Step) การเต้นบอสตัน (Boston) และการเต้นเตอรกีทรอท (Turkey trot)
  • ในศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1910) จังหวะแทงโก้ จากอาร์เจนตินา เริ่มเผยแพร่ที่ปารีส เป็นจังหวะที่แปลก และเต้นสวยงามมาก
  • ในระหว่างปี ค.ศ. 1912 – 1914 Vemon และ lrene Castle ได้นำรูปแบบการเต้นรำแบบใหม่ๆ จากอังกฤษมาเผยแพร่ในอเมริกาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่ จังหวะฟอกซ์ทรอท และแทงโก้
  • ปี ค.ศ. 1918 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้เลือกเฟ้นจังหวะเต้นรำทั้งบอลล์รูม และละตินอเมริกา เรียบเรียงขึ้นเป็นตำรา วางหลักสูตรของแต่ละจังหวะรัดกุม ในสมัยนี้ประเภทบอลรูม มีเพียง 4 จังหวะ คือ วอลซ์ (Waltz) ควิกวอลซ์ (Quick Waltz) สโลว์ฟอกซ์ทรอท (Slow Fox-trot) และ แทงโก้ (Tango)
  • ปี ค.ศ. 1920 ในอเมริกาเริ่มนิยมจังหวะ Paso-Doble (ปาโซโดเบล) และการเต้นรำแบบก้าวเดียวสลับกัน (One-step) ซึ่งเรียกกันว่า Fast fox-trot
  • ปี ค.ศ. 1925 จังหวะชาร์ลตัน (Charleston) เริ่มเป็นที่นิยม รูปแบบการเต้นคล้ายทูสเตป และในปีเดียวกันนี้ Arthur Murray ก็ได้ให้กำเนิดการเต้นรำแบบสมัยใหม่ (Modem Dances) ขึ้น การเต้นรำแบบสมัยใหม่นี้เป็นการเต้นรำที่แสดงออกถึงจินตนาการของแต่ละบุคคล ไม่มีท่าเต้นที่แน่นอนตายตัว บางครั้งก็นำท่าบัลเล่ย์มาผสมผสานด้วย
  • ปี ค.ศ. 1929 จังหวะจิตเตอร์บัก (Jittebug) เริ่มเป็นที่นิยม รูปแบบการเต้นต้องอาศัยยิมนาสติก การเบรก และการก้าวเท้าย่ำเร็วๆ ในปีเดียวกันอิทธิพลจากเพลงแจ๊สของอเมริกา ทำให้เกิดจังหวะ ควิกสเตป (Quickstep) ขึ้น เป็นจังหวะที่ 5 ของบอลรูม
  • ปี ค.ศ. 1929 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการลีลาศ (Official Board of Ballroom Dancing) ขึ้นในประเทศอังกฤษ และ จัดการแข่งขันเต้นรำในอังกฤษทุกปี
  • ปี ค.ศ. 1930 การเต้นรำของชาวคิวบา (Cuban Dance) ก็เป็นที่นิยมมากในอเมริกา คือจังหวะ คิวบันรัมบ้า หรือจังหวะรัมบ้า
  • ปี ค.ศ. 1939 บรรดาครูลีลาศ และผู้ทรงคุณวุติทางลีลาศในอังกฤษ ได้ร่วมกันวางกฏเกณฑ์ของลวดลายต่างๆ ในลีลาศเพื่อให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน ในแต่ละจังหวะมีประมาณ 20 ลวดลาย
  • ปี ค.ศ. 1940 การเต้นคองก้า และแซมบ้า จากบราซิล ก็เป็นที่นิยมกันมาก
  • ปี ค.ศ. 1950 ได้จัดตั้งสภาการลีลาศระหว่างชาติ (International Council of Ballroom Dancing) โดยใช้ชื่อย่อว่า I.C.B.D. และในปีเดียวกันนี้ มีจังหวะใหม่ๆ เข้ามาเผยแพร่อีก เช่น จังหวะแมมโบ้ จากคิวบา จังหวะ ชา ชา ช่า จากโดมินิกัน และจังหวะ เมอเรงเก้ จากโดมินิกัน
  • ปี ค.ศ. 1959 จัดแข่งขันลีลาศชิงแชมป์เปี้ยนโลก ขึ้นที่ประเทศอังกฤษ โดยจัดทั้งประเภทสมัครเล่น และอาชีพ ตามกฏเกณฑ์ที่สภาการลีลาศระหว่างชาติกำหนด นอกจากนี้สภาการลีลาศระหว่างชาติได้กำหนดจังหวะมาตรฐานไว้ 4 จังหวะ คือ วอลซ์ ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ และควิกสเตป ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะที่มีการจัดการแข่งขันมี วอลซ์แบบอังกฤษ ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ ควิกสเตป และเวนิสวอลซ์ นอกจากนี้ อเมริกาและอังกฤษ ได้แนะนำ ร็อคแอนด์โรค ให้ชาวโลกได้รู้จัก
  • ปี ค.ศ. 1960 มีจังหวะใหม่ๆ เกิดขึ้นในอเมริกาโดยคนผิวดำ คือ จังหวะทวิสต์ การเต้นจะใช้การบิดลำตัว เข่าโค้งงอ การเต้นจะไม่แตะต้องตัวกับคู่เต้น คือ ต่างคนต่างเต้น นอกจากนี้ยังมีจังหวะฮัสเซิล (Hustle) และจังหวะบอสซาโนวา (Bossanova) ซึ่งดัดแปลงจากแซมบ้าของบราซิล
  • ปี ค.ศ. 1970 นิยมการเต้นรำที่เรียกว่า ดิสโก้ (Disco) ซึ่งเป็นการเต้นที่ค่อนข้างอิสระมาก อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้มีการเต้นรำใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายแบบ เช่น แฟลชดานซ์ (Flash Dances) เบรกดานซ์ (Brake Dances) ซึ่งมักจะเริ่มจากพวกนิโกรในอเมริกา และยังมีการเต้นรำโดยใช้ท่าบริหารร่างกายประกอบจังหวะดนตรี ซึ่งเรียกว่า แอโรบิคดานซ์ (Aerobic Dances) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ การเต้นรำแบบต่างๆ เหล่านี้ไม่จัดเป็นการลีลาศ

นอกจากนี้ จังหวะเต้นรำก็เกิดขึ้นใหม่ๆ อีกหลายจังหวะเช่น สลูปปี้ เจอร์ค วาทูซี่ เชค อโกโก้ แมทโพเตโต้ บูการลู ซึ่งจัดเป็น การเต้นรำสมัยใหม่ ไม่จัดเป็นการลีลาศเช่นกัน

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศไทย ประวัติลีลาศในประเทศไทย

ประวัติลีลาศไทย เกิดขึ้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัด แต่จากบันทึกของ แหม่มแอนนา ทำให้มีหลักฐานเชื่อได้ว่า เมืองไทยมีลีลาศมาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 4 และบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักลีลาศคนแรกก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากบันทึกของแหม่มแอนนาทำให้มีหลักฐานเชื่อได้ว่าคนไทยลีลาศเป็น มาตั้งแต่สมัยพระองค์ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับการยกย่องให้เป็นนักลีลาศคนแรกของไทย ตามบันทึกกล่าวว่า ในช่วงหนึ่งของการสนทนาได้พูดถึงการเต้นรำ ซึ่งแหม่มแอนนาพยายามสอนพระองค์ท่าน ให้รู้จักการเต้นรำแบบสุภาพ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาติตะวันตก พร้อมกับแสดงท่า และบอกว่าจังหวะวอลซ์นั้นหรูมาก มักนิยมเต้นกันในวังยุโรป ซึ่งพระองค์ท่านก็ฟังอยู่เฉยๆ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่พอแหม่มแอนนาแสดงท่า พระองค์ท่านกลับสอนว่าใกล้เกินไปแขนต้องวางให้ถูก และพระองค์ท่านก็เต้นให้ดู จนแหม่มแอนนาถึงกับงง จึงทูลถามว่าใครเป็นคนสอนให้ พระองค์ท่านก็ไม่ตอบจึงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สอนพระองค์สันนิษฐานกันว่าพระองค์ท่านคงจะศึกษาจากตำราด้วยพระองค์เอง

ในสมัยรัชกาลที่ 5 การเต้นรำยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก ส่วนใหญ่มีแต่เจ้านายและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เต้นรำกัน โดยเฉพาะเจ้านายที่ว่าการต่างประเทศได้มีการเชิญทูตานุทูต และแขกชาวต่างประเทศมาชุมนุมเต้นรำกันที่บ้าน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในการเฉลิมพระชนมพรรษา หรือเนื่องในวันบรมราชาภิเษก เป็นต้น จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานวังสราญรมย์ ให้เป็นศาลาว่าการกระทรวงการต่างประเทศ งานเต้นรำที่เคยจัดกันมาทุกปีก็ได้ย้ายมาจัดกันที่วังสราญรมย์ ตามบันทึกทำให้เชื่อว่าในช่วงนั้นมักจะเต้นจังหวะวอลซ์เพียงอย่างเดียว และบางครั้งได้มีการนำเอาจังหวะวอลซ์ไปสอดแทรกในการแสดงละครด้วย เช่น เรื่องพระอภัยมณี ตอนที่กล่าวถึงนางละเวงวัณฬาได้กับพระอภัยมณี เป็นต้น

ในสมัย รัชกาลที่ 6 ทุกๆ ปีในงานเฉลิมพระชนมพรรษาก็มักจะจัดให้มีการเต้นรำกันในพระบรมมหาราชวัง โดยมีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประธาน ซึ่งบรรดาทูตานุทูตทั้งหลายต้องเข้าเฝ้า ส่วนแขกที่ได้เข้าร่วมงานนั้นต้องได้รับบัตรเชิญจึงจะเข้าไปในงานได้

ในสมัยรัชกาลที่ 7 การเต้นรำได้รับความนิยมมากขึ้น ได้เปิดให้มีการเต้นกันตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่ห้อยเทียนเหลาเก้าชั้น โลลิต้า และคาร์เธ่ย์ ในพุทธศักราช 2475 หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ กับ นายหยิบ ณ นคร ได้ปรึกษากันและจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวกับการเต้นรำขึ้น ชื่อ สมาคมสมัครเล่นเต้นรำ โดยมี หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นประธาน นายหยิบ ณ นคร เป็นเลขาธิการสมาคม และมีคณะกรรมการอีกหลายท่าน เช่น หลวงเฉลิม สุนทรกาญจน์ นายแพทย์เติม บุนนาค พระยาปกิตกลสาร พระยาวิชิต หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ หลวงชาติตระการโกศล

ในเรื่องสถานที่ตั้งสมาคมนั้นไม่แน่นนอน คือ วนเวียนไปตามบ้านสมาชิกแล้วแต่สะดวก การตั้งเป็น สมาคมครั้งนี้ไม่ได้จดทะเบียนให้เป็นที่ถูกต้องแต่อย่างใด สมาชิกส่วนมากเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งได้พาบุตรหรือบุตรี เข้าฝึกหัดด้วย ทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มักจัดให้มีงานเต้นรำขึ้นบ่อยๆ ที่สมาคมคณะราษฎร์ วังสราญรมย์ และได้จัดแข่งขันการเต้นรำขึ้นครั้งแรกที่วังสราญรมย์นี้ ผู้ชนะเลิศ คือ พลเรือตรีเฉียบ แสงชูโต และ คุณประนอม สุขุม

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประวัติลีลาศ ไทย

ในปี พ.ศ. 2476 นักศึกษากลุ่มหนึ่งเห็นว่า คำว่า เต้นรำ เมื่อผวนแล้วจะฟังไม่ไพเราะหู (สมาคมรำเต้น) ดังนั้น หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ จึงบัญญัติศัพท์คำว่า ลีลาศ ขึ้นแทนคำว่า เต้นรำ นับแต่บัดนี้เป็นต้นมา ต่อมาสมาคมสมัครเล่นเต้นรำก็สลายตัวไป กลายเป็น สมาคมครูลีลาศแห่งประเทศไทย โดยมี นายหยิบ ณ นคร เป็นผู้ประสานงานจนสามารถส่งนักลีลาศไปแข่งยังต่างประเทศได้ รวมทั้งให้การต้อนรับนักลีลาศชาวต่างชาติที่มาเยี่ยม หรือแสดงในประเทศไทย ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งนี้ด้วย จึงทำให้การลีลาศซบเซาไป

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488 วงการลีลาศของไทยก็เริ่มคึกคัก มีชีวิตชีวาขึ้นดังเดิม มีโรงเรียนสอนลีลาศเปิดขึ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะสาขาบอลรูมสมัยใหม่ หรือ Modern Ballroom Branch อาจารย์ยอด บุรี ซึ่งไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้วนำกลับมาเผยแพร่ในไทย ทำให้การลีลาศซึ่ง ศาสตราจารย์ศุภชัย วานิชวัฒนา เป็นผู้นำอยู่ก่อนแล้วพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาได้มีบุคคลชั้นนำในการลีลาศประมาณ 10 ท่าน ซึ่งเคยเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น คุณกวี กรโกวิท คุณอุไร โทณวนิก คุณจำลอง มาณยมฑล คุณปัตตานะ เหมะสุจิ โดยมีนายแพทย์ประสบ วรมิศร์ เป็นผู้ประสานงานติดต่อพบปะปรึกษาหารือ และมีแนวความคิดจะรวมนักลีลาศทั้งหมดให้อยู่ในสมาคมเดียวกัน เพื่อเป็นการผนึกกำลัง และช่วยกันปรับปรุงมาตรฐานการลีลาศทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกัน จึงมีการร่างระเบียบข้อบังคับขึ้น และได้ยื่นจดทะเบียนเป็นสมาคมตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2491 ซึ่งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้อนุญาตให้ จัดตั้ง สมาคมลีลาศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2491 โดยมี หลวงประกอบนิติสาร เป็นนายกสมาคมคนแรก ซึ่งปัจจุบันสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นสมาชิกของสภาการลีลาศนานาชาติด้วย

หลังจากนั้น การลีลาศได้รับความนิยมแพร่หลายเป็นอย่างมาก มีการจัดตั้งสมาคมลีลาศขึ้น มีสถานลีลาศเปิดเพิ่มขึ้น มีการจัดส่งนักกีฬาลีลาศไปแข่งขันในต่างประเทศ และจัดแข่งขันลีลาศนานาชาติขึ้นในประเทศไทย

ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้โรงเรียนสอนลีลาศต่างๆ อยู่ในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ และมีการกำหนดหลักสูตรลีลาศขึ้นอย่างเป็นแบบแผน ทำให้กีฬาลีลาศมีมาตรฐานยิ่งขึ้น ส่งผลให้กีฬาลีลาศในประเทศไทยเป็นที่ยอมรับและนิยมในวงการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนให้ความสนใจ ทำให้มีโรงเรียนหรือสถาบันเปิดสอนลีลาศขึ้นเกือบทุกจังหวัด สำหรับในสถานศึกษาก็ได้มีการจัดวิชาลีลาศเข้าไว้ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันลีลาศได้รับการรับรองให้เป็นกีฬาจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee = IOC) อย่างเป็นทางการ มีการประชุมครั้งที่ 106 วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2540 ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับในประเทศไทย คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในสมัยที่มี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ ได้มีมติรับรองลีลาศเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 จัดเป็นกีฬาลำดับที่ 45 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย และยังได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาลีลาศ (สาธิต) ขึ้นเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 6 – 20 ธันวาคม พ.ศ.2541

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ความหมายของลีลาศ

คำว่า ลีลาศ หรือ เต้นรำ มีความหมายเหมือนกัน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปีพุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายดังนี้

ลีลาศ เป็นนาม แปลว่า ท่าทางอันงดงาม การเยื้องกราย เป็นกิริยาแปลว่า เยื้องกรายเดิน นวยนาด
เต้นรำ เป็นกิริยาแปลว่า เคลื่อนที่ไปโดยมีระยะก้าวตามกำหนด ให้เข้ากับจังหวะดนตรี ซึ่งเรียกว่า ลีลาศ โดยปกติเต้นเป็นคู่ชาย หญิง รำเท้าก็ว่า คนไทยนิยมเรียกการลีลาศว่า เต้นรำ มานานแล้ว

คำว่าลีลาศตรงกับภาษาอังกฤษว่า Ballroom Dancing หมายถึง การเต้นรำของคู่ชายหญิงตามจังหวะดนตรีที่มีแบบอย่างและลวดลายการเต้นเฉพาะตัว โดยมีระเบียบของการชุมนุม ณ สถานที่อันจัดไว้ในสังคม ใช้ในงานราตรีสโมสรต่างๆ และมิใช่การแสดงเพื่อให้คนดู นอกจากนี้ยังมีคำอีกคำหนึ่งที่มักจะได้ยินกันอยู่ เสมอคือคำว่า Social Dance ส่วนใหญ่มักจะนำมาใช้ในความหมายเดียวกันกับคำว่า Ballroom Dancing

สหรัฐอเมริกาคำว่า Social Dance หมายถึง การเต้นรำทุกประเภทที่จัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนมาอยู่ร่วมกัน และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเต้นรำเป็นหมู่คณะ เพื่อให้ได้ความสนุกสานเพลิดเพลิน จึงกล่าวได้ว่า Ballroom Dancing เป็นส่วนหนึ่งของ Social Dance (ธงชัย เจริญทรัพย์มณี 2538)

อาจสรุปได้ว่า “ลีลาศ” คือกิจกรรมเข้าจังหวะประเภทหนึ่ง เป็นการเต้นรำที่แสดงออกอย่างมีศิลปะ โดยใช้เสียงเพลงและจังหวะดนตรีเป็นสื่อ เพื่อให้เกิดความสนุกสนามเพลิดเพลิน มีลวดลายการเต้น (Figure) เป็นแบบเฉพาะตัว และมักนำลีลาศมาใช้ในงานสังคมทั่ว ๆ ไป

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

รูปแบบของการลีลาศ

คุณธงชัย เจริญทรัพย์มณี ได้แบ่งรูปแบบของการลีลาศตามความมุ่งหมายออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. ลีลาศเพื่อนันทนาการ (Ballroom Dancing for Recreation) การลีลาศเพื่อนันทนาการ มีความมุ่งหมายที่จะใช้การลีลาศเป็นสื่อ ดึงความสนใจของบุคคลต่าง ๆ ให้เข้าร่วมกิจกรรม จะเห็นได้ว่า การจัดงานรื่นเริงในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานพบปะสังสรรค์ งานฉลองในวาระสำเร็จการศึกษา งานราตรีสโมสร ฯลฯ ล้วนแต่มีลีลาศเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น การลีลาศในรูปแบบนี้มักไม่ค่อยยึดติดหรือคำนึงถึงรูปแบบมากนัก เพียงแต่อาศัยจังหวะ และ ทำนองดนตรีประกอบก็พอ สำหรับลีลาท่าทางหรือลวดลาย (Figure) ต่าง ๆ ในการเคลื่อนไหวจะเน้นที่ความสนุกสนาม และ ความพึงพอใจของคู่ลีลาศเป็นสำคัญ
  2. ลีลาศเพื่อการแข่งขัน (Ballroom Dancing for Sport’s Competition) การลีลาศเพื่อการแข่งขัน จะคำนึงถึงรูปแบบที่ถูกต้องตามเทคนิควิธีมีความสง่างามตามหลักของการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติเป็นสำคัญ ได้มีสมาคมลีลาศในหลาย ๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้ร่วมกันส่งเสริมลีลาศให้มีการพัฒนา และพยายามจัดให้เป็นรูปแบบของกีฬา โดยมีแนวคิดว่าลีลาศคือกีฬาชนิดหนึ่ง ที่ให้ความบันเทิงและส่งเสริมสุขภาพพลานามัยเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันจัดการแข่งขันลีลาศขึ้นในหลายระดับ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ทั้งประเภทอาชีพ และ สมัครเล่น โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น

– การแข่งขันลีลาศระหว่างประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิค (Asian Pacific Modern Latin Dance Championship)
– การแข่งขันลีลาศประเภททีมนานาชาติ (Anniversary of Blackpool team Match)
– การแข่งขันลีลาศชิงแชมป์โลก (World Professional Ballroom Dancing championship)

จากความพยายามของสมาคมลีลาศต่างๆ ทั่วโลก ในอันที่จะผลักดันให้ลีลาศได้รับการบรรจุเข้าเป็นกีฬาชนิดหนึ่งในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในที่สุด ผลจากการประชุมของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ที่นครบูดาเปสต์ ประเทศบัลแกเรีย เมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2539 ได้มีการลงสัตยาบันรับรองลีลาศเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง โดยสามารถจัดแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกได้ และคณะกรรมการโอลิมปิกไทยก็ได้รับรองกีฬานี้เช่นกัน โดยจัดให้มีการแข่งขันครั้งแรกในกีฬาโอลิมปิก 2000 จัดขึ้นที่นครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 27 ก.ย. 2539)

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้จัดให้มีการแข่งขันลีลาศครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น เมื่อวันที่ 30 พ.ย. – 1 ธ.ค. 2539 โดยใช้ชื่อว่า โกลเด้น จูบิลี่ (Golden Jubilee Thailand Queen’s Cup Dancesport Championship) ชิงถ้วยพระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองปีมหามงคลกาญจนาภิเษก มีชาติต่าง ๆ สมัครเข้าร่วมแข่งขันในประเภทต่างๆ ถึง 25 ประเทศ รวมคู่ลีลาศได้ถึง 97 คู่ (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 14 ธ.ค. 2539)

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

รูปแบบของการลีลาศ | ประวัติลีลาศ

ประเภทของลีลาศ

สภาการลีลาศนานาชาติ (International Council of Ballroom Dancing : I.C.B.D.) ได้ทำการรวบรวมและแบ่งการลีลาศออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. ประเภทบอลรูม (Ballroom Dancing)
  2. ประเภทลาตินอเมริกัน (Latin American Dancing)

ลีลาศ ประเภทบอลรูม (Ballroom Dancing)
เป็นการลีลาศที่ใช้จังหวะ นุ่มนวล สง่างาม ลักษณะของการลีลาศ และทำนองดนตรีเต็มไปด้วยความสุภาพอ่อนหวาน ลำตัวของผู้ลีลาศจะตั้งตรง ผึ่งผาย ในการก้าวเท้านิยมลากเท้าสัมผัสไปกับพื้นห้อง มักพบการลีลาศประเภทนี้ในหมู่ขุนนางชาวอังกฤษ จึงเรียกติดปากกันว่า การลีลาศแบบผู้ดีอังกฤษ มีอยู่ 5 จังหวะ คือ

  1. จังหวะวอลซ์(Waltz)
  2. จังหวะควิกวอลซ์ หรือเวนิสวอลซ์ (Quick Waltz or Vienness Waltz)
  3. จังหวะฟอกซ์ทรอท (Foxtrot)
  4. จังหวะแทงโก้ (Tango)
  5. จังหวะควิกสเตป (Quick Step)

ลีลาศ ประเภทลาตินอเมริกัน (Latin American Dancing)
เป็นการลีลาศที่ใช้จังหวะค่อนข้างเร็ว ใช้ความแคล่วคล่องว่องไว ส่วนใหญ่จะใช้ไหล่ เอว สะโพก เข่า และข้อเท้าเป็นสำคัญ การก้าวเดินสามารถยกเท้าพ้นพื้นได้ทำนอง และจังหวะดนตรีจะเร้าใจทำให้เกิดความสนุกสนานร่าเริง มีอยู่ 5 จังหวะ คือ

  1. จังหวะคิวบันรัมบ้า (Cuban Rumba)
  2. จังหวะแซมบ้า (Samba)
  3. จังหวะพาโซโดเบิล (Paso Doble)
  4. จังหวะไจว์ฟ (Jive)
  5. จังหวะชา ชา ช่า (Cha Cha Cha)

นอกจากนี้ยังมีลีลาศอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเบ็ดเตล็ด (Pop or Social Dance) โดยรวบรวมจังหวะที่เกิดขึ้นใหม่ๆ และยังไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หรือเป็นจังหวะที่นิยมลีลาศกันภายในบางประเทศ แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายประกอบด้วยจังหวะต่างๆ ดังนี้

  1. จังหวะบีกิน (Beguine)
  2. จังหวะอเมริกันรัมบ้า (American Rumba)
  3. จังหวะดิสโก้ (Disco)
  4. จังหวะตะลุงเทมโป (Taloong Tempo)
  5. จังหวะกัวราช่า (Guarracha)
  6. จังหวะแมมโบ้ (Mambo)
  7. จังหวะคาลิปโซ่ (Calypso)
  8. จังหวะร็อค แอนด์ โรล (Rock and Roll)
  9. จังหวะออฟบีท (Off – beat)
  10. จังหวะทวิสต์(Twist)
  11. จังหวะบั๊มพ์ (Bump)
  12. จังหวะฮัสเซิล (Hustle)

ความเป็นพลเมืองของประชาชนชาวไทยเริ่มเมื่อใด

ประโยชน์ของลีลาศ

จากสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมปัจจุบัน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาที่สลับซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สภาพการณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้ประชาชนประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักการศึกษาต่างก็พยายามเน้นและชี้นำให้เห็นถึงความจำเป็น เกี่ยวกับการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถผ่อนคลายความเครียด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ลีลาศจึงเป็นกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว ยังช่วยพัฒนาทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ อารมณ์ และสังคมได้เป็นอย่างดี ซึ่งพอจะสรุปประโยชน์ของการลีลาศได้ ดังนี้